
ปกติแบบ PROACTIVE จะค่อนข้างตั้งยากกว่า เพราะต้องคิดล่วงหน้า เพราะหุ้นเล่นอนาคต ไม่ใช่เล่นปัจจุบัน
แต่ SIGNAL เนี่ย เค้าก็ดีในเชิงว่า เค้าให้ความมั่นใจได้มากขึ้นหน่อย แต่ RR เค้าจะแย่ตามไปด้วย
นี่คือ การตั้งเทรดกระดาษนะครับ ยังไม่ได้ใส่ปัจจัย POSITION SIZING กับ FIXED DOLLAR LOSS MODEL
แต่นี่คือสิ่งที่เทรดเดอร์ควรมี นั้นคือ SET-UP เพราะสิ่งที่สำคัญคือ การมี เทคนิคคอลเพียวๆ จะช่วยเพียงคาดการณ์ทิศทางตลาด
แต่การรู้ทิศทางตลาด แต่ไม่สามารถมีสถานะ (มีของ) ได้อย่างได้เปรียบได้นั้น ก็อาจจะทำให้การคาดการณ์ถูกทางไม่มีประโยชน์ก็ได้
นอกจากนี้ หากเทรดเดอร์คิดการเทรดเป็นครั้งต่อครั้ง ไม่ได้เทรดเป็นกลุ่มตัวอย่าง เทรดเดอร์นั้นมีโอกาสพอร์ทระเบิดสูงมาก
เนื่องจากเทรดเดอร์ไม่มี TRADING PLAN
แล้วถ้าเทรดเดอร์คนไหนมี TRADING PLAN แล้วก็น่าจะทราบว่า การเทรดด้วย RR 1:1 และความแม่นยำ (Winrate) 50% เหมือนทอยหัวก้อยนั้น
จะไม่ทำให้เทรดเดอร์กำไร แต่เทรดเดอร์จะเสมอตัว
ส่วนอีกปัญหาหนึ่งของเทรดเดอร์คือ การอยู่ไม่ครบกลุ่มตัวอย่าง เช่นเทรดเดอร์ตั้งใจขาดทุนครั้งละ 2000 บาทต่อครั้ง
โดยเทรดเดอร์ยืนกรานว่า เป็นสิ่งที่รับได้ ซึ่งจริงๆแล้ว นั้นคือ เทรดเดอร์มองการเทรดเป็นครั้งต่อครั้งมากเกินไปนั้นเอง
เทรดเดอร์ควรมีชุดการเทรด ชุดเล็กสุดคือ 20 ครั้ง โดยกำหนดความแม่นยำของเทรดเดอร์เบื้องต้นที่ 50% (ชนะ 10 ครั้ง แพ้ 10)
ดังนั้นหากเทรดเดอร์ยอมรับได้ครั้งละ 2000 บาท เทรดเดอร์ต้องรู้ตัวเลยว่า ในกลุ่มการเทรดนี้ เทรดเดอร์ต้องมีเงิน 20,000 บาทเพื่อขาดทุน
แต่ยังไม่เท่านั้น สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องเรียนรู้ต่อมาคือ RANDOM DISTRIBUTION ของรอบกำไร / รอบขาดทุน
และเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาหลักสำคัญของเทรดเดอร์คือ การคาดหวังให้ทุกครั้งชนะ ซึ่งเป็นไปได้แค่ใน "ความฝัน" เท่านั้น
เพราะฉะนั้นหากยกตัวอย่าง WORST CASE เทรดเดอร์อาจจะเทรดขาดทุน 10 ครั้งต่อเนื่องก็ได้
คำถามคือ ครั้งที่ 11 -20 เทรดเดอร์จะชนะตลอดตามแผนที่วางไว้ (ACCORDING TO TRADING PLAN)
แต่ แต่ แต่ เทรดเดอร์จะไม่มีเงินเทรดในรอบที่ 11 นั้นเอง
เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้น เทรดเดอร์ที่จะเล่นชุดการเทรด 20 ครั้ง สมควรที่จะมีเงินในพอร์ทไว้ 40,000
แล้ว 40,000 นั้นควรจะต้องเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์พร้อมจะเสียด้วย
ดังนั้น คำถามจึงตกอยู่ว่า 2,000 ที่คุณพูดตอนแรกว่า ยอมรับได้นั้น มันยอมรับได้จริงๆหรืออออ
