เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 4 ระเบิดความในใจด้วยวาซาบิ

กระทู้สนทนา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่ 4 ระเบิดความในใจด้วยวาซาบิ

              รักตปักษ์นั่งฟังเพลงบรรเลงภายในบริษัทแห่งหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ ปกติแล้วเขาจะไม่สนใจเพลงแนวนี้ เพราะชื่นชอบดนตรีจังหวะร้อนแรงมากกว่า และโปรดปรานแนว J Rock มาก โดยเฉพาะวง One OK Rock ของแดนปลาดิบ หลายครั้งที่ชายหนุ่มยอมควักเงินซื้อตั๋วเครื่องบินไปชมทัวร์คอนเสิร์ตของวงนี้ในต่างประเทศ แต่ก็มีบางอารมณ์ที่เขาอยากผ่อนคลาย อย่างเช่นในตอนนี้ หลังจากวิ่งตะลอนไปตามบริษัทมาเกือบค่อนวัน ฝ่าแดดอันร้อนระอุยิ่งกว่าทะเลทราย ยิ่งเจอกับการจราจรที่ติดหนับเหมือนหอยทากติดกาวดักหนูด้วยแล้ว ก็ยิ่งเหนื่อยจนแทบจะหมดแรง พอถึงบริษัทเคมีภัณฑ์ซึ่งเป็นที่หมายสุดท้าย ระหว่างรอจดหมายตอบรับเขาก็ถือโอกาสยึดโซฟาตรงมุมดีที่สุดของห้อง นั่งหลับตาปล่อยความเหนื่อยล้าทั้งหมดให้ล่องลอยไปกับเสียงดนตรี

          อย่างที่บอก รักตปักษ์ไม่ใช่พวกคลั่งไคล้เพลงคลาสสิกเท่าไหร่ แต่เพราะเคยได้ยินจากคุณพ่อ ซึ่งชื่นชอบแนวนี้เป็นพิเศษเลยพอจะรู้ว่า เสียงเปียโนที่ดังออกมาจากลำโพง เป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมของคีตกวีเอกของโลก  โชแปง  

              ชายหนุ่มนั่งหลับตาพริ้มฟังเพลงหวานอย่างมีความสุข พลางนึกวางแผนเอาไว้ในใจว่า หลังเสร็จงาน เขาจะบึ่งรถกลับไปนอนตากแอร์ที่บ้านให้ฉ่ำอุรา

              เดี๋ยวสิ! เขาต้องแวะไปจัดการเจ้าเชฟหัตถ์เทพนั่นก่อน ไม่งั้นคงกินข้าวไม่ลง

              ใบหน้าหล่อจนน่าหมั่นไส้พร้อมรอยยิ้มกวนประสาทผุดขึ้นมาในความคิด รักตปักษ์เบิกตาโพลงก่อนขยับนั่งตัวตรง ความโรแมนติกเมื่อครู่มลายหายไปจนเกลี้ยง สมองเต้นตุบด้วยความเจ็บใจที่จนป่านนี้แล้วเขายังเล่นงานเจ้าหมอนั่นไม่ได้สักที แถมเมื่อวานยังโดนหยามเกียรติจากกการถูกเจ้าเชฟบ้าเข้าประชิดแบบไม่ทันตั้งตัว ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาจะต้องหาทางแก้เผ็ดหมอนั่นให้ได้ แต่จะด้วยวิธีใดเพราะหากแผนไม่รัดกุมพอ ตัวเขาเองนั่นแหละที่จะโดนตอกกลับจนหน้าหงายเหมือนที่ผ่านมา

              เอาไงดี รักตปักษ์คิด ที่จริงแล้วมันก็มีวิธีง่ายๆ อย่างรอดักตีหัวหลังเลิกงาน แต่นั่นเป็นทางเลือกของพวกนักเลงหัวไม้ซึ่งไม่มีชั้นเชิงเลยสักนิด ระดับปัญญาชนอย่างเขามันต้องเป็นงานคลาสสิก ไม่จำเป็นต้องสร้างบาดแผล แต่ต้องเจ็บชนิดฝังลึกลงไปในความทรงจำ นึกถึงเมื่อไหร่เป็นต้องดิ้นไปจนวันตาย

              แต่จะด้วยวิธีใดล่ะ ?

