.
"รับดิฉันทำงานสักคนไม่ได้จริงๆ หรือคะ......”
ผมมองหน้าขาวๆของสุภาพสตรีซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าอย่างเห็นใจ ดูท่าทางของเธอเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ากับการตรากตรำหางาน ตามประสาคนตกงานมาตรฐานทั่วไป มือของเธอจับปากกาหมุนไปมาอย่างปราศจากความหมาย แต่กระนั้นแววตาก็ซ่อนความรุ่นร้อนกระวนกระวายใจไม่ได้
เธอมาสมัครงาน
เศรษฐกิจระยะนี้ชะลอตัวอย่างหนัก เพราะทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักไม่เว้นแม้แต่การจ้างงาน แรงงานระดับรากหญ้าทั้งหลายเริ่มถูกปลดไปหลายตำแหน่ง คนโชคดีมีคนช่วยเหลือหรือมีเงินทุนสำรองตกงานหลายเดือนก็ยังคงมีความสุขสบายดี แต่หลายคนไม่ได้เป็นแบบนั้น บางคนหมายถึงการอิ่มปากอิ่มท้องของคนหลายคนตราบใดที่ท้องยังหิวอยู่ทุกวันและเส้นทางวันข้างหน้าอันไร้ความหวัง
จากการพูดคุยซักถาม ผมพอจะรู้ประวัติของเธอโดยสังเขป หญิงสาววัยสามสิบกว่าคนนี้เป็นหม้ายจากการหย่าร้าง สาเหตุมาจากสามีเจ้าชู้ไปติดพันกับหญิงอื่นถึงขั้นไปอยู่กินกันอย่างออกหน้าออกตา ทิ้งให้เธอต้องอยู่ในสภาพตัวคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ โชคร้ายยังติดตามตอกย้ำชีวิตอีกครั้ง โดยการถูกอัญเชิญออกจากงานประจำ เนื่องจากมีผู้ทรงความรู้สูงกว่า มาดำรงตำแหน่งแทน และเงินเก็บสะสมไว้ก็ร่อยหรอไปตามกาลเวลา
เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการตระเวนหางานทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริษัทต่างๆ โรงแรม ร้านอาหาร โดยหวังว่าจะมีงานทำโดยไม่เกี่ยงเงินเดือน ขอเพียงมีเงินเลี้ยงตัวเท่านั้น แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ทุกแห่งให้คำตอบคล้ายกันคือการปฏิเสธอย่างสุภาพ .. เดี๋ยวเราจะติดต่อกลับไปนะคะ..เราจะมีหนังสือแจ้งให้ทราบทีหลังครับ......หลังจากนั้นคือความเงียบงันไร้วี่แวว
“ใจจริงผมก็อยากจะรับคุณทำงานหรอกครับ....” ผมเอ่ยกับเธอโดยพยายามซ่อนความอึดอัดหนักใจเอาไว้เต็มที่ การปฏิเสธใครสักคนผู้กำลังเดือดร้อนเป็นสิ่งทรมานใจเหลือเกิน และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดในชีวิต
“แต่อ่านตามประวัติแล้ว คุณไม่มีสมบัติพอจะทำงานกับเราได้เลยครับ”
“ได้โปรดเถอะค่ะ.....” ใบหน้าของเธอซีดเผือดและดูสิ้นหวัง พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“งานอะไรก็ได้ จะเป็นเก็บกวาดถูพื้น ทำความสะอาด ล้างถ้วยชาม ทำได้ทั้งนั้น และเงินเดือนก็ไม่ต้องมากขอเพียงมีเงินใช้บ้างก็พอแล้วค่ะ..ขอเพียงมีงานทำ.....”