คำแนะนำจากผม ผมแนะนำ เทรดเดอร์ว่า
1. เทรดเดอร์กำหนดเงินที่จะเสี่ยงก่อน เช่น เทรดเดอร์มั่นใจเลยว่า ขาดทุน 10000 บาท เทรดเดอร์จะไม่มีรู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์ก็จงนำ 10000 นั้นมาหารด้วย ความแม่นยำขั้นพื้นฐานที่ 50% นั้นคือ แพ้ 10 ครั้ง
เทรดเดอร์ก็จะรู้ตัวว่า จริงๆแล้ว เงินที่เทรดเดอร์สูญเสียได้ต่อครั้งจริงๆคือ 1000 บาท ไม่ใช่ 2000 บาทอีกต่อไป
และอย่าลืมว่า หากเทรดเดอร์จะอยู่ครบกลุ่มการเทรด เทรดเดอร์นั้นต้องมีเงินในพอร์ทพอที่จะเล่นทั้งหมด 20 รอบ
นั้นคือ 1000 x 20 รอบคือ 20000
2. ไม่ว่าจะมีสถานะอะไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรมี RISK ความเสี่ยงที่จำกัดเป็นตัวเงินเท่านั้น ไม่ใช่จำกัดเป็นจุด
เพราะการมี POSITION SIZE ที่ต่างกัน แม้ความเสี่ยงจุดเท่ากัน เทรดเดอร์อาจจะพอร์ทระเบิดได้เช่น
การตั้ง STOP 1 จุด ด้วย 10 CONS = 2000 VS STOP 1 จุดด้วย 5 CONS = 1000
เพราะฉะนั้นจึงมีสูตรให้เทรดเดอร์ว่า
2.1 หาก SETUP ของเทรดเดอร์ RISK ต่ำ (ระวังการแกว่งตัวโดน RISK ด้วย) หมายถึง POSITION SIZE ของเทรดเดอร์จะเพิ่มขึ้นเองอัตโนมัติ
โดยที่ RISK ที่เป็นตัวเงินเท่าเดิม เช่น เทรดเดอร์เสี่ยงเงินได้ 2000 บาท
ใน SETUP นี้เทรดเดอร์มีความเสี่ยงอยู่ที่ 1 จุด เพราะฉะนั้น เทรดเดอร์จึงสามารถเปิดสัญญาได้ที่ 10 สัญญา (อย่าลืมคำนวณค่าคอมด้วยละ)
2.2 หาก SETUP ของเทรดเดอร์ RISK กว้าง (สูง) หมายถึง POSITION SIZE ของเทรดเดอร์จดลดลงเองอัตโนมัติ
โดยที่ RISK ที่เป็นตัวเงินเท่าเดิม เช่น เทรดเดอร์เสี่ยงเงินได้ 2000 บาท
ใน SETUP เทรดเดอร์มีความเสี่ยงอยู่ที่ 2 จุด เพราะฉะนั้น เทรดเดอร์จึงสามารถเปิดสัญญาได้เพียง 5 สัญญาเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตามเทรดเดอร์จะมีความเสี่ยงเท่ากันหมดทุกครั้งที่เทรด
ไม่ว่า SETUP จะมี RISK แคบ (ต่ำ) หรือจะมี RISK ที่กว้าง (สูง)
3. เทรดเดอร์ห้ามคาดหวังกำไรแบบครั้งต่อครั้งเด็ดขาด
ให้เทรดเดอร์มองเป็นการคาดหวังระยะยาว นั้นคือ เมื่อครบ 20 ครั้งแล้ว เทรดเดอร์จึงมาดูผลลัพธ์ ไม่ใช่ดูทุกครั้งไป
และนี่คือสิ่งที่กำจัดสิ่งที่เรียกว่า ขาดทุนเสียใจ กำไรดีใจ เทรดเดอร์ที่ไม่เข้าตรงนี้ จะมีอารมณ์เหมือนผู้หญิงประจำเดือนมา
แล้วเหตุใดกันเล่าเทรดเดอร์จึงไม่ควรขาดทุนเสียใจ กำไรดีใจ เพราะ เพราะ เทรดเดอร์ควรเข้าใจว่า ขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของ PROCESS นี้
เพราะเทรดเดอร์ได้คำนวณไว้แล้วใน TRADING PLAN ว่ามีความแม่นยำ (WINRATE) อยู่ที่ 50% เพราะฉะนั้นการขาดทุน 10 ครั้งจาก 20 ครั้ง