              ชายหนุ่มคิดพลางสะบัดหัวเบาๆก่อนเสยผมฟูยุ่งให้เข้าที่ ครั้งนี้เขาต้องคิดอย่างรอบคอบและระวังให้มาก เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเชฟตัวแสบย้อนศรเล่นงานกลับมา ความจริงแล้วเขาอยากให้เจ้าบ้านั่นถูกไล่ออก แต่จากการสังเกตพฤติกรรมของพนักงานในร้าน ดูเหมือนหัตถ์เทพจะเป็นที่รักและเคารพของทุกคน ข้อสำคัญคือการนำของราคาแพงอย่างสึจิโกะมาให้ลูกค้ากินเล่นฟรีๆได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ แสดงว่าหมอนั่นไม่ได้เป็นแค่เชฟซูชิธรรมดา แผนกำจัดด้วยการไล่ออกจากงานจึงต้องพับทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย

               ระหว่างจมอยู่ในความยุ่งเหยิงของแผนการนับสิบที่กำลังผุดขึ้นในหัว รักตปักษ์ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเพลงจากสมาร์ตโฟน ชายหนุ่มถอนใจออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะกำลังนึกแผนได้อยู่พอดี แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทร. เขาก็รีบปัดความคิดดังกล่าวก่อนกดรับ  

              “ครับพี่” รักตปักษ์ขานรับได้เพียงแค่นั้นเพราะอีกฝ่ายสวนคำกลับมาแบบถี่ยิบ พอรู้ถึงสาเหตุของการติดต่อ และงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

              “จะให้ผมเป็นคนดำเนินการหรือครับ” เขาถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฟังผิด อีกฝ่ายจึงยืนยันพร้อมกับอธิบายข้อมูลของงานซึ่งแม้รักตปักษ์จะรู้เรื่องดีอยู่แล้ว ก็ยังคงตั้งใจฟังเผื่อมีรายละเอียดเพิ่มเติม พอคนโทร.พูดจบ เขาก็ถอนใจออกมาเบาๆ “เข้าใจแล้วครับพี่ เสร็จจากทางนี้แล้วผมจะรีบบึ่งไปที่นั่นทันที คิดว่าไม่เกินสิบนาทีคงถึง”

              เสียงคนติดต่อซึ่งคือนายวินัยกล่าวขอบอกขอบใจก่อนวางสาย ยังไม่ทันรักตปักษ์จะยัดสมาร์ตโฟนเข้ากระเป๋า เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการสาวสวยก็เดินเข้ามาหา

              “เรียบร้อยแล้วค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้ ตามด้วยสมุดและปากกา “ช่วยเซ็นรับด้วยค่ะ”

              ชายหนุ่มตรวจเอกสารที่ได้ว่าเรียบร้อยทุกอย่างก่อนรับสมุดมาเซ็น พอดึงออกไปพนักงานสาวก็มองชื่อของเขาทันที

              “ลายเซ็นเก๋จังเลยนะคะ” เธอกล่าวทักก่อนส่งยิ้มที่ผู้ชายดูออกว่าเป็นการทอดสะพานไปให้ รักตปักษ์จึงยิ้มตอบตามมารยาท

              “ครับ” เขาพูดสั้นๆก่อนหยิบหมวกกันน็อก “ขอบคุณมากครับ”

              ชายหนุ่มกล่าวคำอำลาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องเก้อก่อนเดินออกไปยังลานจอดรถ สวมหมวกกับถุงมือควบคามุยอิออกสู่ถนนใหญ่ แต่ไม่ได้กลับบริษัทอย่างดังที่ตั้งใจไว้แต่แรก หากเป็นโรงแรมหรูย่านกลางเมือง

