บทที่ 3 ของกำนัลพิเศษ
“ไอระซัง”
เสียงเรียกของชายวัย 50 ทำให้เชฟที่กำลังตัดแต่งชิ้นปลาจำต้องชะงัก เขาหันหน้าไปส่งยิ้มให้ก่อนขานรับ
“ครับ”
เป็นการตอบในภาษาญี่ปุ่น เพราะคู่สนทนาคือคุณชิโนซากิ ซาโตชิเจ้าของร้าน อีกฝ่ายมองเนื้อปลาทูน่าสีสดบนโต๊ะคล้ายต้องการตรวจให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายทำงานเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนกล่าวประโยคต่อไป
“วันนี้คุณได้อะไรมาบ้าง”
เป็นคำถามที่ทำให้เชฟไอระเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แสดงว่านี่เป็นเพียงการเกริ่นบทสนทนา เพราะเจ้าของร้านย่อมรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าสินค้าในแต่ละวันมีอะไร
“ก็ปกติเหมือนทุกวันครับ พิเศษหน่อยก็มีอามะไดกับสึจิโกะ” ตอบเสร็จหันกลับไปทำงานที่ค้างไว้ ชิโนซากิยืนรอกระทั่งอีกฝ่ายเก็บปลาชิ้นนั้นลงตู้แช่แล้วจึงเอ่ยปากถามตามตรง
“ผมได้ยินมาว่าสองวันมานี่คุณถูกลูกค้ากวน”
เชฟไอระรู้ทันทีว่าเจ้าของร้านหมายถึงใคร เขาอมยิ้ม
“แค่เป็นคนจู้จี้นิดหน่อยเท่านั้นครับ”
“จู้จี้จนถึงขนาดที่ไอระซังต้องทำอิวาชิให้เลยหรือ” คุณชิโนซากิยังซักไซ้ไม่เลิก จากการทำงานด้วยกันมาเป็นปีจนรู้นิสัยว่าเจ้าของร้านเป็นคนใจกว้าง การถามแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่างกหรือหวงของ แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าเชฟอย่างเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“วันนั้นผมทำให้ลูกค้าไม่พอใจน่ะครับ เลยต้องจัดอาหารพิเศษขอโทษ ชิโนซากิซังหักเงินผมตอนสิ้นเดือนก็แล้วกันครับ”
“อะไรกันผมไม่ทำแบบนั้นหรอก คุณทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของร้านเรานี่นา” เจ้าของร้านพูดพลางถอนใจ “แต่มินะจังบอกว่าเมื่อวานลูกค้าคนนั้นยังมาติเรื่องรสชาติของข้าวอีก เขาไม่รู้หรือยังไงว่าซูชิไม่ได้มีรสเหมือนข้าวธรรมดา”
“ลูกค้าบางคนคิดแบบนั้นจริงๆครับ เป็นหน้าที่ของเชฟอย่างเราที่ต้องอธิบายให้เข้าใจ” เชฟไอระพูดอย่างใจเย็น คุณชิโนซากินิ่งไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าช้าๆ
“นั่นสินะ ขอบคุณไอระซังมากที่ช่วยทำให้คนที่นี่เข้าใจอาหารญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น คุณนี่ยอดเยี่ยมสมกับที่สุซุโมโตะคุยเอาไว้จริงๆ แบบนี้ผมก็วางใจ ฝากด้วยนะไอระซัง”
สุซุโมโตะที่พูดถึง คือเจ้าของร้านซูชิในประเทศญี่ปุ่นที่เชฟไอระเคยทำงานด้วย ตอนกลับมาหาทำงานที่เมืองไทย เธอคนนี้ก็ช่วยฝากฝังเขากับคุณชิโนซากิ ซึ่งไอระซังตอบแทนน้ำใจของเธอด้วยการทำงานอย่างขยันขันแข็ง จนเจ้าของร้านวางใจเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นเชฟมือหนึ่งของร้าน
แท้จริงแล้วไอระซังเป็นเพียงฉายา ชื่อจริงของเขาคือหัตถ์เทพ ไอราวัตโกญจนาท ตอนต่อปริญญาโทในญี่ปุ่น ไม่มีใครเรียกชื่อเขาถูกเลยสักคน หัตถ์เทพจึงใช้วิธีตัดสองตัวแรกของนามสกุลปรับให้ออกเสียงแบบคนญี่ปุ่น ส่วนคำว่าซังนั้นเป็นคำที่เพื่อนๆ ใช้เรียกกันจนติดปาก เลยกลายเป็นชื่อของเขานับแต่นั้นเป็นต้นมา