เป็นสิ่งที่ต้องเกิดอย่างแน่นอน เทรดเดอร์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่ากรณีๆใด (หมายเหตุ หาก WINRATE 50% นะ)
4. เทรดเดอร์ควรพัฒนา TRADE SETUP ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
ย้ำอีกครั้ง การเข้าใจกราฟเทคนิคคอล คาดการณ์ทิศทางได้ ไม่ได้หมายความว่า เทรดเดอร์จะกำไร
แต่การที่เทรดเดอร์จะกำไรได้ นั้นคือ การมีสถานะอย่างถูกทาง มิใช่หรืออออออ
ใครๆก็พูดได้ว่า LONG ตรงไหน ไปขายตรงโน้น SHORT ตรงนั้น มาขายตรงนี้
เห็นมั๊ยละ มันขึ้นจริงๆ มันลงจริง บลาาาาาาๆๆๆๆๆๆๆๆ
นั้นคือ เทรดเดอร์ที่ไม่เคยวาง TRADE SETUP
อย่างตัวอย่าง PTT ภาพบนสุดเลย เทรดเดอร์ก็เห็นว่า หากมี SHORT วันนี้
เทรดเดอร์คาดหวัง RR ได้เพียง 1:1 เท่านั้น
ซึ่งหากเทรดเดอร์นำไปคำนวณในแผนการเทรด TRADING PLAN อย่างละเอียด เทรดเดอร์จะพบว่า
การทำแบบนี้มันไม่ได้อะไร เสียค่าคอมไปเปล่า เช่น
ความเสี่ยงอยู่ที่ 1000 บาท
ชนะ 10 ครั้ง เทรดเดอร์ได้กำไร 10000 บาท
แพ้ 10 ครั้ง เทรดเดอร์ขาดทุน 10000 บาท
ปล. ไม่รวมค่าคอมมิสชั่นนะ เพราะฉะนั้นทำแบบนี้แล้ว เทรดเดอร์ไม่ได้อะไร โบรกเกอร์รวยขึ้น
นำไปสู่สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องคือ การคาดหวัง RR 1:2
ซึ่งฟังดูแล้ว เหมือนง่าย สำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่เคยเทรด แต่ยากมากสำหรับเทรดเดอร์ที่เทรดเดอร์เป็นประจำ (ที่ไม่ใช่นักลงทุน VI)
เช่น เทรดเดอร์อาจเคยได้ยินมาว่า ตั้ง STOP LOSS 2 จุด เพื่อคัส
คำนวณคือ หากเทรดเดอร์ตั้ง STOP LOSS 2 จุดๆ เพื่อคัส เทรดเดอร์ต้องทำ 4 จุดเพื่อ RR 1:2
นั้นคือ สิ่งที่เน้นให้เทรดเดอร์เห็นว่า การตั้ง SETUP เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเทรดเดอร์มี RISK ที่แคบ เนื่องจาก SETUP ที่เฉียบคม
เทรดเดอร์จะได้ REWARD ง่ายมากขึ้น
ดังต่ออย่างภาพด้านขวาที่เป็น SETUP แบบ PROACTIVE
------------
แต่หากเทรดเดอร์มี SETUP แบบ BREAKOUT (ขอเรียกว่า BROKEN) เทรดเดอร์จะรู้เลยว่า Risk จะไกลมากๆ
และเมื่อ RISK ไกลมากๆ แล้วเทรดเดอร์ล็อคขาดทุนเอาไว้เป็นตัวเงิน POSITION SIZE ที่เหลือออกมาจะน้อยมาก
----------------
ขอจบไว้เพียงเท่านี้
ใส่คอมเม้นท์เสียๆหายๆกันได้เต็มที่
เพราะผมเข้าใจว่า การเป็นคนที่คนอื่นรู้จักในวงกว้าง การไม่เห็นด้วยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เหมือนกับการเทรดเป็นชุดการเทรดที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้นั้นเอง
-------------
ขอยกตัวอย่างอีกสักตัวครับ เจออยู่ 4 SETUP
