เข้าใจว่าการเปิดหัวกระทู้แบบนี้น่าจะมีผู้กระทำมาหลายท่าน กับเส้นทางที่เพิ่งเปิด (เพิ่งรึ?) ของแอร์เอเชียในปีที่แล้ว ทำให้พวกเราตัดสินใจจะจองตั๋วเครื่องบินพาคุณแม่ไปเที่ยวหลวงพระบาง และเพื่อให้สมกับเป็นการจองสายการบินแบบแอร์เอเชีย เราเลยซื้อตั๋วไปหลวงพระบางไว้ตั้งแต่มีนาคม 2559 (ใช่ค่ะ ไม่ได้พิมพ์ผิดค่ะ) แล้วก็มาได้บินไปเยือนจริงๆ ในมีนาคม 2560 นี้แหละ เรียกว่า ซื้อปีนี้ บินปีหน้า ของจริงเลยล่ะ (ครบปีเป๊ะ)
ไปมาแล้ว ก็มีสิ่งที่คิดว่าได้มา แล้วก็อยากจะบอกต่อไป คงไม่ละเอียดมาก แต่ก็รีบมาตั้งซะก่อนที่จะหลงลืมไป
สนามบินดอนเมือง
พวกเรา check-in มาล่วงหน้าแล้วด้วย Air Asia Mobile App พอไปถึงสนามบิน ก็ไปสแกน QR Code เพื่อพิมพ์ Boarding Pass และฉันก็ถามพนักงานของ Air Asia ว่าจะพิมพ์ Boarding Pass ของขากลับเลยได้ไหม เขาก็ลองพิมพ์ให้ ก็ได้มานะ (แต่พอขากลับใช้ไม่ได้ค่ะ ต้องไปพิมพ์ใหม่ที่เคาน์เตอร์)
เนื่องจากพวกเราไม่ได้โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง เราก็เลยไม่ได้ Immigration Form จากเคาน์เตอร์ พอทานข้าวกลางวันกันเสร็จ พวกเราก็เดินเข้าไปเพื่อผ่านตรวจคนเข้าออกเมือง แล้วก็พบว่า อ่าวววว ไม่มีใบ Immigration Form ให้หยิบข้างในนี่นา และจะทำอย่างไร ดีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ(?) เขาไปขอเจ้าหน้าที่สนามบินที่ยืนแถวนั้นให้ (นี่เป็นเรื่องแรกที่ฉันเพิ่งรู้ว่า ไม่มี Immigration Form ให้หยิบกรอกในสนามบินดอนเมืองแล้วเหรอ หรือมันไม่มีมานานแล้ว แต่ไม่เคยสังเกตุ เพราะเช็คอินที่เคาน์เตอร์ เลยได้มาตลอด)
สนามบินหลวงพระบาง
เมื่อถึงสนามบินแล้ว ด้วยระยะเวลาการบินแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แถมไม่ต้องเปลี่ยนเวลาที่นาฬิกาเราด้วย เพราะเวลาบ้านลาวกับบ้านไทยนั้นตรงกัน เหมือนบินไปต่างจังหวัดของไทยเลย พอลงจากเครื่องก็ต้องผ่านกองตรวจคนเข้าเมืองของลาว เราก็เตรียมเอกสารที่ได้รับแจกบนเครื่องที่กรอกให้เรียบร้อย แล้วก็เดินแบบสบายๆไปตรงช่อง ถิ่นต่างประเทศ (คือภาษาลาวกับภาษาไทยก็ไม่ได้ต่างกันมาก อ่านได้สบายๆค่ะ)
