เนื้อหากระทู้และรูปน่าจะค่อนข้างเยอะนะครับ แต่พิมพ์ใส่ Word ไว้แล้ว จบในกระทู้นี้แน่นอนครับ
และเนื่องจากไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพภาษาอาจจะงงๆ ก็ขออภัยด้วยนะครับ
สวัสดีครับทุกๆท่าน พอดีเมื่อช่วงกลางปี 2016 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮย์หลงเจียง ประเทศจีน
เป็นเวลา 1 เดือน จากโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาฝึกงานของทางมหาวิทยาลัยครับ
เอาเป็นว่าเนื้อหาในกระทู้นี้ขอพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตและท่องเที่ยวในฮาร์บินแล้วกันนะครับ เรื่องฝึกงานชั่งมัน 555 ล้อเล่นครับ
เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงซัมเมอร์ของที่นั่นพอดีครับ (ช่วงเดือน พ.ค. – มิ.ย.)
หลายคนพอได้ยินว่าฮาร์บินก็อาจจะนึกถึงเมืองที่หนาวมากๆมีแต่หิมะกันนะครับ ผมก็เช่นกัน
ถึงขนาดตอนสัมภาษณ์คัดเลือกนักศึกษาไปฝึกงาน อาจารย์ถามผมว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับฮาร์บินบ้าง “It’s so cold” นั่นคือที่ผมตอบไป
(แล้วอาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า “Did you know that when you go there, it's not cold …”)
เลยอยากจะให้หลายๆท่านที่อาจจะยังไม่เคยเห็นหรือสัมผัสฮาร์บินในช่วงซัมเมอร์ได้ชมกันครับ ก็น่าเที่ยวไม่แพ้หน้าหนาวนะครับ
เตรียมตัวกันก่อนครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ความรู้ด้านภาษาจีน = 0 เลยก็ว่าได้ครับ
แล้วทำไมถึงได้ไป ? เป็นคำถามยอดฮิตที่เพื่อนทุกคนถามผมครับ “ก็ตอนสอบสัมภาษณ์เค้าสอบภาษาอังกฤษไงวะ” ผมตอบไปอย่างนั้น
เพราะคิดในใจเองว่า ก็สอบสัมภาษณ์เค้าสอบภาษาอังกฤษหนิ ก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษสิ
ซึ่งผมคิด ผิด!! ครับ 555 (เดี๋ยวก็จะรู้ครับว่าทำไม)
ทางมหาลัยก็มีการจัดคอร์สสอนภาษาจีนและวัฒนธรรมจีนแบบเร่งด่วนให้ก่อนเดินทางเป็นเวลา 1 เดือนครับ
ซึ่งผมก็ต้องยอมรับตรงๆครับว่าไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน เพราะช่วงนั้นต้องเตรียมตัวสอบ(หรอ)ไฟนอลด้วย
สิ่งที่ได้มาหลังจากจบคอร์สเลยมีแค่ หนีห่าว เซี่ยๆ ตั้วเช่าเฉียน(แปลว่าราคาเท่าไหร่ครับ) และเลข 1-10 แค่นั้นจริงๆครับ แฮะๆ
ที่พักจะเป็นหอพักในมหาวิทยาลัยที่จะไปฝึกงานครับ คือมหาวิทยาลัย Harbin Institute of Technology
ก่อนเดินทาง
เนื่องจากการไปครั้งนี้ผมไปกับทางมหาวิทยาลัย จึงไม่ได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินด้วยตัวเอง
ซึ่งทางคณะเป็นผู้ดำเนินการให้รวมถึงการขอวีซ่าด้วยครับ (แต่ก็ต้องไปยื่นด้วยตนเองพร้อมๆกับคนอื่นๆในคณะ)
โดยเดินทางด้วย สายการบิน China Eastern Airlines ครับ ซึ่งขึ้นชื่อมาก (ในด้านไหนลองไปค้นหาดูครับ 555)
แต่ราคาค่อนข้างถูก และเป็น Full Service ครับ โหลดกระเป๋าได้ 2 ใบๆละ 23 กิโลกรัมครับ ถ้าจำไม่ผิดนะ
และเนื่องจากช่วงที่ไป เป็นฤดู(ที่เค้าว่า)ร้อน และด้วยจากที่อาจารย์บอกมาตอนสัมภาษณ์นั้น
เสื้อผ้าที่เตรียมไปจึงเป็นเสื้อยืดธรรมดา กางเกงยีนส์ กางเกงขาสั้น