แบบ แรกครับ PROACTIVE คือ เจอแนวต้านที่สำคัญ ยังไม่เกิดสัญญาณ ก็คาดว่าใช่ลงแน่
ซึ่งก็จะให้ BEST RR ครับ แต่ในความเป็นจริงที่ไม่ใช่กระดาษ SETUP แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ

แบบที่สองคือ CURVE เป็น TOP

แบบที่สาม ล้าง CANDLE ตัวแม่

แบบที่สี่ คือ แบบ BASIC TECHNICAL ANALYSIS หลุดแนวรับแล้วตาม

ภาพต่อมาขอแสดงความสัมพันธ์ของ RISK กับ REWARD ที่เกิดขึ้นครับ ใน SETUP แบบที่สี่
หากปรับ RISK ให้ต่ำลง เทรดเดอร์จะได้ REWARD ง่ายขึ้น
แต่เช่นเดียวกัน ดาบสองคม หากหุ้นเด้งกลับ หุ้นจะโดน STOP LOSS ง่ายขึ้น
เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้อง COMPROMISE กันครับระหว่าง
หุ้นโดน STOP (RISK แคบลง REWARD ง่ายขึ้น) กับ
หุ้นไม่โดน STOP แน่ๆ แต่ RISK กว้างขึ้น REWARD ยากขึ้น
โดยทั้งสองกรณีขาดทุนเท่าเดิม

แบบสุดท้ายแย่สุดสำหรับนักลงทุนระยะยาวอะได้ แต่สำหรับเทรดเดอร์ BREAKOUT เทรด เราไม่นิยมครับ
(หากเค้ารู้นะว่า ถ้า SHORT แบบ BREAKOUT ต้องวาง STOP LOSS ไว้เหนือ HIGH แท่งเทียนข้างๆ เพราะหลายๆคนไม่รู้ครับ)
เทรดเดอร์กลุ่มนี้จะเห็นว่า อ๋อ TRIANGLE BREAKOUT SHORT ประมาณนั้น
ก็ลองเปรียบเทียบ RR ดูแล้วกันนะครับทุกๆ SETUP

ดังนั้นครับฝากไว้ เทรดกราฟ จงมี TRADE SETUP ครับ
และก็จงเทรดตาม TRADING PLAN แบบกลุ่มการเทรด
เพราะหลายๆคนที่ผมคุยมา มี TRADING PLAN ครับ แต่เป็น TRADING PLAN แบบครั้งต่อครั้ง
ผลลัพธ์คือ เค้าเครียดมากครับ เพราะอยากชนะทุกครั้ง
และก็ฝากคำถามกันสวนเทรดครับ เพราะผมได้ยินหนาหูเหลือเกินว่า เทรนตามเทรนๆๆๆๆ
พอผมถามจริงๆ ก็ให้ความหมายในแบบที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อการเทรด และการตั้ง SETUP
ผมจึงอยากฝากคำพูดที่ผมคิดขึ้นเองครับ คำถามกันสวนเทรน
1. ถ้าจะ LONG กราฟไปชนแนวต้าน แล้วลง แล้วขึ้นต่อใช่ไหม
ถ้าใช่ = ไม่สวน ขาขึ้น HIGHER HIGH + HIGHER LOW
ถ้ากลางๆ แปลว่า SIDEWAYS ไม่เข้าเงื่อนไข ของขาขึ้นและขาลงทุกกรณี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เสริมองค์ประกอบ SIDEWAYS ครอบจักรวาล
SAME HIGH SAME LOW = สี่เหลี่ยม RECTANGLE
SAME HIGH HIGHER LOW = สามเหลี่ยมฐานเฉียงขึ้น ASCENDING
SAME HIGH LOWER LOW = สามเหลี่ยมปากแตรแบบหัวตัด BROADING LOWER
SAME LOW HIGHER HIGH = สามเหลี่ยมปากแตรแบบฐานตัด BROADING HIGH
SAME LOW LOWER HIGH = สามเหลี่ยมหัวเฉียงลง DESCENDING
ถ้าไม่ใช่ สวน = ขาลง LOWER HIGH + LOWER LOW
2. ถ้าจะ SHORT กราฟไปชนแนวรับ แล้วเด้ง แล้วลงต่อใช่ไหม