ผ่านมาแล้ว สิ่งที่อยากบอกต่อคือ ถ้าอยากซื้อซิมเน็ทใช้งานในหลวงพระบาง อย่ารีบร้อนซื้อเหมือนพวกเรา คือฉันน่ะมองเห็นบู๊ทขายเล็กๆอยู่ริมสายพานรับกระเป๋า ก็เข้าใจว่ามีเท่านี้ อารมณ์เหมือนหลงกลซื้อไป 3 วัน 250 บาท ได้มา 3G เท่านั้น แต่จริงๆ ถ้าเราไม่ได้เดินไปตรงสายพาน แต่เดินเพื่อออกไปด้านนอก ระหว่างทางก็มีบู๊ทตั้งขายซิมเน็ทอีก 4-5 เจ้า แถมมีเจ้าที่ให้ 4G ด้วย บางเจ้าก็แอบได้ยินว่า 3 วัน 200 บาทเอง
(สรุป เหมือนโดนหลอกนิดๆ แต่ก็ทำไงได้ ผ่านมาแล้ว)
เมื่อเดินออกมาจากส่วนด้านใน ก็ยังมีภารกิจที่ต้องทำคือแลกเงิน เท่าที่ดูมีที่แลกเงินอยู่สองเคาน์เตอร์ แต่ตอนพวกเราไปถึงเปิดอยู่หนึ่งที่ ก็จัดการแลกเงินซึ่งไม่ต้องใช้พาสปอร์ตหรืออะไรเลย แต่ลงชื่อกะเซ็นชื่อในเอกสารที่เขายื่นให้ อันที่จริงมีคนบอกว่าใช้เงินไทยจ่ายก็ได้เวลาจับจ่ายในหลวงพระบาง แต่พวกเราก็คิดว่าแลกเป็นเงินกีบจะดีกว่า ก็เลยได้มาเป็นแสนๆล้านๆกีบ
แลกเงินเสร็จก็เดินไปเรียกแท็กซี่ไปโรงแรม โดยเขาคิด 50000 กีบต่อ 3 คน โดยพาเราไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ ในรถรวมแล้วได้ 7 คนไม่รวมคนขับ แต่รวมคุณแม่ของพวกเราที่ไปนั่งหน้าข้างคนขับ แท็กซี่นั่งสบายๆ แอร์เย็นๆ นั่งแค่ 15-20 นาทีมั้งก็ถึงที่พักของพวกเรา
Le Bougainvillier
ที่พักสำหรับ 2 คืนของพวกเรานั้นเป็นห้องสำหรับ 3 คน ซึ่งจะมีเตียงคู่กับเตียงเดี่ยวอย่างละ 1 เตียง โรงแรมนั้นชื่อฝรั่งเศสว่า Le Bougainvillier (ซึ่งฉันถามเจ้าหน้าที่ตอนก่อนกลับว่าออกเสียงว่าอะไร เธอบอกว่า เลอ บูกานวีลีเยร์) เข้าใจว่ามาดามหรือฝรั่งที่เราเห็นนั้นเป็นเจ้าของโรงแรม แต่ตอนที่เราไปถึงเพื่อนเช็คอิน เจอเจ้าหน้าที่สาวชาวหลวงพระบางซึ่งเธอเก่งมาก พูดได้ทั้ง ไทย ลาว ฝรั่งเศส อังกฤษ
พวกเราได้รับการต้อนรับด้วยน้ำขิงสด (รสอร่อย) แล้วก็เธอก็บอกว่า จ่ายค่าที่พักตอนเช็คเอาท์เลย (ซึ่งออกจะแปลกใจ เพราะส่วนใหญ่ไปเที่ยวที่ไหน ก็จ่ายตอนเข้าพัก)


ข้อดีของโรงแรมนี้คือ อยู่ติดตลาดเช้าและเดินไปอีกนิดก็เจอตลาดมืด แถมอยู่ใกล้พูสีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติด้วย โลเคชั่นดีงามมาก ให้สิบเต็ม อาหารเช้าก็อร่อยดี พนักงานก็อัธยาศัยดี
ถ้าให้นึกข้อเสีย คงเป็นการเอาหุ่นตุ๊กตามาประดับห้องที่พวกเราเข้าพักนี่แหละ พอดีฉันเป็นโรคไม่ค่อยถูกกับหุ่นประมาณนี้เท่าไร แอบกลัวนิดๆตอนเห็น (แหะๆ)
ที่เที่ยว