และเสื้อคลุมกันแดดกันลมบางๆ แค่นั้น (ซึ่งผมคิด ผิด!! อีกแล้วครับ TT)
และกระเป๋าอีก 1 ใบ อันแน่นไปด้วยของจากไทยแลนด์เดอะแลนด์ออฟสไมล์ ตามภาพครับ 555
ไม่เชิงว่ากลัวอดตายนะครับแค่เผื่อไว้ฝากเพื่อนๆชาวต่างแดนครับ 555
เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าครับ
ถึงวันเดินทางครับ เข้าแถวรอเช็คอิน เวลาเครื่องออกคือประมาณ ตี 2 ครึ่ง ครับ เกือบไปผิดวัน 555 Flight No.MU548
และวุ่นวายนิดหน่อยเนื่องจากมีการเปลี่ยนจุดเช็คอินครับ รีบวิ่งกันเลยทีเดียว
และเนื่องจากมีการเปลี่ยนจุดเช็คอินเลยทำให้เกิดความวุ่นวายกันนิดหน่อย ทำให้เหลือเวลาซื้อของ Duty Free น้อยมากๆครับ(เดี๋ยวๆ)
แต่ก็ไม่วายครับ โดนน้ำหอมไป 1 ขวด พร้อมกับรีบวิ่งไปที่ Gate ใน 10 นาทีพอดีครับ 555 รูปไม่ได้ถ่ายอะไรทั้งนั้น วิ่งอย่างเดียวครับ
จนถึงเวลาขึ้นเครื่อง ถือว่าโชคดีครับได้เครื่อง Boeing 777-300 ที่ค่อนข้างกว้างและเข้าห้องน้ำง่ายครับ
โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 10 นาที ถึงสนามบิน Shanghai Pu Dong เพื่อต่อเครื่องไปยัง Harbin ครับ
มี In-Flight Entertainment ครบครันครับ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ถือว่ายังพอรับได้ครับ แต่ขอพริกน้ำปลาซักถ้วยได้ไหมฮะ
ส่วนวิวระหว่างทาง ไม่ได้ถ่ายครับ เนื่องจากได้นั่งแถวกลาง และเวลาตี 2 ขอนอนก่อนดีกว่าครับ
ถึงสนามบิน Shanghai Pu Dong แล้ว หลังจากผ่าน ตม.(โดนถามนานอยู่เหมือนกันครับ
เค้าถามหาหนังสือเชิญจากมหาวิทยาลัยที่จะมาฝึกงาน แต่เอกสารมีฉบับเดียว
และไม่ได้ Copy กันไว้ วิ่งวุ่นเลยสิครับทีนี้ แต่ก็ผ่านมาได้ครับ)
แล้วก็รอ Transit อีกประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ระหว่างนี้ก็เดินเล่นในสนามบินไปก่อนครับ
สนามบินที่นี่ค่อนข้างใหญ่มากเลยทีเดียวครับ ก็ประเทศเค้าใหญ่นี่เนอะ
บรรยากาศรอบๆสนามบิน Shanghai Pu Dong ครับ
พุ่งตรงไปหาก่อนที่แรกเลยครับ ร้านสะดวกซื้อ
ของกินต่างๆในร้านครับ
แต่สรุปแล้วก็ได้มาแต่ไอนี่ครับแฮะๆ
แล้วก็มารอขึ้นเครื่องต่อที่ Gate ครับ
โดยคราวนี้จะเป็นเที่ยวบินที่ Operate by Shanghai Airlines ครับ Flight No.MU9173
โดยเครื่อง Boeing 737-800 แอบเสียใจที่ไม่ได้เครื่องใหญ่ๆ เหมือนตอนมากับ China Eastern
แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็น Domestic ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาแค่ 2 ชั่วโมง กว่าๆเท่านั้น ซึ่งผมคิดผิด!! อีกแล้ววววว TT
ลาก่อย Shanghai
กลายเป็นว่าแทนที่จะเดินทางจาก Shanghai ไปยัง Harbin เลยนั้น ระหว่างทางจะต้องแวะที่สนามบิน Jiing ก่อนครับ
โดยมีผู้โดยสารชาวจีนบางส่วนลงที่สนามบินนี้ และมีผู้โดยสารจากสนามบินนี้ขึ้นมานั่งแทน
และผู้โดยสารที่จะเดินทางไป Harbin ที่มาจาก Shanghai ต้องลงไปนั่งรอในสนามบินก่อน พร้อมกับกลับขึ้นมาบนเครื่องใหม่
เมื่อถึงเวลา ด้วยเลขที่นั่งเดิม หื้ม ถึงกับอุทานว่า นี่เครื่องบินหรือรถเมล์วะ 555 สิริรวมเวลาแล้วจาก Shanghai ถึง Harbin
ใช้เวลาเดินทางร่วมๆ 4-5 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ
สนามบิน Jining ครับ
อาหารบนเครื่อง Shanghai Airlines เห็นหน้าตาสีสันหน้าทานแบบนี้ อยากบอกว่าของจริงกลิ่นหอมน่าทานมากๆครับ
แต่รสชาติหน่ะหรอครับ หึหึหึ เรียกว่าไม่มีรสจะดีกว่าครับ กินเพื่ออยู่ครับๆท่องไว้
วิวจากหน้าต่างเครื่องบินครับ ระหว่างทางไป Harbin
ถึงสนามบิน Harbin เรียบร้อยครับ
จากนั้นก็รวมพลและเดินออกจากสนามบินขึ้นรถบัสเพื่อเข้าไปยังตัวเมืองของ Harbin ครับ
เมื่อก้าวขาออกจากสนามบิน ผมถึงกับสถบออกมาในใจว่าแต่ค่อนข้างดัง “ อิเ_ี้ย หนาวอิบอ๋าย ไหนเค้าบอกมันไม่หนาวไงวะ”
ซึ่งระยะทางจากสนามบินถึงตัวเมือง Harbin ผมคิดว่าค่อนข้างไกลอยู่นะครับ แต่ว่าจะเป็นทางตรงๆวิ่งยาวเลยครับ
ถึงมหาวิทยาลัยที่จะมาฝึกงานครับ ก็จัดแจงแยกย้ายไปตามที่พักที่เค้าจัดไว้ให้ครับ
สำหรับนักศึกษาต่างชาติทางมหาวิทยาลัยจะมีหอพักสำหรับนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะครับ
มีทั้งหมด 2 ตึก (และมีอีก 16 ตึกเป็นของนักศึกษาจีน คุณพระ!! เยอะมาก)
โดยตึกแรก ขอเรียกว่าตึก 6 แล้วกันครับ ที่นี่จะเรียกตึกหอพักเป็นหมายเลข (ก็มีเยอะขนาดนี้ใช้เลขน่ะดีละครับ)
ตึก 6 นี้จะเป็นหอพักของนักศึกษาจีนเก่า แล้วดัดแปลงเป็นหอพักสำหรับนักศึกษาต่างชาติ โดยมี 6 ชั้นและไม่มีลิฟต์
และตึก 13 ที่เป็นตึกสร้างใหม่สำหรับนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ ถ้าจำไม่ผิดมีประมาณ 13-16 ชั้น มีลิฟต์ สวยงามดูไฮโซ
แล้วคนดวงดีอย่างผมจะได้อยู่ที่ไหนล่ะ แท่น แทน แท้น ตึก 6 สิครับ ชั้น 6 ด้วย ยิ้มแก้มปลิ แบกกระเป๋าวนไปครับ
โดยหนึ่งห้องจะมี 2 ห้องเล็ก อยู่ห้องละ 2 คน รวมเป็น 4 คน และมี 1 ห้องน้ำครับ และเป็นห้องน้ำแบบชักโครก ดีสุดคือตรงนี้ครับ 555
ห้องจะเป็นลักษณะนี้เหมือนๆกันทั้งสองตึกครับ แต่ตึก 13 ก็จะใหม่กว่า ไฮโซกว่านิดหน่อยครับ
ที่นอนครับ
เครื่องทำน้ำอุ่น ใหญ่มาก นึกว่าแอร์
หลังจากสำรวจห้อง unpack กระเป๋าเสร็จก็ลงไปหาอะไรกินครับ
ตอนนี้ยังไม่เจอหน้า Roommate ตัวเองเลยครับ ว่าเป็นใครชาติไหนอะไรยังไง สงสัยจะยังไม่กลับจากห้องสมุดมั้งครับ
หน้าตา 1 ในโรงอาหารที่มีเยอะมากๆในมหาวิทยาลัยนี้ ก็จัดการกินข้าวมื้อแรกที่ฮาร์บินครับ จากการสั่งด้วยภาษามือล้วนๆครับ
กินเสร็จก็แวะมาดูของใช้ใน Supper Market สักหน่อยครับ
แชร์ประสบการณ์ 1 เดือน ที่ฮาร์บิน
และเนื่องจากไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพภาษาอาจจะงงๆ ก็ขออภัยด้วยนะครับ
สวัสดีครับทุกๆท่าน พอดีเมื่อช่วงกลางปี 2016 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองฮาร์บิน มณฑลเฮย์หลงเจียง ประเทศจีน
เป็นเวลา 1 เดือน จากโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาฝึกงานของทางมหาวิทยาลัยครับ
เอาเป็นว่าเนื้อหาในกระทู้นี้ขอพูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตและท่องเที่ยวในฮาร์บินแล้วกันนะครับ เรื่องฝึกงานชั่งมัน 555 ล้อเล่นครับ
เนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงซัมเมอร์ของที่นั่นพอดีครับ (ช่วงเดือน พ.ค. – มิ.ย.)