ระหว่างเรียนหัตถ์เทพได้ทำงานพิเศษไปด้วย เริ่มต้นในร้านสะดวกซื้อ แต่เพราะความชื่นชอบในอาหารญี่ปุ่น เขาจึงผันตัวไปฝึกงานที่ร้านซูชิ พอเรียนจบก็ย้ายไปอยู่ฮอกไกโดและได้เจอกับคุณสุซุโมโตะ เริ่มงานตั้งแต่เป็นแค่เด็กหน้าร้านพัฒนาจนเลื่อนขั้นเป็นเชฟ ที่จริงหัตถ์เทพตั้งใจอยู่ญี่ปุ่นต่ออีกหน่อยเพราะชอบบรรยากาศ งานและอะไรอีกหลายอย่างถึงขั้นวางแผนลงหลักปักฐาน แต่มีเหตุจำเป็นบางอย่างทำให้เขาต้องกลับเมืองไทย เสร็จธุระแล้วเขาก็เที่ยวสมัครงานกับร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังตามห้างอยู่หลายแห่ง แต่เหตุเพราะมันไม่ตรงใจเขาเท่าไหร่ ยังไม่ทันผ่านระยะทดลองงานก็ชิงลาออกเสียก่อน พอคุณสุซุโมโตะรู้ข่าวจึงฝากฝังเขาให้ทำงานร้านเพื่อน ในตำแหน่งเชฟ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลา ฝีมือการทำอาหารขั้นเทพและลีลาการปั้นซูชิที่พลิ้วราวปีกนกกะเรียน วิธีการพูดที่แม้จะมีลูกเล่นแพรวพราวแต่ก็เต็มไปด้วยความสุภาพ ทำให้ลูกค้าโดยเฉพาะสาวๆติดกันเกรียว
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจดีแล้ว คุณชิโนซากิจึงเดินไปตรวจจุดอื่น หัตถ์เทพจึงหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ จัดเตรียมของ เช็คคุณภาพ ปริมาณว่าเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ก่อนเข้าครัววุ่นวายกับอาหารสดที่เพิ่งนำเข้ามา กระทั่งจวนใกล้เวลาเปิดร้านเขาจึงชำระร่างกายให้สะอาด ผลัดเสื้อผ้าชุดใหม่ สวมหมวกเชฟ ขยับให้เข้าที่ก่อนออกไปยืนโปรยยิ้มตรงบาร์
เมื่อลูกค้ารายแรกก้าวเข้ามา ทุกคนในร้านต่างพร้อมใจกันกล่าวคำต้อนรับอย่างพร้อมเพรียงทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย เมนูแรกของวันคือข้าวหน้าปลาไหล ส่วนของครัวเย็นจึงยังว่าง ทำให้หัตถ์เทพมีเวลาหวนนึกถึงลูกค้าเจ้าปัญหาที่เข้ามาป่วนสองวันติดกัน
ตอนแรกเขาไม่รู้หรอกว่าลูกค้าคนนั้นเป็นใคร กระทั่งเมื่อวานตอนออกไปยืนพักนอกร้าน ก็มีรถจักรยานยนต์สีม่วงดำวิ่งเข้ามาจอด หัตถ์เทพจำได้ว่ามันเป็นคันเดียวกับที่เขาหยุดด้วยการใช้มือตบหมวกกันน็อก พอเห็นหน้าคนขับ เขาก็ถึงบางอ้อและรู้ถึงสาเหตุของการกวนประสาทในวินาทีนั้นเอง
ไม่แปลก ถูกผลักหัวแบบนั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ
เมื่อรู้ว่าลูกค้าเจ้าปัญหาคือคู่กรณี หัตถ์เทพก็เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะการมาครั้งที่สองแบบลุยเดี่ยวแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงแค้นไม่เลิก และต้องหาทางเล่นงานเขาหนักกว่าเก่า แต่ผิดคาด แทนที่จะสร้างเรื่องใส่ความเพื่อให้เขาถูกทางร้านตำหนิ ผู้ชายคนนั้นกลับใช้วิธีติรสชาติของข้าวแถมยังพูดเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเหมือนโฆษณาสินค้าให้ทางร้านเสียอย่างนั้น
หัตถ์เทพแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เมื่อเห็นหน้าเหวอๆ ของชายคนนั้น มันอาจดูตลกสำหรับคนอื่นแต่กับเขาแล้ว มันดูน่ารักแปลกๆ
ให้ตายเถอะ การกระทำของหมอนั่นดูแล้วเหมือนเด็กเป็นบ้า มีอย่างที่ไหน แทนที่จะหาเรื่องให้เขาถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรก กลับยอมรับซูชิพิเศษแทนคำขอโทษเสียอย่างนั้น วันต่อมาก็บึ่งรถเพื่อมากวนประสาทโดยเฉพาะ ซึ่งเขาก็โต้กลับแบบนิ่มๆ ด้วยเหตุนี้หัตถ์เทพจึงเปลี่ยนวิธี จากการตั้งป้อมเตรียมรับศึก เป็นการรอลุ้นว่าวันนี้จะเจอลูกเล่นอะไร แต่ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะมาไม้ไหน เขาก็พร้อมรับมือ
ช่วงเที่ยงร้านฮิราเมะก็เนืองแน่นไปด้วยลูกค้า กว่าจะซาก็ล่วงเข้าบ่ายสาม พอคนเริ่มน้อยพนักงานจึงลงมือเตรียมของสำหรับช่วงค่ำ เพราะพอสี่โมงเย็นคนจะเริ่มทยอยเข้าร้านและนั่งเต็มทุกโต๊ะไปจนถึงสองทุ่ม