พวกเราเน้นเที่ยวในตัวเมืองชั้นใน และเป็นการเดินเที่ยวทั้งนั้น จะว่าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวเยอะมาก แต่ก็พยายามไปที่เขาบอกว่าต้องไป ซึ่งอันหนึ่งซึ่งฉันคิดว่า ใครไปหลวงพระบางก็ควรไปให้ได้คือ
วัดเซียงทอง เพราะสวยงามมาก พวกเราเดินเรียบโขงจากโรงแรมไปวัดเซียงทอง ระยะห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ อากาศเย็นๆตอนเช้า เราก็เลยรู้สึกสบายดีที่เดินไป









สำหรับ
พูสีนั้น ก็เดินขึ้นพอเหนื่อยค่ะ เมื่อถึงปลายทางแล้ว ก็จะเจอผู้คนมารอพระอาทิตย์ตกดิน เพราะพูสีมีชื่อเสียงเรื่องนี้ด้วย แต่พวกเรานั้นก็ไม่ได้รอดู เนื่องจากคุณแม่ขึ้นไม่ไหว ขอนั่งรอด้านล่าง พวกเราเลยเก็บภาพพระอาทิตย์ซันเซ็ททิ่ง (คือกำลังลง) แทน แล้วก็รีบเดินลงมา



พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ คือการเอาวังเก่ามาทำเป็นมิวเซี่ยม ด้านในห้ามถ่ายรูป แถมก่อนเข้าต้องเอาของไปฝากที่ล็อคเกอร์ โทรศัพท์ถ้าเราถือให้เขาเห็นก่อนเข้า ก็จะต้องเอาไปฝากในล็อคเกอร์ ผู้หญิงใส่สั้นกว่าเข่าไม่ได้ เสื้อโชว์แขนหรือไหล่ไม่ได้ ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยค่ะ ด้านในที่ถ่ายรูปไม่ได้ แต่ด้านนอกบริเวณรอบๆถ่ายได้ แต่ตรงที่ไว้พระบางก็ถ่ายรูปพระบางไม่ได้ แต่ถ้าเรามาแล้ว อย่างไรเราก็ควรไปไหว้พระบางสักหน่อย เพราะเป็นพระที่คู่กับพระแก้วของเรานะ ถ้าเข้าใจไม่ผิดอะค่ะ

วัดวิซุนทราช (วัดอาราม) เป็นวัดที่เราแวะไปเพราะพอมีเวลา และเขาก็บอกว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบางและพระแก้ว เมื่อไปแล้ว เขาก็มีรูปจำลองของพระทั้งสององค์ให้เรารู้ว่าเคยวางไว้ตรงตำแหน่งไหน
ใส่บาตรข้าวเหนียว
แน่นอนนะ ที่ใครมาหลวงพระบางย่อมมีภาพที่เห็นผ่านตาคือการใส่บาตรข้าวเหนียวให้กับพระที่เดินมาเป็นร้อยๆรูป พวกเราก็ตั้งใจไปแบบนั้น จริงๆตอนแรกเจ้าหน้าที่โรงแรมก็บอกเราว่ามีส่วนของนักท่องเที่ยวกับส่วนของโลคัลนะ ซึ่งก็เป็นพระกลุ่มเดียวกัน แต่ท่านเดินผ่านทั้งสองจุด และเพราะเอกสารในห้องพักที่เตือนว่าเราไม่ควรไปซื้อของที่ขายตรงนักท่องเที่ยวเพื่อใส่บาตร แต่ให้หาซื้อจากคนโลคัล พอพวกเราเดินออกจากโรงแรมก็เจอร้านที่เขามาทำอาหารขาย เราเลยถามเขาว่าจะไปซื้อข้าวเหนียวได้ที่ไหน เขาก็บอกว่าซื้อเขาได้ แล้วเขาก็เอากระติ๊บมาใส่ให้ 20000 กีบ
