ภาพเปิดตอนนี้
- ต่อจากตอนที่แล้วที่พระเอกไปได้ยินคนพี่ระบายอารมณ์กับแม่ในห้องนั่งเล่นโดยบังเอิญ
- พระเอกฟังคนพี่ระบายความในใจออกมาจนหมดก็ถึงกับหน้าเสีย ลุกขึ้นเดินกลับขึ้นห้องไปเงียบๆ ไปนอนปุลงบนเตียงอย่างหมดแรง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นึกอะไรไม่ออกนอกจากกล่าวโทษตัวเองที่ทำให้คนพี่ต้องเหงาต้องเป็นทุกข์ถึงขนาดอยากเลิกทำงานที่รักขนาดนี้
- กำลังเล่นมิวสิควิดีโอได้ที่ คนน้องก็ส่งเมลมาคุยวิดีโอคอลผ่านสไกป์กัน พระเอกเลยรีบปรับอารมณ์แล้วเปิดสไกป์คุยกับคนน้องทันที
- คนน้องก็ชวนคุยโน่นคุยนี่พร้อมเล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้เจอที่อิตาลี ทั้งเรื่องบ้านเมืองเรื่องดูงานอย่างร่าเริง พระเอกก็พยายามฝืนตีหน้าร่าเริงคุยด้วย แต่ก็ซ่อนอาการไว้ไม่มิดจนคนน้องจับได้ พระเอกก็กลบเกลื่อนว่าแค่ไม่สบายนิดหน่อย คนน้องเลยไม่ติดใจถามต่อ
- คุยสไกป์กับคนน้องเสร็จ พระเอกก็กลับมานอนตีหน้าโศกเล่นมิวสิควิดีโอต่อ ในใจที่รู้สึกผิดอยู่แล้วยิ่งรู้สึกผิดเป็นทวีคูณเมื่อคิดว่าตัวเองไปมีความสุขกับคนน้อง แต่กลับทิ้งคนพี่ให้จมอยู่กับความปวดร้าวเพราะยังทำใจจากการแยกทาง จากการล้มเลิกความฝันของตัวเองไม่ได้
- วันรุ่งขึ้น พระเอกรีบลุกขึ้นแต่เช้าแต่งตัวไปนั่งท่องหนังสือที่โรงเรียนกวดวิชาเพราะไม่กล้าสู้หน้าคนพี่หลังได้รู้ความในใจของอีกฝ่ายแล้ว แต่ด้วยอารมณ์หดหู่ที่รุมเร้ามาตั้งแต่เมื่อวานทำให้พระเอกไม่มีสมาธิกับหนังสือเลย
- กำลังตีหน้าอึมครึมได้ที่ ยัยบู่ก็แวะเข้ามาทักทาย พระเอกก็ตอบไปด้วยสีหน้าเหมือนปลาตายจนยัยบู่สะกิดใจ ลากตัวไปสอบสวนระหว่างกินข้าวเที่ยงว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ตีหน้าแบบนั้น
- ฝ่ายพระเอกไม่กล้าบอกเรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อนในบ้านตัวเองก็เลยออกปากเลียบๆ เคียงๆ ถามยัยบู่ (แบบตัดโน่นตัดนี่เต็มที่) ว่าถ้าได้รู้ว่าตัวเองอาจเป็นต้นเหตุให้คนสำคัญต้องล้มเลิกความฝัน เลิกทำงานที่ชอบ ยัยบู่จะทำยังไง
- ยัยบู่ได้ฟังดังนั้นก็ตอบกลับแทบจะทันทีว่าตัวพระเอกก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เรอะว่าควรต้องทำยังไง และบอกเป็นเชิงเตือนว่าอย่าเดินผิดซ้ำรอยตัวเองที่ทรมานมาเป็นสิบปีกว่าจะเปิดอกเข้าใจกับคนสำคัญของตัวเองได้
- ด้านคนพี่ก็นัดทานข้าวกับเพื่อนสาวคนสนิท (ที่เคยออกเมื่อหลายตอนที่แล้ว) ในวันเดียวกันนั้นเอง
- พูดคุยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพักหนึ่ง คนพี่ก็ระบายให้เพื่อนฟังแบบเดียวกับที่ระบายให้แม่ฟังว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้ว อยากเลิกเป็นครูกลับมาอยู่บ้านกับครอบครัวเหมือนเดิม (ฟังจากที่คุยกัน ท่าทางเพื่อนสนิทก็เหมือนจะรู้เรื่องคนพี่เลิกกับพระเอกแล้วด้วย)
- เพื่อนสนิทได้ฟังดังนั้นก็ตอบแทบจะทันทีเหมือนกันว่าก็ดีแล้วนี่ ได้ลองเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ จนกว่าจะเจองานที่ใช่อะไรที่อยากทำมากกว่าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