หัตถ์เทพทำซูชิไปพลาง คุยกับลูกค้าไปพลาง ตาชำเลืองไปยังทางเข้าตลอดเวลา ทุกครั้งที่เห็นคนสวมเสื้อแจ็กเก็ต เขาก็จะรีบชะเง้อดูแต่พอรู้ว่าไม่ใช่ เชฟหนุ่มจะเบนความสนใจกลับมายังลูกค้าตรงหน้า เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งจนตัวเขาเองยังนึกแปลกใจ
ทำไมใจเขาถึงจดจ่ออยู่กับผู้ชายคนนี้ และทำไมถึงต้องผิดหวังเมื่อไม่เจอ
เชฟหนุ่มถอนใจก่อนเหลือบมองนาฬิกา หกโมงสี่สิบ เขาคิดพลางผ่อนลมหายใจออกมา วันนี้ลูกค้าเจ้าปัญหาคนนั้นคงไม่มาแล้วละ
“ขอซูชิหอยปีกนกสองที่ครับ”
ออเดอร์จากลูกค้าดึงความสนใจกลับมา หัตถ์เทพรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนเปิดตู้หยิบกล่องหอยตามสั่ง ขณะกำลังปั้นข้าวพลันหูก็แว่วเสียงกระหึ่มของรถจักรยานยนต์ เชฟหนุ่มเหลือบตาไปยังประตูทันที แต่พอเห็นคนเข้ามาใหม่เป็นชายวัยกลางคน เขาก็สั่นศีรษะพลางคิดว่าตนเองคงหูฝาด เพราะตอนนี้เขาอยู่ด้านในสุดของร้าน ไม่มีทางได้ยินเสียงรถอะไรได้หรอก
เชฟหนุ่มก้มหน้าจัดเรียงซูชิทั้งสองคำอย่างตั้งใจ แต่พอเตรียมส่งให้ลูกค้าเขาต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่เฝ้าคิดถึงทั้งวันกำลังหน้าง้ำอยู่ตรงกันข้ามกับตัวเอง
“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มทรงเสน่ห์ แต่อีกฝ่ายกลับใช้สายตาแสดงความรู้สึกสวนทางกันมองกลับมา
“สวัสดี” ตอบรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนลดตาลงมองเมนู หัตถ์เทพจึงส่งสัญญาณมือให้พนักงานสาวคนหนึ่ง อึดใจเธอก็นำน้ำส้มมาเสิร์ฟให้รักตปักษ์ ชายหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับกล่าวปฏิเสธทันควัน
“ผมไม่ได้สั่ง”
“อภินันทนาการพิเศษจากผมเองครับ” หัตถ์เทพรีบบอก พอเห็นรักตปักษ์มองกลับมาอย่างไม่ไว้ใจแล้ว เขาจึงส่งยิ้มให้ “ส้มยูสุสดสั่งตรงจากญี่ปุ่นครับ จะคั้นก็ต่อเมื่อลูกค้าต้องการ ผมอยากให้คุณลองชิมดู รับรองได้เลยว่าจะต้องติดใจ”
คำเชื้อเชิญของเชฟ ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มอยากดื่มน้ำส้มแก้วนั้นเลยสักนิด ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวจะเสียเชิง แต่ลูกผู้ชายอย่างรักตปักษ์ทำอะไรมันต้องมีมาด เขาหยิบแก้วขึ้นมาพิจารณา ก่อนส่งสายตาไปยังคู่กรณี
“แน่ใจนะครับว่ามีแต่น้ำส้ม”
“ครับ เราคงความหวานตามธรรมชาติ ไม่มีการเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมให้เสียรส”
รักตปักษ์เบ้ปากก่อนพูดเสียงเหยียด “ผมไม่ได้หมายถึงของแบบนั้น”
คราวนี้หัตถ์เทพยิ้มกว้างกว่าเก่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณลูกค้า อาหารทุกคำของผมไม่ใส่อย่างอื่นนอกจากความรัก”
น้ำส้มแทบพุ่งออกจากปาก รักตปักษ์รีบวางแก้ว คว้ากระดาษทิชชูมาซับ เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นคำพูดเว่อร์ๆที่พวกเชฟชอบใช้ หรือเป็นแค่เพียงการล้อเล่น แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล
“เป็นยังไงบ้างครับ” หัตถ์เทพแกล้งถามและยิ้มเมื่อเห็นรักตปักษ์รีบยืดอก กระแอมแก้เขินหนึ่งครั้งก่อนตอบ
“ไม่เลว”
“ดีใจที่คุณลูกค้าชอบ”
คำสุดท้ายเน้นย้ำอย่างจงใจจนรักตปักษ์ต้องเหลือบตามอง พอเห็นเชฟกำลังมองตรงมายังเขาด้วยดวงตาระยิบระยับแล้ว ชายหนุ่มก็นึกฉิวขึ้นมาในทันที
เขากำลังถูกไอ้บ้านี่เยาะเย้ย!