ถ้าใช่ = ขาลง LOWER HIGH + LOWER LOW
ถ้ากลางๆ แปลว่า SIDEWAYS ไม่เข้าเงื่อนไข ของขาขึ้นและขาลงทุกกรณี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เสริมองค์ประกอบ SIDEWAYS ครอบจักรวาล
SAME HIGH SAME LOW = สี่เหลี่ยม RECTANGLE
SAME HIGH HIGHER LOW = สามเหลี่ยมฐานเฉียงขึ้น ASCENDING
SAME HIGH LOWER LOW = สามเหลี่ยมปากแตรแบบหัวตัด BROADING LOWER
SAME LOW HIGHER HIGH = สามเหลี่ยมปากแตรแบบฐานตัด BROADING HIGH
SAME LOW LOWER HIGH = สามเหลี่ยมหัวเฉียงลง DESCENDING
ถ้าไม่ใช่ สวน = ขาขึ้น HIGHER HIGH + HIGHER LOW
----------
โชคดีการลงทุนครับ บาย
ทดสอบการตั้ง SET-UP หน้า SHORT แบบ PROACTIVE VS SIGNAL
แต่ SIGNAL เนี่ย เค้าก็ดีในเชิงว่า เค้าให้ความมั่นใจได้มากขึ้นหน่อย แต่ RR เค้าจะแย่ตามไปด้วย
นี่คือ การตั้งเทรดกระดาษนะครับ ยังไม่ได้ใส่ปัจจัย POSITION SIZING กับ FIXED DOLLAR LOSS MODEL
แต่นี่คือสิ่งที่เทรดเดอร์ควรมี นั้นคือ SET-UP เพราะสิ่งที่สำคัญคือ การมี เทคนิคคอลเพียวๆ จะช่วยเพียงคาดการณ์ทิศทางตลาด
แต่การรู้ทิศทางตลาด แต่ไม่สามารถมีสถานะ (มีของ) ได้อย่างได้เปรียบได้นั้น ก็อาจจะทำให้การคาดการณ์ถูกทางไม่มีประโยชน์ก็ได้
นอกจากนี้ หากเทรดเดอร์คิดการเทรดเป็นครั้งต่อครั้ง ไม่ได้เทรดเป็นกลุ่มตัวอย่าง เทรดเดอร์นั้นมีโอกาสพอร์ทระเบิดสูงมาก
เนื่องจากเทรดเดอร์ไม่มี TRADING PLAN
แล้วถ้าเทรดเดอร์คนไหนมี TRADING PLAN แล้วก็น่าจะทราบว่า การเทรดด้วย RR 1:1 และความแม่นยำ (Winrate) 50% เหมือนทอยหัวก้อยนั้น
จะไม่ทำให้เทรดเดอร์กำไร แต่เทรดเดอร์จะเสมอตัว
ส่วนอีกปัญหาหนึ่งของเทรดเดอร์คือ การอยู่ไม่ครบกลุ่มตัวอย่าง เช่นเทรดเดอร์ตั้งใจขาดทุนครั้งละ 2000 บาทต่อครั้ง
โดยเทรดเดอร์ยืนกรานว่า เป็นสิ่งที่รับได้ ซึ่งจริงๆแล้ว นั้นคือ เทรดเดอร์มองการเทรดเป็นครั้งต่อครั้งมากเกินไปนั้นเอง
เทรดเดอร์ควรมีชุดการเทรด ชุดเล็กสุดคือ 20 ครั้ง โดยกำหนดความแม่นยำของเทรดเดอร์เบื้องต้นที่ 50% (ชนะ 10 ครั้ง แพ้ 10)
ดังนั้นหากเทรดเดอร์ยอมรับได้ครั้งละ 2000 บาท เทรดเดอร์ต้องรู้ตัวเลยว่า ในกลุ่มการเทรดนี้ เทรดเดอร์ต้องมีเงิน 20,000 บาทเพื่อขาดทุน
แต่ยังไม่เท่านั้น สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องเรียนรู้ต่อมาคือ RANDOM DISTRIBUTION ของรอบกำไร / รอบขาดทุน
และเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาหลักสำคัญของเทรดเดอร์คือ การคาดหวังให้ทุกครั้งชนะ ซึ่งเป็นไปได้แค่ใน "ความฝัน" เท่านั้น
เพราะฉะนั้นหากยกตัวอย่าง WORST CASE เทรดเดอร์อาจจะเทรดขาดทุน 10 ครั้งต่อเนื่องก็ได้
