กรณี " ผู้ช่วยเภชัสชกร " เสียชีวิต ในวัดธรรมกาย เหตุสุวิสัย หรือ ตั้งใจพลีชีพ

ขออนุญาตออกตัวว่า ไม่มีความสะใจ หรือ ดีใจต่อการเสียชีวิตของ " กัลยาณมิตร คุณพัฒนา เชียงแรง " เจ้าหน้าที่ของศูนย์พยาบาลวัดพระธรรมกาย ในตำแหน่ง " ผู้ช่วยเภสัชกร " และขอแสดงความเสียใจ มายังครอบครัว ณ โอกาสนี้ด้วย แต่ความจริงมันก็คือความจริงวันยังค่ำว่า แท้ที่จริงแล้ว คุณ ผช.ภก.พัฒนา ท่านนี้เสียชีวิตเพราะเหตุใดกันแน่ จะด้วยเหตุสุดวิสัย หรือตั้งใจพลีชีพ เพื่อให้วัดได้นำมาเป็นข้อต่อรองสร้างเงื่อนไขต่อรัฐและเจ้าหน้าที่หรือไม่อย่างไรต้องติดตามกระบวนการชันสูตรของแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป ไม่ว่าจะเป็นประเด็น

-การเสียชีวิตเป็นเวลาเท่าใดก่อนจึงแจ้งเจ้าหน้าที่   
-การเดินทางไปให้การช่วยเหลือ
-การติดต่อทางโปรแกรมแชทไลน์ ว่าในขณะใช้งานอยู่นั้นผู้เสียชีวิตใช้งานเองหรือมีใครใช้งาน

แต่ ณ กระทู้นี้ผมขออนุญาแสดงความเห็นในมุมมองของผม คือ

1.ปกติแล้วบุคคลที่ ใช้คำนำหน้านาม " กัลยาณมิตร " ถือเป็นบุคคลที่คนธรรมกายให้ความยอมรับนับถือ ว่าเป็นผู้มีศรัทธาในวัด ในพระธัมมชโย ยอมสละความสุขส่วนตัว มาอยู่ช่วยงานวัด อย่างทุ่มเท คนพวกนี้เป็นผู้มีศรัทธาสูง ถึงสูงมาก อะไรที่ไม่ต้องด้วยจริตตนและทำให้วัดพระธรรมกายเสียหายในสายตาของตนแล้วหล่ะก็ ต้องถึงไหนถึงกัน อย่างที่เคยได้ยินข่าวเมื่อวันสองวันก่อน ที่มีการออกมาแถลงว่าในวัดมีผู้ป่วย ทั้งหืดหอบ ทั้งมะเร็ง แต่ก็จะไม่ออกมา จนกว่าจะมีการยกเลิก ม.44 ไม่จะยังไงก็ตาม



2.ผู้เสียชีวิต เป็นบุคคลากรในศูนย์พยาบาลวัดพระธรรมกาย ศูนย์พยาบาลที่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เผลอๆ มีมากกว่าโรงพยาลศูนย์ประจำตำบลเสียอีก บุคคลที่เป็นบุคคลากรที่จะมาประจำอยู่ที่ศูนย์พยาบาลนี้ จึงจำจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในระดับดี เพื่อให้บริการแก่พระภิกษุ-สามเณร เรือนพัน และสาธุชนที่มาวัดเรือนแสน เรือนล้าน และผู้เสียชีวิตเองก็ทำหน้าที่เป็น " ผู้ช่วยเภสัชกร " หรือคือ ผู้ช่วยหมอยา ดังนี้ ความรู้ความชำนาญเรื่องยา การจัดยา ต้องดีพอสมควร




3.จากข้อที่ 2 ในเมื่อตัวเองก็เป็น ผู้ช่วยเภสัชกร และตัวเองก็ทราบอยู่แล้วว่า ตัวเองมีโรคประจำตัวชนิดใด ต้องใช้ยาจำนวนเท่าใด ทำไมไม่ขอรับยาไปให้พอเพียง ยิ่งในช่วงเวลา ที่ประกาศควบคุมพื้นอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสถานการณ์ไม่ปกติตามที่สาวกวัดบอก หาว่าลำบากในการเดินทาง ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางตามที่ว่าบ้างหล่ะ ก็แล้วทำไมไม่ถึงไม่จัดยาให้เพียงพอกับความต้องการของตน หรือว่าแพทย์ผู้สั่งจ่ายยาลืมไปว่า วัดอยู่ในพื้นที่ควบคุมกระนั้นหรือเปล่า