              ระหว่างบิดคันเร่งเพื่อให้ถึงที่หมายเร็วขึ้น รักตปักษ์ก็นึกวางแผนการเอาไว้ในใจไปด้วยว่าเขาควรทำตัวอย่างไร เพราะงานที่เพิ่งได้รับมอบหมายคือการติดต่อกับตัวแทนบริษัทเคมีภัณฑ์จากประเทศญี่ปุ่น ทีแรกชายหนุ่มเองยังนึกแปลกใจกับหน้าที่นี้ เพราะลำดับขั้นของเขายังไม่มีสิทธิ์ติดต่อประสานงานกับใครโดยตรง แต่พอได้ยินว่าเป็นคำสั่งของคุณตะวัน คำถามก็เปลี่ยนไป

              ทำไมถึงเป็นเขา ทั้งที่มีคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้วถึงสามคน ?

              จะบอกว่าการไปแทนในครั้งนี้เพราะทั้งสามติดธุระก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะการติดต่อเจรจาทุกครั้งต้องมีการนัดล่วงหน้ากันเป็นเดือน หรือต่อให้เร่งด่วนยังไง ทั้งฝ่ายต้องนัดหมายไว้ล่วงหน้าอย่างน้อยสามวัน ดังนั้นจึงตัดเรื่องนี้ไปได้เลย ส่วนข้อที่ว่าการจราจรซึ่งมักเป็นอัมพาตช่วงเช้ากับตอนเย็นก็ยิ่งไม่น่าใช่ เพราะคนติดต่อย่อมเผื่อเวลาเอาไว้อยู่แล้ว ขืนทำให้ลูกค้ารอตัวเจ้าหน้าที่เองนั่นแหละที่จะถูกนายเล่นงาน

              ถ้าอย่างนั้นเหตุใดบริษัทจึงเลือกเขา

              รักตปักษ์ถามตัวเองก่อนกดลำตัวต่ำลงไปอีกนิดจนเกือบแนบกับถังน้ำมัน เมื่อคำตอบหรือให้ถูกคือ ข้อสงสัยใหม่ผุดขึ้นในหัว

              หรือมันเป็นบททดสอบของคุณตะวัน !

              ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสับสน เพราะไม่เข้าใจความคิดของคนที่เพิ่งเรียกตนเข้าไปตำหนิเรื่องการก้าวก่ายงานเมื่อวันก่อน จะบอกว่าคำสั่งนี้คือข้อสอบเลื่อนขั้นก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะอายุงานของเขาแค่หกเดือน ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก การมอบหมายให้เป็นผู้เจรจากับตัวแทนจากต่างประเทศแบบนี้ถือเป็นเรื่องเสี่ยงพอดู แล้วทำไมคุณตะวันถึงเจาะจงมาที่เขา

          รักตปักษ์คิดพลางเหลือบมองป้ายชื่อโรงแรมหรูที่ค่อยๆ เลื่อนใกล้เข้ามา เขาจะมัวตั้งคำถามโง่ๆ แบบนี้อยู่ทำไม เมื่อรับคำสั่งมาแล้วเขาก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ใช่เพื่อคุณตะวันหรือบริษัท แต่เพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง    

          ตัดสินใจได้แล้วชายหนุ่มจึงผ่อนคันเร่งก่อนเลี้ยวเข้าไปจอดในโรงแรม ถอดแจ็กเก็ตกับหมวกกันน็อก เดินเข้าห้องน้ำลงมือแปลงโฉมตัวเองเริ่มจากผูกเนกไท หวีผมให้เข้ารูป ใช้กระดาษซับเหงื่อกับความมันบนใบหน้า ส่องกระจกหันซ้ายหันขวาจนแน่ใจว่าทุกอย่างดูดี รักตปักษ์จึงสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความมั่นใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกไปพบตัวแทนจากต่างประเทศที่กำลังนั่งรออยู่ในล็อบบี้ของโรงแรม