- เจอเพื่อนสนิทให้กำลังใจแบบนั้น เย็นนั้นคนพี่เลยมานั่งเป็นเว็บรับสมัครงานดู
- กำลังดูเว็บเพลินๆ พระเอกก็เข้ามาเคาะประตูขอคุยด้วยพอดี เลยไปเปิดให้เข้ามา
- เข้ามาในห้องปุ๊บ พระเอกก็คุกเข่าโขกหัวขอโทษคนพี่ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนพี่ต้องเสียใจ ทำให้คนพี่ต้องเจ็บปวด และบอกว่าถ้ามีอะไรที่เขาทำให้คนพี่ได้ก็ขอให้บอกมา เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษที่ตัวเองทำให้คนพี่ต้องเสียใจถึงขนาดจะเลิกอาชีพครูที่ตัวเองรัก แม้จะรู้ตัวว่าไม่อาจชดใช้ได้หมดก็ตาม
- เห็นกิริยาขอโทษขอโพยของพระเอกดังนั้น คนพี่ก็ก้มตัวลงกอดพระเอกไว้อย่างนุ่มนวล
ก็ประมาณนี้แฮะสำหรับตอนนี้
หลังอ่านจบ คำแรกที่ผมอยากบอกพระเอกขึ้นมาเลยก็คือ
"เอ็งงี่เง่ารึไงห๊ะพระเอก" มานั่งโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดตัวเองทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดซักอย่างแบบนี้
เอาตรงๆ เลยนะ ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกมันก็เพราะคนพี่คิดเองเออเองทั้งนั้นไม่ใช่เรอะ (คิดเองเออเองว่าคบกับพระเอกต่อไปไม่ได้เพราะโดนจับได้แล้ว คิดเองเออเองว่าถ้าคบกับพระเอกจะส่งผลต่อชื่อเสียงพระเอกในอนาคต คิดเองเออเองว่าต้องแยกทางกับพระเอกเท่านั้น คิดเองเออเองว่าต้องทำทุกวิถีทางผลักไสพระเอกให้เลิกกับตัว) อยู่ดีๆ พระเอกมาโบ้ยว่าตัวเองเป็นคนผิดนี่มันจะติงต๊องไปหน่อยรึเปล่า
รอดูตอนหน้าละครับว่าไอ้ความรู้สึกผิดแบบผิดที่ผิดทางนี่มันจะทำให้เรื่องวุ่นวายอีกแค่ไหน
[Spoil] Domestic na Kanojo #132 - เจตจำนงและการชดใช้
- ต่อจากตอนที่แล้วที่พระเอกไปได้ยินคนพี่ระบายอารมณ์กับแม่ในห้องนั่งเล่นโดยบังเอิญ
- พระเอกฟังคนพี่ระบายความในใจออกมาจนหมดก็ถึงกับหน้าเสีย ลุกขึ้นเดินกลับขึ้นห้องไปเงียบๆ ไปนอนปุลงบนเตียงอย่างหมดแรง ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นึกอะไรไม่ออกนอกจากกล่าวโทษตัวเองที่ทำให้คนพี่ต้องเหงาต้องเป็นทุกข์ถึงขนาดอยากเลิกทำงานที่รักขนาดนี้
- กำลังเล่นมิวสิควิดีโอได้ที่ คนน้องก็ส่งเมลมาคุยวิดีโอคอลผ่านสไกป์กัน พระเอกเลยรีบปรับอารมณ์แล้วเปิดสไกป์คุยกับคนน้องทันที
- คนน้องก็ชวนคุยโน่นคุยนี่พร้อมเล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้เจอที่อิตาลี ทั้งเรื่องบ้านเมืองเรื่องดูงานอย่างร่าเริง พระเอกก็พยายามฝืนตีหน้าร่าเริงคุยด้วย แต่ก็ซ่อนอาการไว้ไม่มิดจนคนน้องจับได้ พระเอกก็กลบเกลื่อนว่าแค่ไม่สบายนิดหน่อย คนน้องเลยไม่ติดใจถามต่อ
- คุยสไกป์กับคนน้องเสร็จ พระเอกก็กลับมานอนตีหน้าโศกเล่นมิวสิควิดีโอต่อ ในใจที่รู้สึกผิดอยู่แล้วยิ่งรู้สึกผิดเป็นทวีคูณเมื่อคิดว่าตัวเองไปมีความสุขกับคนน้อง แต่กลับทิ้งคนพี่ให้จมอยู่กับความปวดร้าวเพราะยังทำใจจากการแยกทาง จากการล้มเลิกความฝันของตัวเองไม่ได้
- วันรุ่งขึ้น พระเอกรีบลุกขึ้นแต่เช้าแต่งตัวไปนั่งท่องหนังสือที่โรงเรียนกวดวิชาเพราะไม่กล้าสู้หน้าคนพี่หลังได้รู้ความในใจของอีกฝ่ายแล้ว แต่ด้วยอารมณ์หดหู่ที่รุมเร้ามาตั้งแต่เมื่อวานทำให้พระเอกไม่มีสมาธิกับหนังสือเลย