คำถามคือ ครั้งที่ 11 -20 เทรดเดอร์จะชนะตลอดตามแผนที่วางไว้ (ACCORDING TO TRADING PLAN)
แต่ แต่ แต่ เทรดเดอร์จะไม่มีเงินเทรดในรอบที่ 11 นั้นเอง
เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้น เทรดเดอร์ที่จะเล่นชุดการเทรด 20 ครั้ง สมควรที่จะมีเงินในพอร์ทไว้ 40,000
แล้ว 40,000 นั้นควรจะต้องเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์พร้อมจะเสียด้วย
ดังนั้น คำถามจึงตกอยู่ว่า 2,000 ที่คุณพูดตอนแรกว่า ยอมรับได้นั้น มันยอมรับได้จริงๆหรืออออ
คำแนะนำจากผม ผมแนะนำ เทรดเดอร์ว่า
1. เทรดเดอร์กำหนดเงินที่จะเสี่ยงก่อน เช่น เทรดเดอร์มั่นใจเลยว่า ขาดทุน 10000 บาท เทรดเดอร์จะไม่มีรู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์ก็จงนำ 10000 นั้นมาหารด้วย ความแม่นยำขั้นพื้นฐานที่ 50% นั้นคือ แพ้ 10 ครั้ง
เทรดเดอร์ก็จะรู้ตัวว่า จริงๆแล้ว เงินที่เทรดเดอร์สูญเสียได้ต่อครั้งจริงๆคือ 1000 บาท ไม่ใช่ 2000 บาทอีกต่อไป
และอย่าลืมว่า หากเทรดเดอร์จะอยู่ครบกลุ่มการเทรด เทรดเดอร์นั้นต้องมีเงินในพอร์ทพอที่จะเล่นทั้งหมด 20 รอบ
นั้นคือ 1000 x 20 รอบคือ 20000
2. ไม่ว่าจะมีสถานะอะไรก็ตาม เทรดเดอร์ควรมี RISK ความเสี่ยงที่จำกัดเป็นตัวเงินเท่านั้น ไม่ใช่จำกัดเป็นจุด
เพราะการมี POSITION SIZE ที่ต่างกัน แม้ความเสี่ยงจุดเท่ากัน เทรดเดอร์อาจจะพอร์ทระเบิดได้เช่น
การตั้ง STOP 1 จุด ด้วย 10 CONS = 2000 VS STOP 1 จุดด้วย 5 CONS = 1000
เพราะฉะนั้นจึงมีสูตรให้เทรดเดอร์ว่า
2.1 หาก SETUP ของเทรดเดอร์ RISK ต่ำ (ระวังการแกว่งตัวโดน RISK ด้วย) หมายถึง POSITION SIZE ของเทรดเดอร์จะเพิ่มขึ้นเองอัตโนมัติ
โดยที่ RISK ที่เป็นตัวเงินเท่าเดิม เช่น เทรดเดอร์เสี่ยงเงินได้ 2000 บาท
ใน SETUP นี้เทรดเดอร์มีความเสี่ยงอยู่ที่ 1 จุด เพราะฉะนั้น เทรดเดอร์จึงสามารถเปิดสัญญาได้ที่ 10 สัญญา (อย่าลืมคำนวณค่าคอมด้วยละ)
2.2 หาก SETUP ของเทรดเดอร์ RISK กว้าง (สูง) หมายถึง POSITION SIZE ของเทรดเดอร์จดลดลงเองอัตโนมัติ
โดยที่ RISK ที่เป็นตัวเงินเท่าเดิม เช่น เทรดเดอร์เสี่ยงเงินได้ 2000 บาท
ใน SETUP เทรดเดอร์มีความเสี่ยงอยู่ที่ 2 จุด เพราะฉะนั้น เทรดเดอร์จึงสามารถเปิดสัญญาได้เพียง 5 สัญญาเท่านั้น
เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตามเทรดเดอร์จะมีความเสี่ยงเท่ากันหมดทุกครั้งที่เทรด
ไม่ว่า SETUP จะมี RISK แคบ (ต่ำ) หรือจะมี RISK ที่กว้าง (สูง)
3. เทรดเดอร์ห้ามคาดหวังกำไรแบบครั้งต่อครั้งเด็ดขาด