          */*/*/*/*

          หัตถ์เทพบรรจงวางคาร์เวียลงบนซูชิชุดพิเศษ บีบโชยุหวานสลับมายองเนส ตกแต่งจานด้วยกลีบดอกเบญจมาศสีเหลืองเป็นลำดับสุดท้ายก่อนเรียกพนักงานให้นำไปเสิร์ฟลูกค้า จากนั้นจึงลงมือจัดเมนูจานต่อมาซึ่งก็คือกุ้งโบตั๋น เชฟหนุ่มแกะเปลือกกุ้งออกเกือบหมดโดยเหลือส่วนหัวเอาไว้ วางบนใบชิโสะ เพิ่มรสชาติด้วยมายองเนสกับไข่กุ้งระหว่างตกแต่งอย่างเอาใจใส่ เสียงคุ้นหูของใครบางคนทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง  

          “ขอเบียร์เย็นๆแก้วนึง”

              หัตถ์เทพมุ่นคิ้วน้อยๆ ด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าของเสียงวางหมวกกันน็อกไว้บนบาร์ แถมยังคงสวมแจ็คเก็ตกับถุงมือเหมือนพอลงจากรถแล้วก็เดินตรงเข้าร้านโดยไม่แวะฝากของไว้ด้านหน้าเช่นทุกครั้ง มันอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับใครหลายคน แต่กับลูกค้าหนุ่มคนนี้ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างแรง

              “มาเหนื่อยๆ รับชาเย็นก่อนดีกว่าครับ ร่างกายจะได้ปรับอุณหภูมิทัน” เชฟหนุ่มแนะนำด้วยความหวังดีก่อนส่งสัญญาณให้พนักงานเสิร์ฟซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ถึงนาทีชาเขียวญี่ปุ่นเย็นเจี๊ยบก็ถูกนำมาวางไว้ข้างรักตปักษ์ เขาเม้มปาก มุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจแต่ก็ยอมดื่มโดยดี ท่าทางว่าง่ายไม่ต่อปากต่อคำทำให้หัตถ์เทพสงสัยมากขึ้น เพราะโดยปกติแล้วชายหนุ่มคนนี้คงโวยว่าไม่ได้สั่ง แถมด้วยการตั้งคำถาม พูดจายอกย้อนหรือไม่ก็หาเรื่องทำให้เขาต้องปวดหัว ใจจริงแล้วเขาอยากจะถามถึงสาเหตุแต่อีกฝ่ายเป็นลูกค้า เขาจึงจำต้องรอดูท่าทีก่อน

              “วันนี้ดูเหนื่อยนะครับ” เขาเปรยพลางหยิบผ้าขาวมาเช็ดมือ อันเป็นท่าเตรียมสำหรับการทำอาหาร รักตปักษ์กระดกชาเย็นรวดเดียวหมดแก้วก่อนตอบสั้นๆ

              “อือ”

              ตอบแค่นั้นและนั่งก้มหน้าเหมือนคนอกหักหรือมีปัญหาที่คิดไม่ตก ผิดปกติจริงๆ หัตถ์เทพคิดในใจก่อนขยับปากเพื่อถามแต่ออเดอร์ซาชิมิชุดใหญ่ที่เพิ่งส่งเข้ามาทำให้เขาจำต้องละมือจากคนตรงหน้า หันไปทำงานของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเชฟหนุ่มก็ยังชำเลืองตามองลูกค้าคนพิเศษเป็นระยะ