คนที่ไม่มีงานทำดูเห็นคุณค่าของงานเหลือเกิน ขณะที่หลายคนมีงานทำบางคนไม่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับงานที่ตนเองทำ อย่างโน้นก็ไม่ดี อย่างนั้นก็ไม่ดี หลบเลี่ยงงานอย่างเต็มความสามารถ โลกนี้มีอะไรตรงกันข้ามกันอย่างนี้เสมอ หญิงสาวคนนี้ความจริงรูปร่างหน้าตาของเธอไม่เลวเลย ออกจะสวยและน่ารักเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคนรักบางทีอาจไม่ยอมปล่อยผู้หญิงแบบนี้ให้อยู่โดดเดี่ยวอ้างว้างและสิ้นหวังอย่างแน่นอน เธอควรจะมีคนคอยดูแลและปกป้อง แต่ก็นั่นล่ะ ผมก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน ลำพังก็เอาตัวแทบไม่รอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติทางการเมือง ปัญหาการเมือง น้ำมันแพง เศรษฐกิจตกต่ำแบบในยุคปัจจุบัน
“ก็อย่างที่บอกครับ...” ขณะที่อธิบาย ผมพยายามไม่มองหน้าเธอ เพราะทนไม่ได้กับสายตาเจ็บปวดและสิ้นหวังคู่นั้น
“ตอนนี้บริษัทของเราไม่มีนโยบายรับคนเพิ่มเลย มีแต่นโยบายเชิญคนออกเรื่อยๆ รู้ไหม ผมเห็นใจและสงสารคุณมาก ไม่อยากให้คุณผิดหวังเลย แต่ผมรับคุณทำงานไม่ได้จริงๆ”
“เพราะบริษัทของคุณล่มกำลังแย่หรือคะ บางทีดิฉันอาจช่วยได้ ดิฉันพอมีความรู้ทางการตลาดอยู่บ้าง อาจช่วยเหลือคุณได้ไม่มากก็น้อย โดยจะขอเงินเดือนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ดิฉันไม่ต้องการอยู่ว่างๆ อยู่ในบ้านวันแล้ววันเล่าโดยที่ไม่มีงานทำ….คุณรู้ไหมว่าคนตกงานต้องอยู่ในบ้านคนเดียวนานๆ มันเป็นอย่างไร อ้างว้างเจ็บปวดแค่ไหน”
ประโยคหลังเธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ทำเอาผมแทบน้ำตาไหลไปด้วยเพราะซึมซับกับความเจ็บปวดขมขื่นได้ถนัดชัดเจน แต่เสียดายว่าต้องปฏิเสธคำขอร้องของเธอแม้หัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงก็ตาม
“รู้ครับ....ผมก็เคยผ่านเวลาแบบนั้นมาเหมือนกัน…แต่เหตุผลที่เรารับคุณไม่ได้ไม่ใช่เรื่องงานของบริษัทหรอกครับ แต่เป็นเพราะว่าคุณไม่มีสมบัติที่เหมาะสมเท่านั้น”
“ดิฉันขาดสมบัติข้อไหนไปคะ บางทีอาจจะชี้แจงให้ความกระจ่างคุณได้”
“คุณกลับไปเถอะครับ เสียใจจริงๆ ที่เรารับคุณไม่ได้” ผมตัดบท ไม่ต้องการบอกความจริงอะไรบางอย่างกับเธอ ความจริงบางทีก็เลวร้ายเกินไปจนยากที่จะรับ และความจริงบางอย่างรู้ไปก็เท่านั้น ไม่ต้องรู้มันเสียดีกว่า ทั้งที่เข้าใจว่านตกงานมีทางเลือกไม่มากนัก ยิ่งนานวันเข้าความเครียดเริ่มมาเยือน พร้อมกับเงินในกระเป๋าลดน้อยลงทุกที จะใช้เงินแต่ละบาทเหมือนเชือดเฉือนหัวใจของตนเองออกไปด้วย จะซื้ออาหารสักอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก
“ทำไมคะ.....มันหนักหนาสาหัสอะไรขนาดไหน ถ้าไม่รับก็ไม่รับ แต่อย่างน้อยคุณควรจะบอกเหตุผลชัดเจนให้ดิฉันรับทราบบ้างสิคะ”