เราตัดสินใจเดินไปตรงที่เขาบอกว่านักท่องเที่ยวไปใส่กัน ก็เจอ street vendor มาจะขายให้เราชุดละ 100 บาท แถมมีบอกว่า ถ้าเราไม่ซื้อจะนั่งใส่บาตรตรงนี้ไม่ได้นะ เราก็งงๆ แต่เราก็ไปยืนตรงที่ว่างๆที่ไม่ได้มีเสื่อหรือเก้าอี้เล็กๆวาง แล้วเราก็รอพระ รอไปก็ใจตุ๊มๆต่อมๆไปจะโดนไล่ที่ไหมนี่ แล้วระหว่างนั้นก็จะมีรถตู้พานักท่องเที่ยวมาลง บางคนก็มาแล้วซื้อของจากคนขายแถวนั้นถึงจะได้นั่ง บางคนก็มายืนมองอย่างเดียวกับถ่ายรูป ดูแปลกเหลือเกิน ที่อัศจรรย์ใจคือเจอนักท่องเที่ยวสาว (ไม่บอกประเทศละกัน) เดินแทรกไปตรงแถวพระ เพื่อจะถ่ายวีดีโอ แถมเธอก็ยังเกือบโดนพระ ฉันมองด้วยความทึ่ง อึ้ง และก็ งง ว่านี่ทำกันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
สรุป พวกเราก็ได้ใส่ค่ะ หลังจากใส่เสร็จก็ขอออกมาเก็บภาพนิดหนึ่ง
อาหารการกิน
อาหารเช้าที่โรงแรม อาจจะเหมือนให้ไม่เยอะ แต่ก็รสชาติดีโดยเฉพาะโยเกิร์ต กาแฟ และแยมรสชาติต่างๆ


พวกเราอเมซซิ่งกับตำส้ม (หรือส้มตำ) มากกกกกกกกกก โดยพวกเราสั่งส้มตำไทย ที่ตลาดมืด มาแล้วแบบรสเด็ด อร่อยจริงๆ แถมปลาย่างที่สั่งมาก็รสชาติมาก ประทับใจมากค่ะ เป็นปลานิล รู้สึกถึงความสด แถมไม่มีกลิ่นปลานิลที่บางทีเราจะได้กลิ่น

ก่อนเรามานั้น คุณแม่รีเควสอาหารฝรั่งเศส พวกเราเลยจัดให้ที่ภัตตาคารที่เก่าแก่คือ เลเลฟัง แล้วก็พบว่า ของอร่อยทุกอย่างจริงๆ โดยเฉพาะ เป็ดอบซอสมะตูม อร่อยมากกก หรือสลัดแซลม่อนก็รสดี ดีงามมากค่ะ





หลวงพระบางมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวสูง จากความรู้สึกว่าเราเดินเจอ
คาเฟ่ได้บ่อยพอๆกับเจอวัด สำหรับคาเฟ่ ที่ลองมา กาแฟรสชาติดีนะ แต่ตัวเบเกอรี่ฉันว่าก็โอเค
- ครัวซองท์ที่ Le Banneton เฉยๆ ไม่ว้าวเท่าไร อาจเพราะคาดหวังเยอะ กลายเป็นปังอัลมอนด์ช็อคโกแล็ตอร่อยกว่าเยอะ แต่กาแฟอร่อยดี
- strawberry smoothie ใช้ homemade yogurt ที่ Indigo Cafe รสชาติดีไม่หวานไป
- กาแฟกับเบเกอรี่ที่โจมา ร้านดังของหลวงพระบาง รสชาติกาแฟก็ดี สตรอเบอรี่สมูทตี้ไม่หวานดี เค้กมะพร้าวเฉยๆ แมงโก้ครัมเบิ้ล ก็อร่อยดี แต่ไม่ค่อยรู้สึกถึงรสมะม่วง




ปิดท้ายด้วย
เบยลาว รสชาติดี ชอบค่ะ

