▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวต่างประเทศ
[CR] Review: Easter Island เกาะพิศวงแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก
พร้อมแล้วก็ไปเที่ยวกันเลย กับเกาะอีสเตอร์ เกาะพิศวงแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก
เกาะอีสเตอร์ หรือ Rapa Nui หรือ Isla de Pascua เป็นเกาะขนาดไม่ใหญ่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างไกลออกมาจากชายฝั่งชิลี 3500 กิโลเมตร ไกลๆพอๆกับกรุงเทพไปญี่ปุ่นตอนล่างๆเลยทีเดียวครับ ปัจจุบันถือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชิลี ชื่อเกาะได้มาจากการที่นักสำรวจชาวดัทช์ล่องเรือมาพบเกาะนี้ตรงกับวันอีสเตอร์ในปี 1722
การเดินทางที่สะดวกที่สุดทางเดียวคือนั่งเครื่องบินมาจาก Santiago เมืองหลวงของชิลีครับ สายการบิน LATAM หรือ LAN ในอดีต มีเที่ยวบินตรงทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงด้วยเครื่องบินแบบ Boeing 787 ครับ สะดวกสบายแต่ราคาค่อนข้างเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน เพราะบินอยู่เจ้าเดียวครับ เส้นทางการบินก็โหดเอาเรื่องตรงที่ความห่างไกลและไม่มีสนามบินอื่นให้ลงระหว่างทางเลย ทำให้ในเส้นทางบินนี้สามารถมีเครื่องบินบินได้ทีละหนึ่งลำเท่านั้น เช่น เครื่องที่บินกลับจากเกาะอีสเตอร์จะต้องผ่านจุด point of no return และยืนยันการลงจอดที่สนามบิน Santiago แล้วเท่านั้น หอบังคับการบินจึงจะอนุญาตให้เครื่องบินอีกลำ take off เพื่อบินสวนทางไปยังเกาะอีสเตอร์
จากเกาะอีสเตอร์ มีเที่ยวบินต่อไป Papeete Tahiti ทำให้สามารถรวมทริปเกาะอีสเตอร์กับโบราโบร่าเข้าด้วยกันได้ครับ เผื่อใครสนใจ
สนามบินบนเกาะอีสเตอร์มีชื่อทางการว่า Mataveri International Airport เป็นสนามบินแบบ open air ขนาดไม่ใหญ่ แต่มีรันเวย์ยาว 3300 เมตรทอดขวางเกาะเลยทีเดียว
ที่พักบนเกาะมีให้เลือกหลากหลายเลยครับ เราเลือกโรงแรมเล็กๆของคนท้องถิ่น ห่างออกมานอกเมืองหน่อย ราคาตกคืนละประมาณ 100 USD รวมอาหารเช้าและรถรับส่งสนามบิน ใกล้กับชายหาด และสามารถเดินไปดูโมอายใกล้ๆได้ครับ
ในโรงแรมมีโรงเรือนปลูกผักสวนครัวด้วย
เรามีเวลาสั้นๆ 2 คืนอยู่บนเกาะอีสเตอร์ ก็เลยวางแผนว่าวันแรกเดินเที่ยวเองใกล้ๆ วันที่สองซื้อทัวร์พร้อมไกด์ วันสุดท้ายเก็บตกก่อนบินกลับ Santiago ตอนบ่ายๆ
ย่านที่เป็นเมืองของเกาะอีสเตอร์เรียกว่า Hanga Roa ครับ มีถนนสายหลักชื่อ Atamu Tekena มีร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านเช่ารถ และหมาเยอะมาก แต่ละตัวตัวใหญ่น่าเกรงขามมากครับ
จากโรงแรมเดินไปประมาณ 10 นาที ก็จะถึงโมอายกลุ่มที่อยู่ใกล้เมืองมากที่สุดชื่อ Ahu Tahai ครับ โมอายกลุ่มนี้ถูกยกขึ้นตั้งอีกครั้งเมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว ประกอบด้วย 3 กลุ่มย่อยคือ Ahu Vai 'Uri ที่มี 5 โมอาย, Ahu Tahai และ Ahu Ko Te Riku ที่มีดวงตาครับ โดยที่เท่าที่ทราบในปัจจุบันเหลือแค่ Ahu Ko Te Riku ที่มีดวงตาทำจากซีเมนต์ครับ
โดยทั่วไปโมอายจะประกอบด้วยฐานที่เรียกว่า Ahu, ส่วนหัวและลำตัวทำจากหินภูเขาไฟ tuff, หมวกที่เรียกว่า Pukao ทำจากหินภูเขาไฟ scoria ที่มีรูพรุน และดวงตา โดยตาขาวทำจากผงปะการัง ส่วนตาดำทำจากหิน obsidian ครับ
ว่ากันว่าโมอายเป็นสัญลักษณ์ของบรรพบุรุษที่คอยดูแลปกปักรักษาลูกหลาน โดยส่งผ่านพลังที่เรียกว่า mana ผ่านออกมาทางดวงตา โมอายจะเป็นแค่หินธรรมดาจนกว่าจะมีการใส่ดวงตาเข้าไป อารมณ์ประมาณเบิกเนตรมั้งครับ