น้ำเสียงของเธอเริ่มออกแววโมโหเกรี้ยวกราดผสมกับความผิดหวังอย่างรุนแรง และจุดนี้เองที่ผู้หญิงจะเริ่มน่ากลัว และน่ากลัวที่สุดถ้าเอาไม่อยู่ คงจะประมาณกับทะเลยามราบเรียบไร้คลื่นลมดูสวยงาม พอเกิดพายุร้ายกระหน่ำกลับเปลี่ยนไปเป็นความน่าประหวั่นพรั่นพรึง เกรงว่าความเครียดเป็นตัวบีบคั้นอันเลวร้ายกับการหาทางออกไปในทางเลวร้ายกับอารมณ์ชั่ววูบ
“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
“คุณบอกมาเถอะค่ะ”
ผมส่ายหัวอย่างจนปัญญา มองหน้าเธอด้วยความเห็นใจครู่หนึ่งและกล่าวอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงพยายามข่มให้ราบเรียบปกติที่สุด
“ผมรับคุณไม่ได้ เพราะบริษัทของเราไม่สามารถรับคนที่ตายไปแล้วได้ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าความจริงคุณตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ศพของคุณยังห้อยโตงเตงอยู่ในบ้านเลย”
หญิงสาวตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะ ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงทุกทีจนแทบจะเป็นใบหน้าคนตายไปแล้ว สิ่งที่เธอรับฟังคงคาดไม่ถึง รุนแรง ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางจิตใจบอบบางและอ่อนไหว หลายอึดใจต่อมาเธอก็ลุกขึ้นร้องสุดเสียงอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่
“ไม่จริง....มันไม่ใช่เรื่องจริง... คุณโกหก...ฉันยังอยู่ที่นี่ ยังมีตัวตน... คุณไม่ต้องหาเรื่องปฏิเสธบ้าๆแบบนี้หรอก..”
“ลองนึกดูให้ดีสิครับคุณผู้หญิง” ผมพยายามอธิบายอย่างอดทน
“เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ นึก แล้วจะนึกออกเอง .....คุณตกงานอยู่หลายเดือน เดินหางานจนเงินหมด คุณเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก สามีก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแลคุณ ญาติพี่น้องแทบไม่มาเหลียวแล ..คุณกลายเป็นคนมีความเครียด คิดมาก เก็บกดและสิ้นหวังขั้นรุนแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ในที่สุดคุณก็.........”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านี้แล้ว....ถึงอยากจะอธิบายอะไรต่อไปก็คงทำไม่ได้เพราะอารมณ์สะทกสะท้อนวิ่งขึ้นมาจุกในลำคอกับอาการน้ำตารื้นฝ้าฟางมองด้วยสายตาเห็นใจและปลอบใจ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เธอค่อยลดอาการเกรี้ยวกราดรุนแรงลง สีหน้าท่าทางเหมือนเริ่มเข้าใจและรับรู้อะไรบางอย่าง .....บางอย่างต้องอาศัยระยะเวลาและแรงกระตุ้นในการปรับสภาพ คนเราอาจไม่ง่ายนักในการปรับเปลี่ยนรับสภาพโลกแห่งความตายนอกเหนือสามัญสำนึกหรือการคาดเดามาก่อน
ในเวลาต่อมา เธอก็หันมายิ้มเศร้าๆให้กับผม ไม่มีประกายคำถามอะไรอีกในสายตาสงบลงคู่นั้น เพียงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็ค่อยๆจางหายไปในความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอันหดหู่หม่นหมอง เมื่อนึกถึงภาพหญิงสาวที่ยังไม่รู้ตัวว่าตายกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนเดินหางานทำอย่างโดดเดี่ยวสิ้นหวังช่างให้ความรู้สึกชวนปวดร้าวเวทนาหดหู่เหลือเกิน