พวกเราจบทริปกันด้วยดี สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้อย่างที่คนเคยพูดว่าหลวงพระบางไม่เหมือนเดิม ขนาดฉันเพิ่งมาครั้งแรก ก็ยังรู้สึกได้ว่าที่นี่คงไม่เหมือนเดิมอย่างที่เขาว่ามาจริงๆ แต่ที่แน่ๆ คนหลวงพระบางใจดี พูดไทยกับใคร เขาก็คุยกับเราได้ เที่ยวในหลวงพระบางไม่ยากเลย
หลวงพระบางสองสามวัน ~ สิ่งที่ได้มา และสิ่งที่อยากบอกไป
ไปมาแล้ว ก็มีสิ่งที่คิดว่าได้มา แล้วก็อยากจะบอกต่อไป คงไม่ละเอียดมาก แต่ก็รีบมาตั้งซะก่อนที่จะหลงลืมไป
สนามบินดอนเมือง
พวกเรา check-in มาล่วงหน้าแล้วด้วย Air Asia Mobile App พอไปถึงสนามบิน ก็ไปสแกน QR Code เพื่อพิมพ์ Boarding Pass และฉันก็ถามพนักงานของ Air Asia ว่าจะพิมพ์ Boarding Pass ของขากลับเลยได้ไหม เขาก็ลองพิมพ์ให้ ก็ได้มานะ (แต่พอขากลับใช้ไม่ได้ค่ะ ต้องไปพิมพ์ใหม่ที่เคาน์เตอร์)
เนื่องจากพวกเราไม่ได้โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง เราก็เลยไม่ได้ Immigration Form จากเคาน์เตอร์ พอทานข้าวกลางวันกันเสร็จ พวกเราก็เดินเข้าไปเพื่อผ่านตรวจคนเข้าออกเมือง แล้วก็พบว่า อ่าวววว ไม่มีใบ Immigration Form ให้หยิบข้างในนี่นา และจะทำอย่างไร ดีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ(?) เขาไปขอเจ้าหน้าที่สนามบินที่ยืนแถวนั้นให้ (นี่เป็นเรื่องแรกที่ฉันเพิ่งรู้ว่า ไม่มี Immigration Form ให้หยิบกรอกในสนามบินดอนเมืองแล้วเหรอ หรือมันไม่มีมานานแล้ว แต่ไม่เคยสังเกตุ เพราะเช็คอินที่เคาน์เตอร์ เลยได้มาตลอด)
สนามบินหลวงพระบาง
เมื่อถึงสนามบินแล้ว ด้วยระยะเวลาการบินแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แถมไม่ต้องเปลี่ยนเวลาที่นาฬิกาเราด้วย เพราะเวลาบ้านลาวกับบ้านไทยนั้นตรงกัน เหมือนบินไปต่างจังหวัดของไทยเลย พอลงจากเครื่องก็ต้องผ่านกองตรวจคนเข้าเมืองของลาว เราก็เตรียมเอกสารที่ได้รับแจกบนเครื่องที่กรอกให้เรียบร้อย แล้วก็เดินแบบสบายๆไปตรงช่อง ถิ่นต่างประเทศ (คือภาษาลาวกับภาษาไทยก็ไม่ได้ต่างกันมาก อ่านได้สบายๆค่ะ)
ผ่านมาแล้ว สิ่งที่อยากบอกต่อคือ ถ้าอยากซื้อซิมเน็ทใช้งานในหลวงพระบาง อย่ารีบร้อนซื้อเหมือนพวกเรา คือฉันน่ะมองเห็นบู๊ทขายเล็กๆอยู่ริมสายพานรับกระเป๋า ก็เข้าใจว่ามีเท่านี้ อารมณ์เหมือนหลงกลซื้อไป 3 วัน 250 บาท ได้มา 3G เท่านั้น แต่จริงๆ ถ้าเราไม่ได้เดินไปตรงสายพาน แต่เดินเพื่อออกไปด้านนอก ระหว่างทางก็มีบู๊ทตั้งขายซิมเน็ทอีก 4-5 เจ้า แถมมีเจ้าที่ให้ 4G ด้วย บางเจ้าก็แอบได้ยินว่า 3 วัน 200 บาทเอง