หลายคนพอได้ยินว่าฮาร์บินก็อาจจะนึกถึงเมืองที่หนาวมากๆมีแต่หิมะกันนะครับ ผมก็เช่นกัน
ถึงขนาดตอนสัมภาษณ์คัดเลือกนักศึกษาไปฝึกงาน อาจารย์ถามผมว่าคุณรู้อะไรเกี่ยวกับฮาร์บินบ้าง “It’s so cold” นั่นคือที่ผมตอบไป
(แล้วอาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า “Did you know that when you go there, it's not cold …”)
เลยอยากจะให้หลายๆท่านที่อาจจะยังไม่เคยเห็นหรือสัมผัสฮาร์บินในช่วงซัมเมอร์ได้ชมกันครับ ก็น่าเที่ยวไม่แพ้หน้าหนาวนะครับ
เตรียมตัวกันก่อนครับ
ผมเป็นคนหนึ่งที่ความรู้ด้านภาษาจีน = 0 เลยก็ว่าได้ครับ
แล้วทำไมถึงได้ไป ? เป็นคำถามยอดฮิตที่เพื่อนทุกคนถามผมครับ “ก็ตอนสอบสัมภาษณ์เค้าสอบภาษาอังกฤษไงวะ” ผมตอบไปอย่างนั้น
เพราะคิดในใจเองว่า ก็สอบสัมภาษณ์เค้าสอบภาษาอังกฤษหนิ ก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษสิ
ซึ่งผมคิด ผิด!! ครับ 555 (เดี๋ยวก็จะรู้ครับว่าทำไม)
ทางมหาลัยก็มีการจัดคอร์สสอนภาษาจีนและวัฒนธรรมจีนแบบเร่งด่วนให้ก่อนเดินทางเป็นเวลา 1 เดือนครับ
ซึ่งผมก็ต้องยอมรับตรงๆครับว่าไม่ค่อยได้ตั้งใจเรียน เพราะช่วงนั้นต้องเตรียมตัวสอบ(หรอ)ไฟนอลด้วย
สิ่งที่ได้มาหลังจากจบคอร์สเลยมีแค่ หนีห่าว เซี่ยๆ ตั้วเช่าเฉียน(แปลว่าราคาเท่าไหร่ครับ) และเลข 1-10 แค่นั้นจริงๆครับ แฮะๆ
ที่พักจะเป็นหอพักในมหาวิทยาลัยที่จะไปฝึกงานครับ คือมหาวิทยาลัย Harbin Institute of Technology
ก่อนเดินทาง
เนื่องจากการไปครั้งนี้ผมไปกับทางมหาวิทยาลัย จึงไม่ได้ทำการจองตั๋วเครื่องบินด้วยตัวเอง
ซึ่งทางคณะเป็นผู้ดำเนินการให้รวมถึงการขอวีซ่าด้วยครับ (แต่ก็ต้องไปยื่นด้วยตนเองพร้อมๆกับคนอื่นๆในคณะ)
โดยเดินทางด้วย สายการบิน China Eastern Airlines ครับ ซึ่งขึ้นชื่อมาก (ในด้านไหนลองไปค้นหาดูครับ 555)
แต่ราคาค่อนข้างถูก และเป็น Full Service ครับ โหลดกระเป๋าได้ 2 ใบๆละ 23 กิโลกรัมครับ ถ้าจำไม่ผิดนะ
และเนื่องจากช่วงที่ไป เป็นฤดู(ที่เค้าว่า)ร้อน และด้วยจากที่อาจารย์บอกมาตอนสัมภาษณ์นั้น
เสื้อผ้าที่เตรียมไปจึงเป็นเสื้อยืดธรรมดา กางเกงยีนส์ กางเกงขาสั้น
และเสื้อคลุมกันแดดกันลมบางๆ แค่นั้น (ซึ่งผมคิด ผิด!! อีกแล้วครับ TT)
และกระเป๋าอีก 1 ใบ อันแน่นไปด้วยของจากไทยแลนด์เดอะแลนด์ออฟสไมล์ ตามภาพครับ 555
ไม่เชิงว่ากลัวอดตายนะครับแค่เผื่อไว้ฝากเพื่อนๆชาวต่างแดนครับ 555
เรามาเริ่มเดินทางกันเลยดีกว่าครับ
ถึงวันเดินทางครับ เข้าแถวรอเช็คอิน เวลาเครื่องออกคือประมาณ ตี 2 ครึ่ง ครับ เกือบไปผิดวัน 555 Flight No.MU548