น่าสงสารเธอจริงๆ แต่ก็อย่างว่า จะมีใครรับคนที่ตายไปแล้วทำงานล่ะครับ... การตกงานเป็นสิ่งน่ากลัวและเป็นโศกนาฏกรรมบทหนึ่งของมนุษย์ชาติ มันเปรียบเสมือนการตายทั้งเป็นกับคนหลายคน คุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีงานทำ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอาหาร มีทางออกและสิ่งที่ให้เลือกไม่มากนักกับคนตกงาน และทางออกเหล่านั้นก็ไม่ได้สวยงามอะไรเลย บางทีเลวร้ายพอๆ หรือยิ่งกว่าการตกงานเสียด้วยซ้ำ
ผมอยากจะช่วยเธอเหลือเกิน แต่จนปัญญาจริงๆ
ก็เพราะว่าจะมีคนตายที่ไหนรับคนอื่นมาทำงานได้ล่ะครับ สองเดือนก่อนบริษัทของผมขาดทุนย่อยยับและการล้มละลายครั้งยิ่งใหญ่ อีกเดือนเศษๆต่อมา ผมก็จัดการเอาเชือกผูกคอตัวเองแขวนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในบริษัท อย่างไรผมก็ยังตัดใจจากมันไม่ได้ แม้จะรู้ว่าอีกไม่นานสถานที่แห่งนี้จะมีคนอื่นเข้ามาอาศัย แต่ผมคิดว่าจะไม่ยอมให้ใครมาครอบครองง่ายๆหรอก มันต้องหลอกต้องหลอนให้แหลกกันไปข้างหนึ่ง โดยเฉพาะพวกนายทุนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผู้อื่น จะไม่รามือให้เด็ดขาด
บางทีสิ่งที่พอทำได้อาจเป็นเพียงการติดตามไปปลอบใจเธอ แนะนำข้อควรปฏิบัติและการวางตัวแบบผีๆ ให้กับเธอ ในฐานะรุ่นพี่ของกาลแห่งความตายที่รู้อะไรๆในโลกแห่งความตายดีกว่าเธอ
ผมมองนอกหน้าต่าง ใกล้มืดแล้วและไม่มีอะไรต้องรอคอยอีกต่อไปจึงเลือกที่จะจางหายไปอย่างช้า ๆ ภายในห้องอันเยือกเย็นหม่นมัวสกปรกรกร้าง และเต็มไปด้วยฝุ่นละอองหยากไย่ปกคลุม เศษกระดาษเอกสารเก่าๆ กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบเพราะปราศจากการดูแลเอาในใส่มานาน..
คนหางาน
"รับดิฉันทำงานสักคนไม่ได้จริงๆ หรือคะ......”
ผมมองหน้าขาวๆของสุภาพสตรีซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าอย่างเห็นใจ ดูท่าทางของเธอเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ากับการตรากตรำหางาน ตามประสาคนตกงานมาตรฐานทั่วไป มือของเธอจับปากกาหมุนไปมาอย่างปราศจากความหมาย แต่กระนั้นแววตาก็ซ่อนความรุ่นร้อนกระวนกระวายใจไม่ได้
เธอมาสมัครงาน
เศรษฐกิจระยะนี้ชะลอตัวอย่างหนัก เพราะทุกอย่างเหมือนหยุดชะงักไม่เว้นแม้แต่การจ้างงาน แรงงานระดับรากหญ้าทั้งหลายเริ่มถูกปลดไปหลายตำแหน่ง คนโชคดีมีคนช่วยเหลือหรือมีเงินทุนสำรองตกงานหลายเดือนก็ยังคงมีความสุขสบายดี แต่หลายคนไม่ได้เป็นแบบนั้น บางคนหมายถึงการอิ่มปากอิ่มท้องของคนหลายคนตราบใดที่ท้องยังหิวอยู่ทุกวันและเส้นทางวันข้างหน้าอันไร้ความหวัง