(สรุป เหมือนโดนหลอกนิดๆ แต่ก็ทำไงได้ ผ่านมาแล้ว)
เมื่อเดินออกมาจากส่วนด้านใน ก็ยังมีภารกิจที่ต้องทำคือแลกเงิน เท่าที่ดูมีที่แลกเงินอยู่สองเคาน์เตอร์ แต่ตอนพวกเราไปถึงเปิดอยู่หนึ่งที่ ก็จัดการแลกเงินซึ่งไม่ต้องใช้พาสปอร์ตหรืออะไรเลย แต่ลงชื่อกะเซ็นชื่อในเอกสารที่เขายื่นให้ อันที่จริงมีคนบอกว่าใช้เงินไทยจ่ายก็ได้เวลาจับจ่ายในหลวงพระบาง แต่พวกเราก็คิดว่าแลกเป็นเงินกีบจะดีกว่า ก็เลยได้มาเป็นแสนๆล้านๆกีบ
แลกเงินเสร็จก็เดินไปเรียกแท็กซี่ไปโรงแรม โดยเขาคิด 50000 กีบต่อ 3 คน โดยพาเราไปนั่งรวมกับคนอื่นๆ ในรถรวมแล้วได้ 7 คนไม่รวมคนขับ แต่รวมคุณแม่ของพวกเราที่ไปนั่งหน้าข้างคนขับ แท็กซี่นั่งสบายๆ แอร์เย็นๆ นั่งแค่ 15-20 นาทีมั้งก็ถึงที่พักของพวกเรา
Le Bougainvillier
ที่พักสำหรับ 2 คืนของพวกเรานั้นเป็นห้องสำหรับ 3 คน ซึ่งจะมีเตียงคู่กับเตียงเดี่ยวอย่างละ 1 เตียง โรงแรมนั้นชื่อฝรั่งเศสว่า Le Bougainvillier (ซึ่งฉันถามเจ้าหน้าที่ตอนก่อนกลับว่าออกเสียงว่าอะไร เธอบอกว่า เลอ บูกานวีลีเยร์) เข้าใจว่ามาดามหรือฝรั่งที่เราเห็นนั้นเป็นเจ้าของโรงแรม แต่ตอนที่เราไปถึงเพื่อนเช็คอิน เจอเจ้าหน้าที่สาวชาวหลวงพระบางซึ่งเธอเก่งมาก พูดได้ทั้ง ไทย ลาว ฝรั่งเศส อังกฤษ
พวกเราได้รับการต้อนรับด้วยน้ำขิงสด (รสอร่อย) แล้วก็เธอก็บอกว่า จ่ายค่าที่พักตอนเช็คเอาท์เลย (ซึ่งออกจะแปลกใจ เพราะส่วนใหญ่ไปเที่ยวที่ไหน ก็จ่ายตอนเข้าพัก)
ข้อดีของโรงแรมนี้คือ อยู่ติดตลาดเช้าและเดินไปอีกนิดก็เจอตลาดมืด แถมอยู่ใกล้พูสีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติด้วย โลเคชั่นดีงามมาก ให้สิบเต็ม อาหารเช้าก็อร่อยดี พนักงานก็อัธยาศัยดี
ถ้าให้นึกข้อเสีย คงเป็นการเอาหุ่นตุ๊กตามาประดับห้องที่พวกเราเข้าพักนี่แหละ พอดีฉันเป็นโรคไม่ค่อยถูกกับหุ่นประมาณนี้เท่าไร แอบกลัวนิดๆตอนเห็น (แหะๆ)
ที่เที่ยว
พวกเราเน้นเที่ยวในตัวเมืองชั้นใน และเป็นการเดินเที่ยวทั้งนั้น จะว่าไปก็ไม่ได้ไปเที่ยวเยอะมาก แต่ก็พยายามไปที่เขาบอกว่าต้องไป ซึ่งอันหนึ่งซึ่งฉันคิดว่า ใครไปหลวงพระบางก็ควรไปให้ได้คือ วัดเซียงทอง เพราะสวยงามมาก พวกเราเดินเรียบโขงจากโรงแรมไปวัดเซียงทอง ระยะห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตรกว่าๆ อากาศเย็นๆตอนเช้า เราก็เลยรู้สึกสบายดีที่เดินไป