และวุ่นวายนิดหน่อยเนื่องจากมีการเปลี่ยนจุดเช็คอินครับ รีบวิ่งกันเลยทีเดียว
และเนื่องจากมีการเปลี่ยนจุดเช็คอินเลยทำให้เกิดความวุ่นวายกันนิดหน่อย ทำให้เหลือเวลาซื้อของ Duty Free น้อยมากๆครับ(เดี๋ยวๆ)
แต่ก็ไม่วายครับ โดนน้ำหอมไป 1 ขวด พร้อมกับรีบวิ่งไปที่ Gate ใน 10 นาทีพอดีครับ 555 รูปไม่ได้ถ่ายอะไรทั้งนั้น วิ่งอย่างเดียวครับ
จนถึงเวลาขึ้นเครื่อง ถือว่าโชคดีครับได้เครื่อง Boeing 777-300 ที่ค่อนข้างกว้างและเข้าห้องน้ำง่ายครับ
โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง 10 นาที ถึงสนามบิน Shanghai Pu Dong เพื่อต่อเครื่องไปยัง Harbin ครับ
มี In-Flight Entertainment ครบครันครับ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ถือว่ายังพอรับได้ครับ แต่ขอพริกน้ำปลาซักถ้วยได้ไหมฮะ
ส่วนวิวระหว่างทาง ไม่ได้ถ่ายครับ เนื่องจากได้นั่งแถวกลาง และเวลาตี 2 ขอนอนก่อนดีกว่าครับ
ถึงสนามบิน Shanghai Pu Dong แล้ว หลังจากผ่าน ตม.(โดนถามนานอยู่เหมือนกันครับ
เค้าถามหาหนังสือเชิญจากมหาวิทยาลัยที่จะมาฝึกงาน แต่เอกสารมีฉบับเดียว
และไม่ได้ Copy กันไว้ วิ่งวุ่นเลยสิครับทีนี้ แต่ก็ผ่านมาได้ครับ)
แล้วก็รอ Transit อีกประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ระหว่างนี้ก็เดินเล่นในสนามบินไปก่อนครับ
สนามบินที่นี่ค่อนข้างใหญ่มากเลยทีเดียวครับ ก็ประเทศเค้าใหญ่นี่เนอะ
บรรยากาศรอบๆสนามบิน Shanghai Pu Dong ครับ
พุ่งตรงไปหาก่อนที่แรกเลยครับ ร้านสะดวกซื้อ
ของกินต่างๆในร้านครับ
แต่สรุปแล้วก็ได้มาแต่ไอนี่ครับแฮะๆ
แล้วก็มารอขึ้นเครื่องต่อที่ Gate ครับ
โดยคราวนี้จะเป็นเที่ยวบินที่ Operate by Shanghai Airlines ครับ Flight No.MU9173
โดยเครื่อง Boeing 737-800 แอบเสียใจที่ไม่ได้เครื่องใหญ่ๆ เหมือนตอนมากับ China Eastern
แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็น Domestic ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาแค่ 2 ชั่วโมง กว่าๆเท่านั้น ซึ่งผมคิดผิด!! อีกแล้ววววว TT
ลาก่อย Shanghai
กลายเป็นว่าแทนที่จะเดินทางจาก Shanghai ไปยัง Harbin เลยนั้น ระหว่างทางจะต้องแวะที่สนามบิน Jiing ก่อนครับ
โดยมีผู้โดยสารชาวจีนบางส่วนลงที่สนามบินนี้ และมีผู้โดยสารจากสนามบินนี้ขึ้นมานั่งแทน
และผู้โดยสารที่จะเดินทางไป Harbin ที่มาจาก Shanghai ต้องลงไปนั่งรอในสนามบินก่อน พร้อมกับกลับขึ้นมาบนเครื่องใหม่