              ดูเหมือนตัวรักตปักษ์เองจะลืมเรื่องการแก้เผ็ดไปเหมือนกัน เพราะมัวแต่คิดทบทวนถึงงานที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ เขาอาจจะเคยเจรจากับตัวแทนมาบ้าง แต่ไม่เคยเจอคนเขี้ยว จู้จี้จุกจิกซักทุกอย่างละเอียดยิบเป็นคุณนายเจ้าระเบียบเหมือนตัวแทนบริษัทญี่ปุ่นที่คุณตะวันมอบหมายให้ไปพบ บางทีอาจเป็นเพราะใบหน้าอ่อนเยาว์จนดูเหมือนเด็กเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ทำให้ตัวแทนทั้งสามไม่ค่อยเชื่อมือเขาเท่าไหร่นัก ทุกคนจึงแกล้งทดสอบด้วยการผลัดกันตั้งคำถาม ยื่นข้อต่อรอง เสนอเงื่อนไขที่แม้แต่ระดับผู้บริหารเองยังต้องคิดหนัก ทำให้เขารู้สึกว่าการเจรจาซึ่งใช้เวลาเพียง  40 นาทีนั้นยาวนานเป็นสิบชั่วโมง  

              ที่แย่กว่านั้นคือ ตัวแทนทั้งสามขอนำข้อเสนอของเขากลับไปหารือกัน ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องรอพรุ่งนี้

              รักตปักษ์จึงจำต้องกลับบริษัทมือเปล่า หลังจากรายงานให้คุณตะวันได้ทราบ และบอกถึงเรื่องที่ตนเองกังวล แทนที่จะโดนตำหนิ คุณตะวันกลับบอกให้ใจเย็นๆ แถมยังสั่งให้เขากลับบ้านนอนพักให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยมารอฟังคำตอบจากลูกค้าด้วยกัน

          ให้ตายเถอะ! ถึงจะเป็นการพูดเพื่อให้กำลังใจ เขาก็อดเครียดไม่ได้อยู่ดี

          รักตปักษ์หยิบเบียร์มาดื่มรวดเดียวหมดไปครึ่งแก้ว ก่อนจะนั่งจมกับความคิดของตัวเองต่อ อันที่จริงพอออกจากบริษัท เขาเองก็ตั้งใจจะกลับบ้านซัดยาแก้ปวดหัวสักเม็ดสองเม็ดแล้วเข้านอน แต่ไหงกลับกลายเป็นมาหยุดที่ร้านนี้ไปได้ โอเคไม่เป็นไร ไหนๆก็มาแล้วชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแผนเป็นขอดื่มเบียร์เพื่อดับอารมณ์สักแก้วโดยลืมเรื่องการแก้แค้นไปเสียสนิท ไม่มีกะใจจะต่อปากต่อคำกับหัตถ์เทพที่สั่งให้เขาดื่มชาเย็นก่อนเลยด้วยซ้ำ

          ชายหนุ่มเลือกที่นั่งเดิม มุมเดิม สั่งเครื่องดื่มตามใจคิดโดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางเหมือนคนแบกโลกไว้ทั้งใบของเขา สะดุดตาเชฟใหญ่เข้าอย่างจัง ยิ่งเห็นใบหน้าแสนน่ารักถูกรบกวนด้วยความเครียดด้วยแล้ว หัตถ์เทพก็ยิ่งเป็นห่วง ครั้นจะถามไปตามตรงก็ดูไม่เหมาะ เพราะทั้งสองไม่ได้สนิทกันจนถึงขนาดนั้น แต่ขืนปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไร เขาก็ทนไม่ได้อีก

          เอาไงดี หัตถ์เทพตั้งคำถามกับตัวเองพลางมองรักตปักษ์ เข้าร้านมาตั้งเกือบสิบนาที ดื่มเบียร์ไปจนเกือบจะหมดแก้วแล้วนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาแบบนี้ แสดงว่าเจอเรื่องมากหนัก เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การเก็บเรื่องกลุ้มอัดเอาไว้ในอกแบบนี้จะทำให้เจ้าตัวแย่ ยิ่งกระดกเบียร์เป็นน้ำด้วยแล้วจะทำให้เมาเร็วซึ่งอาจเป็นอันตรายตอนขับรถ เขาจะต้องหาทางทำอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายได้ระบายความในใจออกมา แค่ด่าเขาสักคำก็ยังดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่