สำหรับพูสีนั้น ก็เดินขึ้นพอเหนื่อยค่ะ เมื่อถึงปลายทางแล้ว ก็จะเจอผู้คนมารอพระอาทิตย์ตกดิน เพราะพูสีมีชื่อเสียงเรื่องนี้ด้วย แต่พวกเรานั้นก็ไม่ได้รอดู เนื่องจากคุณแม่ขึ้นไม่ไหว ขอนั่งรอด้านล่าง พวกเราเลยเก็บภาพพระอาทิตย์ซันเซ็ททิ่ง (คือกำลังลง) แทน แล้วก็รีบเดินลงมา
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ คือการเอาวังเก่ามาทำเป็นมิวเซี่ยม ด้านในห้ามถ่ายรูป แถมก่อนเข้าต้องเอาของไปฝากที่ล็อคเกอร์ โทรศัพท์ถ้าเราถือให้เขาเห็นก่อนเข้า ก็จะต้องเอาไปฝากในล็อคเกอร์ ผู้หญิงใส่สั้นกว่าเข่าไม่ได้ เสื้อโชว์แขนหรือไหล่ไม่ได้ ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยค่ะ ด้านในที่ถ่ายรูปไม่ได้ แต่ด้านนอกบริเวณรอบๆถ่ายได้ แต่ตรงที่ไว้พระบางก็ถ่ายรูปพระบางไม่ได้ แต่ถ้าเรามาแล้ว อย่างไรเราก็ควรไปไหว้พระบางสักหน่อย เพราะเป็นพระที่คู่กับพระแก้วของเรานะ ถ้าเข้าใจไม่ผิดอะค่ะ
วัดวิซุนทราช (วัดอาราม) เป็นวัดที่เราแวะไปเพราะพอมีเวลา และเขาก็บอกว่าเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระบางและพระแก้ว เมื่อไปแล้ว เขาก็มีรูปจำลองของพระทั้งสององค์ให้เรารู้ว่าเคยวางไว้ตรงตำแหน่งไหน
ใส่บาตรข้าวเหนียว
แน่นอนนะ ที่ใครมาหลวงพระบางย่อมมีภาพที่เห็นผ่านตาคือการใส่บาตรข้าวเหนียวให้กับพระที่เดินมาเป็นร้อยๆรูป พวกเราก็ตั้งใจไปแบบนั้น จริงๆตอนแรกเจ้าหน้าที่โรงแรมก็บอกเราว่ามีส่วนของนักท่องเที่ยวกับส่วนของโลคัลนะ ซึ่งก็เป็นพระกลุ่มเดียวกัน แต่ท่านเดินผ่านทั้งสองจุด และเพราะเอกสารในห้องพักที่เตือนว่าเราไม่ควรไปซื้อของที่ขายตรงนักท่องเที่ยวเพื่อใส่บาตร แต่ให้หาซื้อจากคนโลคัล พอพวกเราเดินออกจากโรงแรมก็เจอร้านที่เขามาทำอาหารขาย เราเลยถามเขาว่าจะไปซื้อข้าวเหนียวได้ที่ไหน เขาก็บอกว่าซื้อเขาได้ แล้วเขาก็เอากระติ๊บมาใส่ให้ 20000 กีบ