รักตปักษ์บดกราม สมองไล่แผนการเร็วจี๋ราวกับคอมพิวเตอร์ วันนี้เขาต้องแก้แค้นเชฟบ้านี่ให้ได้ แต่ด้วยวิธีอะไร ปลาเน่าก็ล้มเหลวไปแล้ว รสชาติของข้าว นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะแทนที่จะถูกรุมตำหนิ กลับกลายเป็นการช่วยเรียกลูกค้าไปเฉยเลย ถึงเมื่อวานเขาจะทำแต้มได้หนึ่งคะแนนจากการกินฟรี แต่มันก็ยังไม่สาแก่ใจ
“วันนี้คุณลูกค้าจะรับอะไรดีครับ”
เสียงทุ้มนุ่มหูของเชฟไอระเอ่ยถาม รักตปักษ์หันไปมองอย่างนึกขัดใจ
ไม่ต้องทำเสียงหล่อขนาดนั้นได้ไหมวะ กูไม่ใช่ผู้หญิง
“วันนี้ผมอยากกินอะไรที่มันเบาๆหน่อย” ตอบด้วยน้ำเสียงตรงกันข้ามกับความคิด แถมยังปั้นหน้าให้ดูใสซื่อไร้พิษภัย “ผมขอซูชิปลาซาบะดอง กุ้ง หมึก อิกะนะครับไม่เอาทาโกะ แล้วก็ปลาไท แซลมอน อันนี้ขอท้องกับไข่ ตบท้ายด้วยไข่หอยเม่นอย่างละหนึ่งชุด”
พนักงานจดรายการอาหารตามสั่ง ส่วนหัตถ์เทพลงมือทำตั้งแต่ได้ยินในตอนแรก ไม่ถึงอึดใจซูชิจานแรกก็ถูกวางไว้ตรงหน้ารักตปักษ์ พอเขาหยิบกินหมดทั้งสองคำ เมนูจานถัดมาจึงถูกนำมาวาง รอจนลูกค้ากินหมด เชฟจึงวางจัดต่อไปโดยไล่ลำดับตามออเดอร์ที่ได้รับ
“รสชาติถูกปากคุณลูกค้าไหมครับ” พอถึงจานสุดท้ายซึ่งเป็นไข่หอยเม่น หัตถ์เทพจึงเอ่ยปากถาม เพราะสำหรับคนที่ไม่เคยกินมาก่อน อาจไม่คุ้นกับกลิ่นและรส แต่ดูจากวิธีการหยิบซูชิ จิ้มโชยุของรักตปักษ์แล้ว เชฟหนุ่มก็พอจะรู้ว่าชายคนนี้คุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ดังนั้นข้อติทั้งหลายที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าหนุ่มเจ้าของบิ๊กไบค์สีสะดุดตาตั้งใจมาหาเรื่องเขาโดยเฉพาะ
“อร่อย” รักตปักษ์ตอบพลางดื่มน้ำส้มด้วยท่าทางที่ดูปกติอย่างน่าแปลกใจ ทำเอาหัตถ์เทพต้องมุ่นคิ้วเพราะเดาไม่ออกว่าวันนี้ลูกค้าตัวแสบจะมาไม้ไหน
“ต้องการรับอย่างอื่นเพิ่มไหมครับ” เขาถามอย่างสุภาพ ขณะมือปั้นซูชิไปด้วย แต่รักตปักษ์ไม่ตอบ เขานั่งมองหัตถ์เทพทำงานไปเงียบๆ พักใหญ่จึงโพล่งถามออกไป
“คุณไม่ล้างมือบ้างหรือ”
ถึงจะเป็นการถามขึ้นมาลอยๆ แต่ตากลับจ้องเขม็งที่หัตถ์เทพ อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าจะถูกจู่โจมแบบนี้ พอตั้งสติได้จึงตอบ
“ล้างสิครับ”
“บ่อยแค่ไหน เพราะจากที่เห็นคุณทำอาหารให้ลูกค้าเป็นสิบจานแต่ไม่เคยล้างมือเลยสักครั้ง”
เชฟหล่ออยากห่อกลับบ้าน บทที่ 3 ของกำนัลพิเศษ
“ไอระซัง”
เสียงเรียกของชายวัย 50 ทำให้เชฟที่กำลังตัดแต่งชิ้นปลาจำต้องชะงัก เขาหันหน้าไปส่งยิ้มให้ก่อนขานรับ
“ครับ”
เป็นการตอบในภาษาญี่ปุ่น เพราะคู่สนทนาคือคุณชิโนซากิ ซาโตชิเจ้าของร้าน อีกฝ่ายมองเนื้อปลาทูน่าสีสดบนโต๊ะคล้ายต้องการตรวจให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายทำงานเรียบร้อยดีหรือไม่ ก่อนกล่าวประโยคต่อไป
“วันนี้คุณได้อะไรมาบ้าง”
เป็นคำถามที่ทำให้เชฟไอระเลิกคิ้วข้างหนึ่ง แสดงว่านี่เป็นเพียงการเกริ่นบทสนทนา เพราะเจ้าของร้านย่อมรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่าสินค้าในแต่ละวันมีอะไร