จากการพูดคุยซักถาม ผมพอจะรู้ประวัติของเธอโดยสังเขป หญิงสาววัยสามสิบกว่าคนนี้เป็นหม้ายจากการหย่าร้าง สาเหตุมาจากสามีเจ้าชู้ไปติดพันกับหญิงอื่นถึงขั้นไปอยู่กินกันอย่างออกหน้าออกตา ทิ้งให้เธอต้องอยู่ในสภาพตัวคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ โชคร้ายยังติดตามตอกย้ำชีวิตอีกครั้ง โดยการถูกอัญเชิญออกจากงานประจำ เนื่องจากมีผู้ทรงความรู้สูงกว่า มาดำรงตำแหน่งแทน และเงินเก็บสะสมไว้ก็ร่อยหรอไปตามกาลเวลา
เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากการตระเวนหางานทำ ไม่ว่าจะเป็นการบริษัทต่างๆ โรงแรม ร้านอาหาร โดยหวังว่าจะมีงานทำโดยไม่เกี่ยงเงินเดือน ขอเพียงมีเงินเลี้ยงตัวเท่านั้น แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเอาเสียเลย ทุกแห่งให้คำตอบคล้ายกันคือการปฏิเสธอย่างสุภาพ .. เดี๋ยวเราจะติดต่อกลับไปนะคะ..เราจะมีหนังสือแจ้งให้ทราบทีหลังครับ......หลังจากนั้นคือความเงียบงันไร้วี่แวว
“ใจจริงผมก็อยากจะรับคุณทำงานหรอกครับ....” ผมเอ่ยกับเธอโดยพยายามซ่อนความอึดอัดหนักใจเอาไว้เต็มที่ การปฏิเสธใครสักคนผู้กำลังเดือดร้อนเป็นสิ่งทรมานใจเหลือเกิน และนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดในชีวิต
“แต่อ่านตามประวัติแล้ว คุณไม่มีสมบัติพอจะทำงานกับเราได้เลยครับ”
“ได้โปรดเถอะค่ะ.....” ใบหน้าของเธอซีดเผือดและดูสิ้นหวัง พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“งานอะไรก็ได้ จะเป็นเก็บกวาดถูพื้น ทำความสะอาด ล้างถ้วยชาม ทำได้ทั้งนั้น และเงินเดือนก็ไม่ต้องมากขอเพียงมีเงินใช้บ้างก็พอแล้วค่ะ..ขอเพียงมีงานทำ.....”
คนที่ไม่มีงานทำดูเห็นคุณค่าของงานเหลือเกิน ขณะที่หลายคนมีงานทำบางคนไม่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับงานที่ตนเองทำ อย่างโน้นก็ไม่ดี อย่างนั้นก็ไม่ดี หลบเลี่ยงงานอย่างเต็มความสามารถ โลกนี้มีอะไรตรงกันข้ามกันอย่างนี้เสมอ หญิงสาวคนนี้ความจริงรูปร่างหน้าตาของเธอไม่เลวเลย ออกจะสวยและน่ารักเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคนรักบางทีอาจไม่ยอมปล่อยผู้หญิงแบบนี้ให้อยู่โดดเดี่ยวอ้างว้างและสิ้นหวังอย่างแน่นอน เธอควรจะมีคนคอยดูแลและปกป้อง แต่ก็นั่นล่ะ ผมก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน ลำพังก็เอาตัวแทบไม่รอดอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติทางการเมือง ปัญหาการเมือง น้ำมันแพง เศรษฐกิจตกต่ำแบบในยุคปัจจุบัน
“ก็อย่างที่บอกครับ...” ขณะที่อธิบาย ผมพยายามไม่มองหน้าเธอ เพราะทนไม่ได้กับสายตาเจ็บปวดและสิ้นหวังคู่นั้น
“ตอนนี้บริษัทของเราไม่มีนโยบายรับคนเพิ่มเลย มีแต่นโยบายเชิญคนออกเรื่อยๆ รู้ไหม ผมเห็นใจและสงสารคุณมาก ไม่อยากให้คุณผิดหวังเลย แต่ผมรับคุณทำงานไม่ได้จริงๆ”
