ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่เก้า ๒๘ ก.พ.๖๐

บันทึกของผู้เฒ่า

ก้าวสู่ทศษวรรษที่เก้า

        คราวก่อนได้บันทึกเรื่อง วันสุดท้ายของทศวรรษที่ แปด คราวนี้ก็จะบีนทึกต่อไป แต่พิมพ์มาสองหนแล้ว มีอันเป็นข้อความหายไปทุกที ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ดูซิจะสำเร็จไหม

        เมื่อย่างเข้า พ.ศ.๒๕๕๕ อายุ ๘๑ ปี ร่างการก็เริ่มเสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด คือสมองเสื่อม ตามัว จมูกไม่ค่อยได้กลิ่น ฟันหลุดร่วงโหว่แหว่ง ขาแข้งอ่อนเปลี้ย เดินไม่ได้ไกล โดยเฉพาะข้างขวาเดินแล้วปวดสะโพก บางทีแทบทนไม่ไหว กระเพาะอาหารมีโรคกรดไหลย้อน แต่หมอได้ให้ยารักษาทุกอาการ จึงไม่เป็นอัลไซเมอร์ และอย่างอืนก็พอทนไปได้

        พ.ศ.๒๕๕๖ อายุ ๘๒ ปี ตาขวามัวมากขึ้น หมอแนะนำให้ผาสตัดลอดต้อกระจก ก็ขอคิดดูก่อน ถึง ธันวาคม ได้รับข่าวว่า “เจียวต้าย” และ “เล่าเซี่งชุน” ตะได้รับรางวัล “นราธิป” ในฐานะที่เรียบเรียงสามก๊ก ฉบับลิ่วล้อมานาน ตั้งแต่ ๒๕๓๓ ถึง ๒๕๕๑ ร่วม ๒๐ ปี ทั้ง ๆ ที่เขียนหนังสือมาตั้ง แต่ ๒๔๙๑ ครบ ๖๐ ปี และว่าจะวางมือแล้ว

        พ.ศ.๒๕๕๗ อายุ ๘๓ ปี เดือน มกราคม วันที่ ๒๕ ไปรับโล่เกียรติยศรางวัลนราธิป จากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ที่ห้องประชุมใหญ่ หอสมุดแห่งชาติ โดยได้แต่ค่ารถเท่านั้น

    กุมภาพันธ์ สำนักพิมพ์ คุณธรรมและ ปันปัญญา มาขอลิขสิทธิ์ สามก๊กฉบับลิ่วล้อ ไปพิมพ์ครั้งที่ ๒

               ถึงเดือนมิถุนายน จึงตัดสินใจไปผ่าตัดลอกต้อตาชวา ที่โรงพยาบาลพระปงกุฎเกล้า สำเร็จสองดือนเห็นแจ๋ว ทำให้ดีใจมาก และเขียน สามก๊กฉบับคำกลอนได้อีก ๓๐๐ กว่าบทกลอน แต่ไม่มีใครพิมพ์ ต้องพิมพ์เองเอาไว้แจกงานศพ จากเงินที่ได้ในการพิมพ์ครั้งที่ ๒ นี้

        พ.ศ.๒๕๕๘ อายุ ๘๔ ปี ความเจ็บป่วยได้กำเริบมากขึ้น โดยเฉพาะขาที่อ่อนแรง บางครั้งเดินแทบไม่ได้และลูกชายก็ป่วย เป็นโรคตับ มีน้ำในช่องท้อง ต้องไปเจาะออก ๓-๕ วันครั้ง ไป รพ.วชิรพยาบาล เขาก็จะส่งไป รพ.กลาง ตามสิทธิ์บัตรทอง ทั้ง ๆ ที่เราจะจ่ายเงินสด เพราะมีประกันที่น้องชายเขาทำไว้ให้ ต้องไป รพ.มิชชั่น ก็เสียเงินนอกสิทธิ์ประกันครั้งละเป็นหมื่น ซึ่งเป็นความทุกขอย่างยิ่ง ทั้งพ่อลูก

        พ.ศ.๒๕๕๙ อายุ ๘๕ ปี เป็นเป็นปีที่มีแต่ความทุกข์ บุญเก่าคงจะหมดไปแล้ว เหลือแต่กรรม ที่จะต้องชดใช้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต

    ชีวิตได้ผ่านเข้ามาในทศวรรษที่เก้า เป็นปีที่ ๖ พ..ศ.๒๕๖๐ อายุ ๘๖ ปีจะครบใน ๑๙ มีนาคม  พ.ศ.นี้ อนาคตไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตของเราตั้งแต่เกิด ก็พบกับความยากจนแสนลำบาก กว่าจะผ่านพ้นมาได้ เมื่ออายุเกือบ ๔๐ ปี และมีความเจริญก้าวหน้า มีความสุขสมบูรณ์มาจนถึง ๖๐ ปี เมื่อเกษียณอายุราชการ และ ยังมีความสุขด้วยการเขียนหนังสือ จนถึง อายุ ๘๐ ปี เศษ หลงคิดว่าคงหมดกรรมแล้ว จึงเสวยความสุขนั้นอย่างสำราญใจ หารู้ไม่ว่ากรรมที่ทำตอนนี้จะต้องมาชดใช้เมื่อถึงช่วงท้ายของชีวิต อาจจะพบความทุกข์ยากก่อนตายก็ได้

    แต่ทุกสิ่งได้เกิดขึ้นแล้ว รอแต่เวลาเท่านั้น ว่าเมื่อไรจะถึงจุดจบเสียที.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่