“ก็ปกติเหมือนทุกวันครับ พิเศษหน่อยก็มีอามะไดกับสึจิโกะ” ตอบเสร็จหันกลับไปทำงานที่ค้างไว้ ชิโนซากิยืนรอกระทั่งอีกฝ่ายเก็บปลาชิ้นนั้นลงตู้แช่แล้วจึงเอ่ยปากถามตามตรง
“ผมได้ยินมาว่าสองวันมานี่คุณถูกลูกค้ากวน”
เชฟไอระรู้ทันทีว่าเจ้าของร้านหมายถึงใคร เขาอมยิ้ม
“แค่เป็นคนจู้จี้นิดหน่อยเท่านั้นครับ”
“จู้จี้จนถึงขนาดที่ไอระซังต้องทำอิวาชิให้เลยหรือ” คุณชิโนซากิยังซักไซ้ไม่เลิก จากการทำงานด้วยกันมาเป็นปีจนรู้นิสัยว่าเจ้าของร้านเป็นคนใจกว้าง การถามแบบนั้นก็ไม่ใช่ว่างกหรือหวงของ แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยกลัวว่าเชฟอย่างเขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“วันนั้นผมทำให้ลูกค้าไม่พอใจน่ะครับ เลยต้องจัดอาหารพิเศษขอโทษ ชิโนซากิซังหักเงินผมตอนสิ้นเดือนก็แล้วกันครับ”
“อะไรกันผมไม่ทำแบบนั้นหรอก คุณทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของร้านเรานี่นา” เจ้าของร้านพูดพลางถอนใจ “แต่มินะจังบอกว่าเมื่อวานลูกค้าคนนั้นยังมาติเรื่องรสชาติของข้าวอีก เขาไม่รู้หรือยังไงว่าซูชิไม่ได้มีรสเหมือนข้าวธรรมดา”
“ลูกค้าบางคนคิดแบบนั้นจริงๆครับ เป็นหน้าที่ของเชฟอย่างเราที่ต้องอธิบายให้เข้าใจ” เชฟไอระพูดอย่างใจเย็น คุณชิโนซากินิ่งไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าช้าๆ
“นั่นสินะ ขอบคุณไอระซังมากที่ช่วยทำให้คนที่นี่เข้าใจอาหารญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น คุณนี่ยอดเยี่ยมสมกับที่สุซุโมโตะคุยเอาไว้จริงๆ แบบนี้ผมก็วางใจ ฝากด้วยนะไอระซัง”
สุซุโมโตะที่พูดถึง คือเจ้าของร้านซูชิในประเทศญี่ปุ่นที่เชฟไอระเคยทำงานด้วย ตอนกลับมาหาทำงานที่เมืองไทย เธอคนนี้ก็ช่วยฝากฝังเขากับคุณชิโนซากิ ซึ่งไอระซังตอบแทนน้ำใจของเธอด้วยการทำงานอย่างขยันขันแข็ง จนเจ้าของร้านวางใจเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นเชฟมือหนึ่งของร้าน
แท้จริงแล้วไอระซังเป็นเพียงฉายา ชื่อจริงของเขาคือหัตถ์เทพ ไอราวัตโกญจนาท ตอนต่อปริญญาโทในญี่ปุ่น ไม่มีใครเรียกชื่อเขาถูกเลยสักคน หัตถ์เทพจึงใช้วิธีตัดสองตัวแรกของนามสกุลปรับให้ออกเสียงแบบคนญี่ปุ่น ส่วนคำว่าซังนั้นเป็นคำที่เพื่อนๆ ใช้เรียกกันจนติดปาก เลยกลายเป็นชื่อของเขานับแต่นั้นเป็นต้นมา
ระหว่างเรียนหัตถ์เทพได้ทำงานพิเศษไปด้วย เริ่มต้นในร้านสะดวกซื้อ แต่เพราะความชื่นชอบในอาหารญี่ปุ่น เขาจึงผันตัวไปฝึกงานที่ร้านซูชิ พอเรียนจบก็ย้ายไปอยู่ฮอกไกโดและได้เจอกับคุณสุซุโมโตะ เริ่มงานตั้งแต่เป็นแค่เด็กหน้าร้านพัฒนาจนเลื่อนขั้นเป็นเชฟ ที่จริงหัตถ์เทพตั้งใจอยู่ญี่ปุ่นต่ออีกหน่อยเพราะชอบบรรยากาศ งานและอะไรอีกหลายอย่างถึงขั้นวางแผนลงหลักปักฐาน แต่มีเหตุจำเป็นบางอย่างทำให้เขาต้องกลับเมืองไทย เสร็จธุระแล้วเขาก็เที่ยวสมัครงานกับร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังตามห้างอยู่หลายแห่ง แต่เหตุเพราะมันไม่ตรงใจเขาเท่าไหร่ ยังไม่ทันผ่านระยะทดลองงานก็ชิงลาออกเสียก่อน พอคุณสุซุโมโตะรู้ข่าวจึงฝากฝังเขาให้ทำงานร้านเพื่อน ในตำแหน่งเชฟ ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลา ฝีมือการทำอาหารขั้นเทพและลีลาการปั้นซูชิที่พลิ้วราวปีกนกกะเรียน วิธีการพูดที่แม้จะมีลูกเล่นแพรวพราวแต่ก็เต็มไปด้วยความสุภาพ ทำให้ลูกค้าโดยเฉพาะสาวๆติดกันเกรียว