“เพราะบริษัทของคุณล่มกำลังแย่หรือคะ บางทีดิฉันอาจช่วยได้ ดิฉันพอมีความรู้ทางการตลาดอยู่บ้าง อาจช่วยเหลือคุณได้ไม่มากก็น้อย โดยจะขอเงินเดือนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ดิฉันไม่ต้องการอยู่ว่างๆ อยู่ในบ้านวันแล้ววันเล่าโดยที่ไม่มีงานทำ….คุณรู้ไหมว่าคนตกงานต้องอยู่ในบ้านคนเดียวนานๆ มันเป็นอย่างไร อ้างว้างเจ็บปวดแค่ไหน”
ประโยคหลังเธอทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ทำเอาผมแทบน้ำตาไหลไปด้วยเพราะซึมซับกับความเจ็บปวดขมขื่นได้ถนัดชัดเจน แต่เสียดายว่าต้องปฏิเสธคำขอร้องของเธอแม้หัวใจจะแตกเป็นเสี่ยงก็ตาม
“รู้ครับ....ผมก็เคยผ่านเวลาแบบนั้นมาเหมือนกัน…แต่เหตุผลที่เรารับคุณไม่ได้ไม่ใช่เรื่องงานของบริษัทหรอกครับ แต่เป็นเพราะว่าคุณไม่มีสมบัติที่เหมาะสมเท่านั้น”
“ดิฉันขาดสมบัติข้อไหนไปคะ บางทีอาจจะชี้แจงให้ความกระจ่างคุณได้”
“คุณกลับไปเถอะครับ เสียใจจริงๆ ที่เรารับคุณไม่ได้” ผมตัดบท ไม่ต้องการบอกความจริงอะไรบางอย่างกับเธอ ความจริงบางทีก็เลวร้ายเกินไปจนยากที่จะรับ และความจริงบางอย่างรู้ไปก็เท่านั้น ไม่ต้องรู้มันเสียดีกว่า ทั้งที่เข้าใจว่านตกงานมีทางเลือกไม่มากนัก ยิ่งนานวันเข้าความเครียดเริ่มมาเยือน พร้อมกับเงินในกระเป๋าลดน้อยลงทุกที จะใช้เงินแต่ละบาทเหมือนเชือดเฉือนหัวใจของตนเองออกไปด้วย จะซื้ออาหารสักอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก
“ทำไมคะ.....มันหนักหนาสาหัสอะไรขนาดไหน ถ้าไม่รับก็ไม่รับ แต่อย่างน้อยคุณควรจะบอกเหตุผลชัดเจนให้ดิฉันรับทราบบ้างสิคะ”
น้ำเสียงของเธอเริ่มออกแววโมโหเกรี้ยวกราดผสมกับความผิดหวังอย่างรุนแรง และจุดนี้เองที่ผู้หญิงจะเริ่มน่ากลัว และน่ากลัวที่สุดถ้าเอาไม่อยู่ คงจะประมาณกับทะเลยามราบเรียบไร้คลื่นลมดูสวยงาม พอเกิดพายุร้ายกระหน่ำกลับเปลี่ยนไปเป็นความน่าประหวั่นพรั่นพรึง เกรงว่าความเครียดเป็นตัวบีบคั้นอันเลวร้ายกับการหาทางออกไปในทางเลวร้ายกับอารมณ์ชั่ววูบ
“คุณอยากรู้จริงๆ เหรอครับ”
“คุณบอกมาเถอะค่ะ”
ผมส่ายหัวอย่างจนปัญญา มองหน้าเธอด้วยความเห็นใจครู่หนึ่งและกล่าวอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงพยายามข่มให้ราบเรียบปกติที่สุด
“ผมรับคุณไม่ได้ เพราะบริษัทของเราไม่สามารถรับคนที่ตายไปแล้วได้ ผมไม่อยากจะบอกเลยว่าความจริงคุณตายไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ศพของคุณยังห้อยโตงเตงอยู่ในบ้านเลย”
หญิงสาวตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะ ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงทุกทีจนแทบจะเป็นใบหน้าคนตายไปแล้ว สิ่งที่เธอรับฟังคงคาดไม่ถึง รุนแรง ราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางจิตใจบอบบางและอ่อนไหว หลายอึดใจต่อมาเธอก็ลุกขึ้นร้องสุดเสียงอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่
“ไม่จริง....มันไม่ใช่เรื่องจริง... คุณโกหก...ฉันยังอยู่ที่นี่ ยังมีตัวตน... คุณไม่ต้องหาเรื่องปฏิเสธบ้าๆแบบนี้หรอก..”