4.จากข้อ 3 คนที่มีโรคประจำตัวอย่างนี้ ต้องมีภาวะรู้ตัว ว่าโรคจะเกิดขึ้นต่อเมื่อใด การเตรียมตัว เผื่อรับความฉุกเฉินก็ต้องพร้อม แต่จากภาพข่าวทั้งของสองฝั่ง ไม่ว่าธรรมกายเอง หรือเจ้าหน้าที่เองที่เข้าไปช่วยเหลือ ที่ปรากฎในไลน์ และแชร์ไปในโลกโซเชี่ยลนั้นก็จะพบว่า



- ผู้ตายไลน์ขอความช่วยเหลือ จากเพื่อนผู้ตาย ( ถ้าผู้ตายใช้ไลน์เองนะ )
- มีการบอกอาการและพิกัดการไปรับ
- มาถึงห้องพบผู้ตายเสียชีวิตแล้ว ( แต่จะเสียชีวิตเวลาไหนนั้น จะเป็น หลัง จนท.ไปถึง ตามที่ธรรมกายว่า หนึ่งชั่วโมงกว่า หรือตามกระแสข่าวก่อน จนท. ไปถึงห้าชั่วโมง ก็จะต้องรอผลชันสูตรต่อไป ) แต่ถ้าหากเอาตามที่ธรรมกายว่า คือหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ นั้น ทำให้รู้สึกได้ว่า ผู้ตายไม่ได้เตรียมพร้อมไปพบเจ้าหน้าที่พยาบาล หรือว่าเตรียมพร้อมจะรอรับการช่วยเหลือเลย ดังข้อสังเกตุ ต่อไปนี้

1.ทันที ที่จบการสนทนาไลน์ ผู้ตายก็น่าจะเตรียม ผลัดเปลี่ยนชุดที่เหมาะสม เพื่อไปสถานพยาบล แต่ทว่า ตอน จนท.กู้ภัยไปพบ ผู้ตายสวมชุดนอน มีความน่าจะเป็นมากน้องแค่ไหน ที่พอเล่นไลน์เสร็จเสียชีวิตทันที



2.ผู้ตายต้องทราบแจ้งแก่ใจดีแล้วว่า อาการหอบ หืด หากกำเริบแล้วนั้น อาการจะมีเช่นไร ตั้งแต่การแสดงอาการน้อยที่สุดไปจนถึงการแสดงอาการที่หนักที่สุด เพื่อความรอบคอบหากมีความรักตนเอง ต้องประเมินอาการตัวเองได้ และเตรียมพร้อม เช่น คิดว่าถ้าฉันหมดสติไป คนจะเข้ามาช่วยนั้น จะเข้ามาได้ไหม ประตู ต้องควรปลดล็อคไว้หรือเปล่า นี่ จนท.ไปถึง ต้องพังประตูนะครับ ถึงเข้าไปได้


เหล่านี้คือข้อสังเกตุ " ในเบื้องต้น " ส่วนตัวผม หากถามผมว่าแล้วมีข้อสัณนิษฐานอะไรมารองรับการตั้งข้อสังเกตุของผม ก็ขอเรียนว่า เมื่อวันสองวันก่อน มีบุคคลแต่งกายเลียนแบบพระสงห์รูปหนึ่งออกมาบีบน้ำตาร้องห่มร้องไห้บอกว่า " ไม่อยากใช้คำว่าหมาจนตรอก ขอใช้คำว่า หลังชนกำแพง แล้ว " ของแบบนี้ อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ครับ กับผู้มีศรัทธานำปัญญา ตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ชั้นไหนต่อชั้นไหน เป็นเครื่องล่อศรัทธาได้ดีนักแลครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่