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจดีแล้ว คุณชิโนซากิจึงเดินไปตรวจจุดอื่น หัตถ์เทพจึงหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ จัดเตรียมของ เช็คคุณภาพ ปริมาณว่าเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าหรือไม่ ก่อนเข้าครัววุ่นวายกับอาหารสดที่เพิ่งนำเข้ามา กระทั่งจวนใกล้เวลาเปิดร้านเขาจึงชำระร่างกายให้สะอาด ผลัดเสื้อผ้าชุดใหม่ สวมหมวกเชฟ ขยับให้เข้าที่ก่อนออกไปยืนโปรยยิ้มตรงบาร์
เมื่อลูกค้ารายแรกก้าวเข้ามา ทุกคนในร้านต่างพร้อมใจกันกล่าวคำต้อนรับอย่างพร้อมเพรียงทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทย เมนูแรกของวันคือข้าวหน้าปลาไหล ส่วนของครัวเย็นจึงยังว่าง ทำให้หัตถ์เทพมีเวลาหวนนึกถึงลูกค้าเจ้าปัญหาที่เข้ามาป่วนสองวันติดกัน
ตอนแรกเขาไม่รู้หรอกว่าลูกค้าคนนั้นเป็นใคร กระทั่งเมื่อวานตอนออกไปยืนพักนอกร้าน ก็มีรถจักรยานยนต์สีม่วงดำวิ่งเข้ามาจอด หัตถ์เทพจำได้ว่ามันเป็นคันเดียวกับที่เขาหยุดด้วยการใช้มือตบหมวกกันน็อก พอเห็นหน้าคนขับ เขาก็ถึงบางอ้อและรู้ถึงสาเหตุของการกวนประสาทในวินาทีนั้นเอง
ไม่แปลก ถูกผลักหัวแบบนั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ
เมื่อรู้ว่าลูกค้าเจ้าปัญหาคือคู่กรณี หัตถ์เทพก็เพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เพราะการมาครั้งที่สองแบบลุยเดี่ยวแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงแค้นไม่เลิก และต้องหาทางเล่นงานเขาหนักกว่าเก่า แต่ผิดคาด แทนที่จะสร้างเรื่องใส่ความเพื่อให้เขาถูกทางร้านตำหนิ ผู้ชายคนนั้นกลับใช้วิธีติรสชาติของข้าวแถมยังพูดเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเหมือนโฆษณาสินค้าให้ทางร้านเสียอย่างนั้น
หัตถ์เทพแทบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เมื่อเห็นหน้าเหวอๆ ของชายคนนั้น มันอาจดูตลกสำหรับคนอื่นแต่กับเขาแล้ว มันดูน่ารักแปลกๆ
ให้ตายเถอะ การกระทำของหมอนั่นดูแล้วเหมือนเด็กเป็นบ้า มีอย่างที่ไหน แทนที่จะหาเรื่องให้เขาถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรก กลับยอมรับซูชิพิเศษแทนคำขอโทษเสียอย่างนั้น วันต่อมาก็บึ่งรถเพื่อมากวนประสาทโดยเฉพาะ ซึ่งเขาก็โต้กลับแบบนิ่มๆ ด้วยเหตุนี้หัตถ์เทพจึงเปลี่ยนวิธี จากการตั้งป้อมเตรียมรับศึก เป็นการรอลุ้นว่าวันนี้จะเจอลูกเล่นอะไร แต่ไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะมาไม้ไหน เขาก็พร้อมรับมือ
ช่วงเที่ยงร้านฮิราเมะก็เนืองแน่นไปด้วยลูกค้า กว่าจะซาก็ล่วงเข้าบ่ายสาม พอคนเริ่มน้อยพนักงานจึงลงมือเตรียมของสำหรับช่วงค่ำ เพราะพอสี่โมงเย็นคนจะเริ่มทยอยเข้าร้านและนั่งเต็มทุกโต๊ะไปจนถึงสองทุ่ม