เราตัดสินใจเดินไปตรงที่เขาบอกว่านักท่องเที่ยวไปใส่กัน ก็เจอ street vendor มาจะขายให้เราชุดละ 100 บาท แถมมีบอกว่า ถ้าเราไม่ซื้อจะนั่งใส่บาตรตรงนี้ไม่ได้นะ เราก็งงๆ แต่เราก็ไปยืนตรงที่ว่างๆที่ไม่ได้มีเสื่อหรือเก้าอี้เล็กๆวาง แล้วเราก็รอพระ รอไปก็ใจตุ๊มๆต่อมๆไปจะโดนไล่ที่ไหมนี่ แล้วระหว่างนั้นก็จะมีรถตู้พานักท่องเที่ยวมาลง บางคนก็มาแล้วซื้อของจากคนขายแถวนั้นถึงจะได้นั่ง บางคนก็มายืนมองอย่างเดียวกับถ่ายรูป ดูแปลกเหลือเกิน ที่อัศจรรย์ใจคือเจอนักท่องเที่ยวสาว (ไม่บอกประเทศละกัน) เดินแทรกไปตรงแถวพระ เพื่อจะถ่ายวีดีโอ แถมเธอก็ยังเกือบโดนพระ ฉันมองด้วยความทึ่ง อึ้ง และก็ งง ว่านี่ทำกันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
สรุป พวกเราก็ได้ใส่ค่ะ หลังจากใส่เสร็จก็ขอออกมาเก็บภาพนิดหนึ่ง
อาหารการกิน
อาหารเช้าที่โรงแรม อาจจะเหมือนให้ไม่เยอะ แต่ก็รสชาติดีโดยเฉพาะโยเกิร์ต กาแฟ และแยมรสชาติต่างๆ
พวกเราอเมซซิ่งกับตำส้ม (หรือส้มตำ) มากกกกกกกกกก โดยพวกเราสั่งส้มตำไทย ที่ตลาดมืด มาแล้วแบบรสเด็ด อร่อยจริงๆ แถมปลาย่างที่สั่งมาก็รสชาติมาก ประทับใจมากค่ะ เป็นปลานิล รู้สึกถึงความสด แถมไม่มีกลิ่นปลานิลที่บางทีเราจะได้กลิ่น
ก่อนเรามานั้น คุณแม่รีเควสอาหารฝรั่งเศส พวกเราเลยจัดให้ที่ภัตตาคารที่เก่าแก่คือ เลเลฟัง แล้วก็พบว่า ของอร่อยทุกอย่างจริงๆ โดยเฉพาะ เป็ดอบซอสมะตูม อร่อยมากกก หรือสลัดแซลม่อนก็รสดี ดีงามมากค่ะ
หลวงพระบางมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวสูง จากความรู้สึกว่าเราเดินเจอคาเฟ่ได้บ่อยพอๆกับเจอวัด สำหรับคาเฟ่ ที่ลองมา กาแฟรสชาติดีนะ แต่ตัวเบเกอรี่ฉันว่าก็โอเค
- ครัวซองท์ที่ Le Banneton เฉยๆ ไม่ว้าวเท่าไร อาจเพราะคาดหวังเยอะ กลายเป็นปังอัลมอนด์ช็อคโกแล็ตอร่อยกว่าเยอะ แต่กาแฟอร่อยดี
- strawberry smoothie ใช้ homemade yogurt ที่ Indigo Cafe รสชาติดีไม่หวานไป
- กาแฟกับเบเกอรี่ที่โจมา ร้านดังของหลวงพระบาง รสชาติกาแฟก็ดี สตรอเบอรี่สมูทตี้ไม่หวานดี เค้กมะพร้าวเฉยๆ แมงโก้ครัมเบิ้ล ก็อร่อยดี แต่ไม่ค่อยรู้สึกถึงรสมะม่วง
ปิดท้ายด้วยเบยลาว รสชาติดี ชอบค่ะ
พวกเราจบทริปกันด้วยดี สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้อย่างที่คนเคยพูดว่าหลวงพระบางไม่เหมือนเดิม ขนาดฉันเพิ่งมาครั้งแรก ก็ยังรู้สึกได้ว่าที่นี่คงไม่เหมือนเดิมอย่างที่เขาว่ามาจริงๆ แต่ที่แน่ๆ คนหลวงพระบางใจดี พูดไทยกับใคร เขาก็คุยกับเราได้ เที่ยวในหลวงพระบางไม่ยากเลย