อุปาทานใช่เราหรือไม่?

ที่กล่าวว่า
รูปไม่ใช่เรา
จิตไม่ใช่เรา
อุปาทานใช่เราหรือไม่? โปรดอธิบาย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ที่กล่าวมานั้นแสดงว่า จขกท. ยังไม่เข้าใจธรรมที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้นะครับ

ผมจะไม่บอกสั้นๆว่าอะไรเป็นอะไร แต่จะให้ความเข้าใจในเรื่องนี้ไปแทน เพื่อที่จะได้ใช้ตรวจสอบธรรมะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมดได้ด้วยตนเองครับ

ผมจะไม่พูดศัพท์บาลีที่ยากๆ จะมีแค่เล็กน้อยซึ่งเหมาะกับบุคคลทั่วไปจะพึงทำความเข้าใจนะครับ

ก่อนอื่นทำความเข้าใจกับ "ลักษณะ" เสียก่อน

ธรรมทุกอย่างมีลักษณะของตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะเป็น รูปธรรม นามธรรมทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่พระนิพพานก็มีลักษณะเช่นกัน

หากเราทราบลักษณะของสิ่งนั้นๆว่าเป็นอย่างไรแล้ว เราก็จะสามารถบอกได้ครับว่า อะไรเป็นอะไร

ย้อนกลับมาในเรื่อง "ตัวเรา" เสียก่อนนะครับ

ตัวเราในที่นี้  ตามคำถามของจขกท.ก็คืออัตตา นั่นเอง

อัตตาคืออะไร มีลักษณะอย่างไร

อัตตาคือ ตัวตน ที่เที่ยงแท้ ยั่งยืน ถาวร ไม่แปรผัน ไม่ปรากฏความดับไป อยู่ใต้อำนาจบังคบบัญชา มีอำนาจเป็นเจ้าของ นี่ลักษณะของอัตตาครับ

อนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ใต้อำนาจบังคบบัญชา ไม่มีอำนาจเป็นเจ้าของ
นี่ลักษณะของอนัตตาครับ

ลักษณะของสังขาร คือ ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืนถาวร แปรผันอยู่เสมอ ทนอยู่ไม่ได้ต้องดับไปในที่สุด
นี่ลักษณะของสังขารครับ

ต่อไปเมื่อเรารู้ลักษณะของสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็นำมาเทียบได้เลยครับว่าอะไรเป็นอะไร

1.รูปใช่เราหรือไม่ เป็นอัตตาหรือไม่?

ลักษณะของรูป จิต และอุปาทาน คือ ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืนถาวร มีความผันแปรอยู่เสมอ ทนอยู่ไม่ได้ต้องดับไป ไม่อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่เจ้าของ

ซึ่งมีลักษณะของ อนัตตาอยู่ครบทุกประการ ดังนั้น รูป จิต รวมถึงอุปาทาน จึงเป็นอนัตตา
กล่าวคือ รูป จิต อุปาทาน ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่มีอำนาจที่จะเป็นเจ้าของ

แต่อนัตตา ไม่ใช่รูป จิต อุปาทาน
เพราะ นอกจากรูป จิต อุปาทาน จะมี ลักษณะของอนัตตาครบทุกประการแล้ว ยังมีลักษณะของสังขารครบทุกประการด้วย
ดังนั้น อนัตตาจึงไม่ใช่รูป จิต อุปาทาน

นอกจากรูป จิต อุปาทานจะเป็นอนัตตาแล้ว ยังเป็นสังขารอีกด้วย

เพราะว่ารูป จิต อุปาทาน มีลักษณะไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืนถาวร แปรผันอยู่เสมอ ทนอยู่ไม่ได้ต้องดับไปในที่สุด
ซึ่งก็คือ มีลักษณะของสังขารอยู่ครบทุกประการนั่งเอง ดังนั้น รูป จิต อุปาทานจึงเป็นสังขารด้วย

แต่สังขารก็ไม่ใช่ รูปจิต อุปาทานเช่นเดียวกัน

ตรงนี้อาจจะงงสักหน่อย เพราะเราสับสนกันมากในเรื่องนี้ หากผมอธิบายแค่นี้ อาจจะไม่กระจ่างนัก จะขอยกตัวอย่างประกบสักเล็กน้อยละกันนะครับ

สมมุติว่า เราสงสัยว่า เหล็ก จัดเป็นโลหะหรือไม่

ก็ดูลักษณะของเหล็ก และโลหะเช่นกันครับ เมื่อทราบลักษณทั้งสองอย่างแล้ว นำมาเทียบกัน เหมือนกับด้านบน

เมื่อเทียบแล้ว เราจะรู้ว่าเหล็กมีคุณสมบัติของโลหะครบทุกประการ ดังนั้นเรากล่าวได้ว่า เหล็กจัดเป็นโลหะ

แต่ถามมุมกลับว่า ถ้าอย่างนั้นโลหะจัดเป็นเหล็กใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ
อย่าลืมว่านอกจากคุณสมบัติของโลหะแล้ว เหล็กยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่ไม่ใช่คุณสมบัติของโลหะอีกด้วย
เช่น เหล็กสามารถขึ้นสนิมได้เมื่อมีความชื้น อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่ว่าโลหะอาจจะขึ้นสนิมก็ได้ไม่ขึ้นสนิมก็ได้

เมื่อเราทราบความจริงเช่นนี้ เราจะสามารถนำไปใช้ได้กับทุกอย่างเลยครับ เราจะสามารถบอกได้ว่าธรรมใดกล่าวถูกกล่าวผิด ไปจากความเป็นจริง
สามารถพิสูจน์ได้ มีหลักฐานชัดเจนในทุกเรื่องของชีวิตครับ และสามารถบอกได้ด้วยว่าที่กล่าวผิด กล่าวผิดอย่างไร ขัดแย้งความเป็นจริงอย่างไรด้วย

สุดท้ายนี้ ผมจะยกตัวอย่างการกล่าวธรรมที่ผิดจากความเป็นจริงเพราะไม่เข้าใจหลัการพื้นฐานในเรื่องนี้นะครับ

เช่น การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
แล้วเราไปตีความว่า สังขารเป็นอนัตตา ดังนั้นอนัตตาเป็นสังขาร
แล้วบอกต่ออีกว่า ถ้าอย่างนั้น อนัตตาต้อง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องดับไปเป็นต้น

สังขารมีลักษณะของอนัตตาครบทุกอย่าง ดังนั้น สังขารจึงจัดเป็นอนัตตา
แต่อนัตตาไม่มีคุณสมบัติครบทุกอย่างของสังขาร ดังนั้น อนัตตาจึงไม่จัดเป็นสังขารครับ

หากไม่เข้าใจตรงจุดไหน สอบถามได้หลังไมค์นะครับ ส่วนเพื่อนพุทธศาสนิกชนท่านใดที่ จะเพิ่มเติม โต้แย้ง หรือ เสนอแนะ ต่อท้ายข้อความได้เลยครับ
ขอเจริญในธรรม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่