หัตถ์เทพทำซูชิไปพลาง คุยกับลูกค้าไปพลาง ตาชำเลืองไปยังทางเข้าตลอดเวลา ทุกครั้งที่เห็นคนสวมเสื้อแจ็กเก็ต เขาก็จะรีบชะเง้อดูแต่พอรู้ว่าไม่ใช่ เชฟหนุ่มจะเบนความสนใจกลับมายังลูกค้าตรงหน้า เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งจนตัวเขาเองยังนึกแปลกใจ
ทำไมใจเขาถึงจดจ่ออยู่กับผู้ชายคนนี้ และทำไมถึงต้องผิดหวังเมื่อไม่เจอ
เชฟหนุ่มถอนใจก่อนเหลือบมองนาฬิกา หกโมงสี่สิบ เขาคิดพลางผ่อนลมหายใจออกมา วันนี้ลูกค้าเจ้าปัญหาคนนั้นคงไม่มาแล้วละ
“ขอซูชิหอยปีกนกสองที่ครับ”
ออเดอร์จากลูกค้าดึงความสนใจกลับมา หัตถ์เทพรับคำด้วยรอยยิ้มก่อนเปิดตู้หยิบกล่องหอยตามสั่ง ขณะกำลังปั้นข้าวพลันหูก็แว่วเสียงกระหึ่มของรถจักรยานยนต์ เชฟหนุ่มเหลือบตาไปยังประตูทันที แต่พอเห็นคนเข้ามาใหม่เป็นชายวัยกลางคน เขาก็สั่นศีรษะพลางคิดว่าตนเองคงหูฝาด เพราะตอนนี้เขาอยู่ด้านในสุดของร้าน ไม่มีทางได้ยินเสียงรถอะไรได้หรอก
เชฟหนุ่มก้มหน้าจัดเรียงซูชิทั้งสองคำอย่างตั้งใจ แต่พอเตรียมส่งให้ลูกค้าเขาต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่เฝ้าคิดถึงทั้งวันกำลังหน้าง้ำอยู่ตรงกันข้ามกับตัวเอง
“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มทรงเสน่ห์ แต่อีกฝ่ายกลับใช้สายตาแสดงความรู้สึกสวนทางกันมองกลับมา
“สวัสดี” ตอบรับอย่างเสียไม่ได้ก่อนลดตาลงมองเมนู หัตถ์เทพจึงส่งสัญญาณมือให้พนักงานสาวคนหนึ่ง อึดใจเธอก็นำน้ำส้มมาเสิร์ฟให้รักตปักษ์ ชายหนุ่มมุ่นคิ้วพร้อมกับกล่าวปฏิเสธทันควัน
“ผมไม่ได้สั่ง”
“อภินันทนาการพิเศษจากผมเองครับ” หัตถ์เทพรีบบอก พอเห็นรักตปักษ์มองกลับมาอย่างไม่ไว้ใจแล้ว เขาจึงส่งยิ้มให้ “ส้มยูสุสดสั่งตรงจากญี่ปุ่นครับ จะคั้นก็ต่อเมื่อลูกค้าต้องการ ผมอยากให้คุณลองชิมดู รับรองได้เลยว่าจะต้องติดใจ”
คำเชื้อเชิญของเชฟ ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มอยากดื่มน้ำส้มแก้วนั้นเลยสักนิด ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวจะเสียเชิง แต่ลูกผู้ชายอย่างรักตปักษ์ทำอะไรมันต้องมีมาด เขาหยิบแก้วขึ้นมาพิจารณา ก่อนส่งสายตาไปยังคู่กรณี
“แน่ใจนะครับว่ามีแต่น้ำส้ม”
“ครับ เราคงความหวานตามธรรมชาติ ไม่มีการเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมให้เสียรส”
รักตปักษ์เบ้ปากก่อนพูดเสียงเหยียด “ผมไม่ได้หมายถึงของแบบนั้น”
คราวนี้หัตถ์เทพยิ้มกว้างกว่าเก่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณลูกค้า อาหารทุกคำของผมไม่ใส่อย่างอื่นนอกจากความรัก”
น้ำส้มแทบพุ่งออกจากปาก รักตปักษ์รีบวางแก้ว คว้ากระดาษทิชชูมาซับ เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นคำพูดเว่อร์ๆที่พวกเชฟชอบใช้ หรือเป็นแค่เพียงการล้อเล่น แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล
“เป็นยังไงบ้างครับ” หัตถ์เทพแกล้งถามและยิ้มเมื่อเห็นรักตปักษ์รีบยืดอก กระแอมแก้เขินหนึ่งครั้งก่อนตอบ
“ไม่เลว”
“ดีใจที่คุณลูกค้าชอบ”
คำสุดท้ายเน้นย้ำอย่างจงใจจนรักตปักษ์ต้องเหลือบตามอง พอเห็นเชฟกำลังมองตรงมายังเขาด้วยดวงตาระยิบระยับแล้ว ชายหนุ่มก็นึกฉิวขึ้นมาในทันที
เขากำลังถูกไอ้บ้านี่เยาะเย้ย!