- กำลังตีหน้าอึมครึมได้ที่ ยัยบู่ก็แวะเข้ามาทักทาย พระเอกก็ตอบไปด้วยสีหน้าเหมือนปลาตายจนยัยบู่สะกิดใจ ลากตัวไปสอบสวนระหว่างกินข้าวเที่ยงว่ามีเรื่องอะไรถึงได้ตีหน้าแบบนั้น
- ฝ่ายพระเอกไม่กล้าบอกเรื่องความสัมพันธ์ซับซ้อนในบ้านตัวเองก็เลยออกปากเลียบๆ เคียงๆ ถามยัยบู่ (แบบตัดโน่นตัดนี่เต็มที่) ว่าถ้าได้รู้ว่าตัวเองอาจเป็นต้นเหตุให้คนสำคัญต้องล้มเลิกความฝัน เลิกทำงานที่ชอบ ยัยบู่จะทำยังไง
- ยัยบู่ได้ฟังดังนั้นก็ตอบกลับแทบจะทันทีว่าตัวพระเอกก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เรอะว่าควรต้องทำยังไง และบอกเป็นเชิงเตือนว่าอย่าเดินผิดซ้ำรอยตัวเองที่ทรมานมาเป็นสิบปีกว่าจะเปิดอกเข้าใจกับคนสำคัญของตัวเองได้
- ด้านคนพี่ก็นัดทานข้าวกับเพื่อนสาวคนสนิท (ที่เคยออกเมื่อหลายตอนที่แล้ว) ในวันเดียวกันนั้นเอง
- พูดคุยไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพักหนึ่ง คนพี่ก็ระบายให้เพื่อนฟังแบบเดียวกับที่ระบายให้แม่ฟังว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้ว อยากเลิกเป็นครูกลับมาอยู่บ้านกับครอบครัวเหมือนเดิม (ฟังจากที่คุยกัน ท่าทางเพื่อนสนิทก็เหมือนจะรู้เรื่องคนพี่เลิกกับพระเอกแล้วด้วย)
- เพื่อนสนิทได้ฟังดังนั้นก็ตอบแทบจะทันทีเหมือนกันว่าก็ดีแล้วนี่ ได้ลองเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ ได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ จนกว่าจะเจองานที่ใช่อะไรที่อยากทำมากกว่าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย
- เจอเพื่อนสนิทให้กำลังใจแบบนั้น เย็นนั้นคนพี่เลยมานั่งเป็นเว็บรับสมัครงานดู
- กำลังดูเว็บเพลินๆ พระเอกก็เข้ามาเคาะประตูขอคุยด้วยพอดี เลยไปเปิดให้เข้ามา
- เข้ามาในห้องปุ๊บ พระเอกก็คุกเข่าโขกหัวขอโทษคนพี่ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนพี่ต้องเสียใจ ทำให้คนพี่ต้องเจ็บปวด และบอกว่าถ้ามีอะไรที่เขาทำให้คนพี่ได้ก็ขอให้บอกมา เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษที่ตัวเองทำให้คนพี่ต้องเสียใจถึงขนาดจะเลิกอาชีพครูที่ตัวเองรัก แม้จะรู้ตัวว่าไม่อาจชดใช้ได้หมดก็ตาม
- เห็นกิริยาขอโทษขอโพยของพระเอกดังนั้น คนพี่ก็ก้มตัวลงกอดพระเอกไว้อย่างนุ่มนวล
ก็ประมาณนี้แฮะสำหรับตอนนี้
หลังอ่านจบ คำแรกที่ผมอยากบอกพระเอกขึ้นมาเลยก็คือ "เอ็งงี่เง่ารึไงห๊ะพระเอก" มานั่งโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดตัวเองทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดซักอย่างแบบนี้
เอาตรงๆ เลยนะ ที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกมันก็เพราะคนพี่คิดเองเออเองทั้งนั้นไม่ใช่เรอะ (คิดเองเออเองว่าคบกับพระเอกต่อไปไม่ได้เพราะโดนจับได้แล้ว คิดเองเออเองว่าถ้าคบกับพระเอกจะส่งผลต่อชื่อเสียงพระเอกในอนาคต คิดเองเออเองว่าต้องแยกทางกับพระเอกเท่านั้น คิดเองเออเองว่าต้องทำทุกวิถีทางผลักไสพระเอกให้เลิกกับตัว) อยู่ดีๆ พระเอกมาโบ้ยว่าตัวเองเป็นคนผิดนี่มันจะติงต๊องไปหน่อยรึเปล่า
รอดูตอนหน้าละครับว่าไอ้ความรู้สึกผิดแบบผิดที่ผิดทางนี่มันจะทำให้เรื่องวุ่นวายอีกแค่ไหน