ให้เทรดเดอร์มองเป็นการคาดหวังระยะยาว นั้นคือ เมื่อครบ 20 ครั้งแล้ว เทรดเดอร์จึงมาดูผลลัพธ์ ไม่ใช่ดูทุกครั้งไป
และนี่คือสิ่งที่กำจัดสิ่งที่เรียกว่า ขาดทุนเสียใจ กำไรดีใจ เทรดเดอร์ที่ไม่เข้าตรงนี้ จะมีอารมณ์เหมือนผู้หญิงประจำเดือนมา
แล้วเหตุใดกันเล่าเทรดเดอร์จึงไม่ควรขาดทุนเสียใจ กำไรดีใจ เพราะ เพราะ เทรดเดอร์ควรเข้าใจว่า ขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของ PROCESS นี้
เพราะเทรดเดอร์ได้คำนวณไว้แล้วใน TRADING PLAN ว่ามีความแม่นยำ (WINRATE) อยู่ที่ 50% เพราะฉะนั้นการขาดทุน 10 ครั้งจาก 20 ครั้ง
เป็นสิ่งที่ต้องเกิดอย่างแน่นอน เทรดเดอร์ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่ากรณีๆใด (หมายเหตุ หาก WINRATE 50% นะ)
4. เทรดเดอร์ควรพัฒนา TRADE SETUP ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
ย้ำอีกครั้ง การเข้าใจกราฟเทคนิคคอล คาดการณ์ทิศทางได้ ไม่ได้หมายความว่า เทรดเดอร์จะกำไร
แต่การที่เทรดเดอร์จะกำไรได้ นั้นคือ การมีสถานะอย่างถูกทาง มิใช่หรืออออออ
ใครๆก็พูดได้ว่า LONG ตรงไหน ไปขายตรงโน้น SHORT ตรงนั้น มาขายตรงนี้
เห็นมั๊ยละ มันขึ้นจริงๆ มันลงจริง บลาาาาาาๆๆๆๆๆๆๆๆ
นั้นคือ เทรดเดอร์ที่ไม่เคยวาง TRADE SETUP
อย่างตัวอย่าง PTT ภาพบนสุดเลย เทรดเดอร์ก็เห็นว่า หากมี SHORT วันนี้
เทรดเดอร์คาดหวัง RR ได้เพียง 1:1 เท่านั้น
ซึ่งหากเทรดเดอร์นำไปคำนวณในแผนการเทรด TRADING PLAN อย่างละเอียด เทรดเดอร์จะพบว่า
การทำแบบนี้มันไม่ได้อะไร เสียค่าคอมไปเปล่า เช่น
ความเสี่ยงอยู่ที่ 1000 บาท
ชนะ 10 ครั้ง เทรดเดอร์ได้กำไร 10000 บาท
แพ้ 10 ครั้ง เทรดเดอร์ขาดทุน 10000 บาท
ปล. ไม่รวมค่าคอมมิสชั่นนะ เพราะฉะนั้นทำแบบนี้แล้ว เทรดเดอร์ไม่ได้อะไร โบรกเกอร์รวยขึ้น
นำไปสู่สิ่งที่เทรดเดอร์ต้องคือ การคาดหวัง RR 1:2
ซึ่งฟังดูแล้ว เหมือนง่าย สำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่เคยเทรด แต่ยากมากสำหรับเทรดเดอร์ที่เทรดเดอร์เป็นประจำ (ที่ไม่ใช่นักลงทุน VI)
เช่น เทรดเดอร์อาจเคยได้ยินมาว่า ตั้ง STOP LOSS 2 จุด เพื่อคัส
คำนวณคือ หากเทรดเดอร์ตั้ง STOP LOSS 2 จุดๆ เพื่อคัส เทรดเดอร์ต้องทำ 4 จุดเพื่อ RR 1:2
นั้นคือ สิ่งที่เน้นให้เทรดเดอร์เห็นว่า การตั้ง SETUP เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเทรดเดอร์มี RISK ที่แคบ เนื่องจาก SETUP ที่เฉียบคม
เทรดเดอร์จะได้ REWARD ง่ายมากขึ้น
ดังต่ออย่างภาพด้านขวาที่เป็น SETUP แบบ PROACTIVE
------------
แต่หากเทรดเดอร์มี SETUP แบบ BREAKOUT (ขอเรียกว่า BROKEN) เทรดเดอร์จะรู้เลยว่า Risk จะไกลมากๆ