รักตปักษ์บดกราม สมองไล่แผนการเร็วจี๋ราวกับคอมพิวเตอร์ วันนี้เขาต้องแก้แค้นเชฟบ้านี่ให้ได้ แต่ด้วยวิธีอะไร ปลาเน่าก็ล้มเหลวไปแล้ว รสชาติของข้าว นั่นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะแทนที่จะถูกรุมตำหนิ กลับกลายเป็นการช่วยเรียกลูกค้าไปเฉยเลย ถึงเมื่อวานเขาจะทำแต้มได้หนึ่งคะแนนจากการกินฟรี แต่มันก็ยังไม่สาแก่ใจ
“วันนี้คุณลูกค้าจะรับอะไรดีครับ”
เสียงทุ้มนุ่มหูของเชฟไอระเอ่ยถาม รักตปักษ์หันไปมองอย่างนึกขัดใจ
ไม่ต้องทำเสียงหล่อขนาดนั้นได้ไหมวะ กูไม่ใช่ผู้หญิง
“วันนี้ผมอยากกินอะไรที่มันเบาๆหน่อย” ตอบด้วยน้ำเสียงตรงกันข้ามกับความคิด แถมยังปั้นหน้าให้ดูใสซื่อไร้พิษภัย “ผมขอซูชิปลาซาบะดอง กุ้ง หมึก อิกะนะครับไม่เอาทาโกะ แล้วก็ปลาไท แซลมอน อันนี้ขอท้องกับไข่ ตบท้ายด้วยไข่หอยเม่นอย่างละหนึ่งชุด”
พนักงานจดรายการอาหารตามสั่ง ส่วนหัตถ์เทพลงมือทำตั้งแต่ได้ยินในตอนแรก ไม่ถึงอึดใจซูชิจานแรกก็ถูกวางไว้ตรงหน้ารักตปักษ์ พอเขาหยิบกินหมดทั้งสองคำ เมนูจานถัดมาจึงถูกนำมาวาง รอจนลูกค้ากินหมด เชฟจึงวางจัดต่อไปโดยไล่ลำดับตามออเดอร์ที่ได้รับ
“รสชาติถูกปากคุณลูกค้าไหมครับ” พอถึงจานสุดท้ายซึ่งเป็นไข่หอยเม่น หัตถ์เทพจึงเอ่ยปากถาม เพราะสำหรับคนที่ไม่เคยกินมาก่อน อาจไม่คุ้นกับกลิ่นและรส แต่ดูจากวิธีการหยิบซูชิ จิ้มโชยุของรักตปักษ์แล้ว เชฟหนุ่มก็พอจะรู้ว่าชายคนนี้คุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ดังนั้นข้อติทั้งหลายที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าหนุ่มเจ้าของบิ๊กไบค์สีสะดุดตาตั้งใจมาหาเรื่องเขาโดยเฉพาะ
“อร่อย” รักตปักษ์ตอบพลางดื่มน้ำส้มด้วยท่าทางที่ดูปกติอย่างน่าแปลกใจ ทำเอาหัตถ์เทพต้องมุ่นคิ้วเพราะเดาไม่ออกว่าวันนี้ลูกค้าตัวแสบจะมาไม้ไหน
“ต้องการรับอย่างอื่นเพิ่มไหมครับ” เขาถามอย่างสุภาพ ขณะมือปั้นซูชิไปด้วย แต่รักตปักษ์ไม่ตอบ เขานั่งมองหัตถ์เทพทำงานไปเงียบๆ พักใหญ่จึงโพล่งถามออกไป
“คุณไม่ล้างมือบ้างหรือ”
ถึงจะเป็นการถามขึ้นมาลอยๆ แต่ตากลับจ้องเขม็งที่หัตถ์เทพ อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยเพราะนึกไม่ถึงว่าจะถูกจู่โจมแบบนี้ พอตั้งสติได้จึงตอบ
“ล้างสิครับ”
“บ่อยแค่ไหน เพราะจากที่เห็นคุณทำอาหารให้ลูกค้าเป็นสิบจานแต่ไม่เคยล้างมือเลยสักครั้ง”