เมื่อถึงเวลา ด้วยเลขที่นั่งเดิม หื้ม ถึงกับอุทานว่า นี่เครื่องบินหรือรถเมล์วะ 555 สิริรวมเวลาแล้วจาก Shanghai ถึง Harbin
ใช้เวลาเดินทางร่วมๆ 4-5 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ
สนามบิน Jining ครับ
อาหารบนเครื่อง Shanghai Airlines เห็นหน้าตาสีสันหน้าทานแบบนี้ อยากบอกว่าของจริงกลิ่นหอมน่าทานมากๆครับ
แต่รสชาติหน่ะหรอครับ หึหึหึ เรียกว่าไม่มีรสจะดีกว่าครับ กินเพื่ออยู่ครับๆท่องไว้
วิวจากหน้าต่างเครื่องบินครับ ระหว่างทางไป Harbin
ถึงสนามบิน Harbin เรียบร้อยครับ
จากนั้นก็รวมพลและเดินออกจากสนามบินขึ้นรถบัสเพื่อเข้าไปยังตัวเมืองของ Harbin ครับ
เมื่อก้าวขาออกจากสนามบิน ผมถึงกับสถบออกมาในใจว่าแต่ค่อนข้างดัง “ อิเ_ี้ย หนาวอิบอ๋าย ไหนเค้าบอกมันไม่หนาวไงวะ”
ซึ่งระยะทางจากสนามบินถึงตัวเมือง Harbin ผมคิดว่าค่อนข้างไกลอยู่นะครับ แต่ว่าจะเป็นทางตรงๆวิ่งยาวเลยครับ
ถึงมหาวิทยาลัยที่จะมาฝึกงานครับ ก็จัดแจงแยกย้ายไปตามที่พักที่เค้าจัดไว้ให้ครับ
สำหรับนักศึกษาต่างชาติทางมหาวิทยาลัยจะมีหอพักสำหรับนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะครับ
มีทั้งหมด 2 ตึก (และมีอีก 16 ตึกเป็นของนักศึกษาจีน คุณพระ!! เยอะมาก)
โดยตึกแรก ขอเรียกว่าตึก 6 แล้วกันครับ ที่นี่จะเรียกตึกหอพักเป็นหมายเลข (ก็มีเยอะขนาดนี้ใช้เลขน่ะดีละครับ)
ตึก 6 นี้จะเป็นหอพักของนักศึกษาจีนเก่า แล้วดัดแปลงเป็นหอพักสำหรับนักศึกษาต่างชาติ โดยมี 6 ชั้นและไม่มีลิฟต์
และตึก 13 ที่เป็นตึกสร้างใหม่สำหรับนักศึกษาต่างชาติโดยเฉพาะ ถ้าจำไม่ผิดมีประมาณ 13-16 ชั้น มีลิฟต์ สวยงามดูไฮโซ
แล้วคนดวงดีอย่างผมจะได้อยู่ที่ไหนล่ะ แท่น แทน แท้น ตึก 6 สิครับ ชั้น 6 ด้วย ยิ้มแก้มปลิ แบกกระเป๋าวนไปครับ
โดยหนึ่งห้องจะมี 2 ห้องเล็ก อยู่ห้องละ 2 คน รวมเป็น 4 คน และมี 1 ห้องน้ำครับ และเป็นห้องน้ำแบบชักโครก ดีสุดคือตรงนี้ครับ 555
ห้องจะเป็นลักษณะนี้เหมือนๆกันทั้งสองตึกครับ แต่ตึก 13 ก็จะใหม่กว่า ไฮโซกว่านิดหน่อยครับ
ที่นอนครับ
เครื่องทำน้ำอุ่น ใหญ่มาก นึกว่าแอร์
หลังจากสำรวจห้อง unpack กระเป๋าเสร็จก็ลงไปหาอะไรกินครับ
ตอนนี้ยังไม่เจอหน้า Roommate ตัวเองเลยครับ ว่าเป็นใครชาติไหนอะไรยังไง สงสัยจะยังไม่กลับจากห้องสมุดมั้งครับ
หน้าตา 1 ในโรงอาหารที่มีเยอะมากๆในมหาวิทยาลัยนี้ ก็จัดการกินข้าวมื้อแรกที่ฮาร์บินครับ จากการสั่งด้วยภาษามือล้วนๆครับ
กินเสร็จก็แวะมาดูของใช้ใน Supper Market สักหน่อยครับ