“ลองนึกดูให้ดีสิครับคุณผู้หญิง” ผมพยายามอธิบายอย่างอดทน
“เรื่องแบบนี้มันต้องค่อยๆ นึก แล้วจะนึกออกเอง .....คุณตกงานอยู่หลายเดือน เดินหางานจนเงินหมด คุณเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างหมดอาลัยตายอยาก สามีก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแลคุณ ญาติพี่น้องแทบไม่มาเหลียวแล ..คุณกลายเป็นคนมีความเครียด คิดมาก เก็บกดและสิ้นหวังขั้นรุนแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ในที่สุดคุณก็.........”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านี้แล้ว....ถึงอยากจะอธิบายอะไรต่อไปก็คงทำไม่ได้เพราะอารมณ์สะทกสะท้อนวิ่งขึ้นมาจุกในลำคอกับอาการน้ำตารื้นฝ้าฟางมองด้วยสายตาเห็นใจและปลอบใจ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่เธอค่อยลดอาการเกรี้ยวกราดรุนแรงลง สีหน้าท่าทางเหมือนเริ่มเข้าใจและรับรู้อะไรบางอย่าง .....บางอย่างต้องอาศัยระยะเวลาและแรงกระตุ้นในการปรับสภาพ คนเราอาจไม่ง่ายนักในการปรับเปลี่ยนรับสภาพโลกแห่งความตายนอกเหนือสามัญสำนึกหรือการคาดเดามาก่อน
ในเวลาต่อมา เธอก็หันมายิ้มเศร้าๆให้กับผม ไม่มีประกายคำถามอะไรอีกในสายตาสงบลงคู่นั้น เพียงทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็ค่อยๆจางหายไปในความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศอันหดหู่หม่นหมอง เมื่อนึกถึงภาพหญิงสาวที่ยังไม่รู้ตัวว่าตายกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนเดินหางานทำอย่างโดดเดี่ยวสิ้นหวังช่างให้ความรู้สึกชวนปวดร้าวเวทนาหดหู่เหลือเกิน
น่าสงสารเธอจริงๆ แต่ก็อย่างว่า จะมีใครรับคนที่ตายไปแล้วทำงานล่ะครับ... การตกงานเป็นสิ่งน่ากลัวและเป็นโศกนาฏกรรมบทหนึ่งของมนุษย์ชาติ มันเปรียบเสมือนการตายทั้งเป็นกับคนหลายคน คุณจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีงานทำ จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าอาหาร มีทางออกและสิ่งที่ให้เลือกไม่มากนักกับคนตกงาน และทางออกเหล่านั้นก็ไม่ได้สวยงามอะไรเลย บางทีเลวร้ายพอๆ หรือยิ่งกว่าการตกงานเสียด้วยซ้ำ
ผมอยากจะช่วยเธอเหลือเกิน แต่จนปัญญาจริงๆ
ก็เพราะว่าจะมีคนตายที่ไหนรับคนอื่นมาทำงานได้ล่ะครับ สองเดือนก่อนบริษัทของผมขาดทุนย่อยยับและการล้มละลายครั้งยิ่งใหญ่ อีกเดือนเศษๆต่อมา ผมก็จัดการเอาเชือกผูกคอตัวเองแขวนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในบริษัท อย่างไรผมก็ยังตัดใจจากมันไม่ได้ แม้จะรู้ว่าอีกไม่นานสถานที่แห่งนี้จะมีคนอื่นเข้ามาอาศัย แต่ผมคิดว่าจะไม่ยอมให้ใครมาครอบครองง่ายๆหรอก มันต้องหลอกต้องหลอนให้แหลกกันไปข้างหนึ่ง โดยเฉพาะพวกนายทุนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผู้อื่น จะไม่รามือให้เด็ดขาด
บางทีสิ่งที่พอทำได้อาจเป็นเพียงการติดตามไปปลอบใจเธอ แนะนำข้อควรปฏิบัติและการวางตัวแบบผีๆ ให้กับเธอ ในฐานะรุ่นพี่ของกาลแห่งความตายที่รู้อะไรๆในโลกแห่งความตายดีกว่าเธอ
ผมมองนอกหน้าต่าง ใกล้มืดแล้วและไม่มีอะไรต้องรอคอยอีกต่อไปจึงเลือกที่จะจางหายไปอย่างช้า ๆ ภายในห้องอันเยือกเย็นหม่นมัวสกปรกรกร้าง และเต็มไปด้วยฝุ่นละอองหยากไย่ปกคลุม เศษกระดาษเอกสารเก่าๆ กระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบเพราะปราศจากการดูแลเอาในใส่มานาน..