และเมื่อ RISK ไกลมากๆ แล้วเทรดเดอร์ล็อคขาดทุนเอาไว้เป็นตัวเงิน POSITION SIZE ที่เหลือออกมาจะน้อยมาก
----------------
ขอจบไว้เพียงเท่านี้
ใส่คอมเม้นท์เสียๆหายๆกันได้เต็มที่
เพราะผมเข้าใจว่า การเป็นคนที่คนอื่นรู้จักในวงกว้าง การไม่เห็นด้วยเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เหมือนกับการเทรดเป็นชุดการเทรดที่ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้นั้นเอง
-------------
ขอยกตัวอย่างอีกสักตัวครับ เจออยู่ 4 SETUP
แบบ แรกครับ PROACTIVE คือ เจอแนวต้านที่สำคัญ ยังไม่เกิดสัญญาณ ก็คาดว่าใช่ลงแน่
ซึ่งก็จะให้ BEST RR ครับ แต่ในความเป็นจริงที่ไม่ใช่กระดาษ SETUP แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
หากปรับ RISK ให้ต่ำลง เทรดเดอร์จะได้ REWARD ง่ายขึ้น
แต่เช่นเดียวกัน ดาบสองคม หากหุ้นเด้งกลับ หุ้นจะโดน STOP LOSS ง่ายขึ้น
เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้อง COMPROMISE กันครับระหว่าง
หุ้นโดน STOP (RISK แคบลง REWARD ง่ายขึ้น) กับ
หุ้นไม่โดน STOP แน่ๆ แต่ RISK กว้างขึ้น REWARD ยากขึ้น
โดยทั้งสองกรณีขาดทุนเท่าเดิม
(หากเค้ารู้นะว่า ถ้า SHORT แบบ BREAKOUT ต้องวาง STOP LOSS ไว้เหนือ HIGH แท่งเทียนข้างๆ เพราะหลายๆคนไม่รู้ครับ)
เทรดเดอร์กลุ่มนี้จะเห็นว่า อ๋อ TRIANGLE BREAKOUT SHORT ประมาณนั้น
ก็ลองเปรียบเทียบ RR ดูแล้วกันนะครับทุกๆ SETUP
และก็จงเทรดตาม TRADING PLAN แบบกลุ่มการเทรด
เพราะหลายๆคนที่ผมคุยมา มี TRADING PLAN ครับ แต่เป็น TRADING PLAN แบบครั้งต่อครั้ง
ผลลัพธ์คือ เค้าเครียดมากครับ เพราะอยากชนะทุกครั้ง
และก็ฝากคำถามกันสวนเทรดครับ เพราะผมได้ยินหนาหูเหลือเกินว่า เทรนตามเทรนๆๆๆๆ
พอผมถามจริงๆ ก็ให้ความหมายในแบบที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อการเทรด และการตั้ง SETUP
ผมจึงอยากฝากคำพูดที่ผมคิดขึ้นเองครับ คำถามกันสวนเทรน
1. ถ้าจะ LONG กราฟไปชนแนวต้าน แล้วลง แล้วขึ้นต่อใช่ไหม
ถ้าใช่ = ไม่สวน ขาขึ้น HIGHER HIGH + HIGHER LOW
ถ้ากลางๆ แปลว่า SIDEWAYS ไม่เข้าเงื่อนไข ของขาขึ้นและขาลงทุกกรณี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าไม่ใช่ สวน = ขาลง LOWER HIGH + LOWER LOW
2. ถ้าจะ SHORT กราฟไปชนแนวรับ แล้วเด้ง แล้วลงต่อใช่ไหม
ถ้าใช่ = ขาลง LOWER HIGH + LOWER LOW
ถ้ากลางๆ แปลว่า SIDEWAYS ไม่เข้าเงื่อนไข ของขาขึ้นและขาลงทุกกรณี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ถ้าไม่ใช่ สวน = ขาขึ้น HIGHER HIGH + HIGHER LOW
----------
โชคดีการลงทุนครับ บาย