ในอดีตที่มีการสู้รบกันหนักๆของชาว Rapa Nui สิ่งหนึ่งที่ต้องทำก็คือทำลายดวงตาของโมอายของเผ่าศัตรู เพื่อไม่ให้มีพลังจากบรรพบุรุษ เราจึงไม่เห็นโมอายดั้งเดิมที่มีดวงตาเหลืออยู่เลยครับ
ไกด์เราเล่าให้ฟังเรื่องที่มาของดวงตาของ Ahu Ko Te Riku ซึ่งจะจริงเท็จยังไงก็ไม่ทราบนะครับ ว่าเกิดจากมีทีมงานโทรทัศน์จากยุโรปมาขอให้ชาวพื้นเมืองทำดวงตาชั่วคราวให้โมอายเพื่อการถ่ายทำ เสร็จแล้วก็เอาออก ทำไปทำมาเรื่องไปถึงหูรัฐบาลชิลี ซึ่งตั้งให้เกาะอีสเตอร์เป็น national park ไม่พอใจให้ทำแบบนี้กับสมบัติชาติ สั่งห้าม ส่วนชาว Rapa Nui ก็ไม่พอใจว่าโมอายเป็นสมบัติของเขา คนอื่นไม่มีสิทธิ์มาสั่ง ด็เลยทำดวงตาติดถาวรเป็นการประท้วงรัฐบาลชิลีเสียเลย
Ahu Tahai ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเกาะ ดังนั้นจึงเป็นทำเลทองในการชมพระอาทิตย์ตกครับ แต่เราเดินมาไม่ทันประกอบกับเมฆเริ่มเยอะ เลยได้เป็นภาพบรรยากาศยามเย็นมาแทน
เสียดายที่ไม่มีการจดบันทึกประวัติของเกาะอีสเตอร์ในอดีต ทำให้ข้อมูลต่างๆเกิดจากการสันนิษฐานจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่และการสอบถามจากชาว Rapa Nui เดิมที่หลงเหลืออยู่ไม่มาก ต่อคำถามที่ว่าโมอายหนักเป็นสิบตันถูกเอามาตั้งไว้บนฐานได้ยังไง ตำนานดั้งเดิมก็คือมันเดินมาเอง และแล้วผมก็มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าโมอายมันเดินมาได้เองจริงๆ
เช้าวันถัดมา เรามีนัดกับไกด์ท้องถิ่นตั้งแต่เช้ามืด เพราะซื้อ day trip เอาไว้ โดยจ่ายเงินเพิ่มเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นด้วย เดชะบุญ ลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลมา ปรากฎว่าฝนตกจ้า เสียใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากควักเสื้อกันฝนที่ติดมาด้วยออกมาใส่ แล้วเดินต่อไป
ที่แรกที่เราตั้งใจจะมาชมพระอาทิตย์ขึ้นคือ Ahu Tongariki ซึ่งประกอบด้วยโมอายยืนเรียงกันถึง 15 ตัว หนึ่งในนั้นเป็นตัวที่มีน้ำหนักมากที่สุดถึง 86 ตันเลยทีเดียว โมอายเหล่านี้เคยถูกสึนามิพัดลงจากฐานเมื่อครั้งแผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 9.5 แมกนิจูดตอนปี 1960 ก่อนจะได้รับการบูรณะอีกครั้งตอนช่วงปี 1990 ครับ
ในบริเวณนี้เราจะเจอกับโมอายตัวหนึ่งตั้งแยกออกมา โมอายตัวนี้ถูกเรียกว่า The Traveling Moai จากการที่โมอายตัวนี้ถูกใช้ในการทดลองการเคลื่อนย้ายโมอายในอดีต นอกจากนี้รัฐบาลชิลียังเคยส่งโมอายตัวนี้ไปจัดแสดงที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการขอบคุณที่ญี่ปุ่นช่วยเป็นกำลังสำคัญในการบูรณะ Ahu Tongariki อีกด้วย เรียกได้ว่า Traveling Moai ตัวนี้เดินทางไปไกลกว่าเพื่อนๆจริงๆ
ไกด์เล่าให้ฟังว่าหินนี้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านชาว Rapa Nui ในอดีต โดยเขาจะใช้หินเรียงเป็นรูปเรือ ส่วนรูที่เห็นใช้สำหรับตั้งเสาที่รองรับหลังคาอีกที นอกจากนี้ยังมีการแกะหินบริเวณนั้นเป็นรูปต่างๆ เช่น หน้าคน ปลา อีกด้วย
รูปตรงนี้มีไม่ค่อยเยอะ เพราะฝนตก แถมคุณไกด์ยังบอกว่าไว้เดี๋ยวให้เวลาถ่ายรูปทีหลัง ฟังคุณครูอธิบายก่อน เราก็เป็นศิษย์ที่เชื่อฟัง สุดท้ายพาขึ้นรถไปที่ต่อไปเลยซะงั้น แถมยังมีการให้เราสรุปสิ่งที่เขาเล่าให้ฟังเป็นระยะๆ ประหนึ่ง oral exam อีกด้วย
ระหว่างเดินทางต่อ ฝนก็ยังคงตกลงมาไม่หยุดหย่อน
ที่ต่อมาเป็นชายหาดทรายหนึ่งในสองหาดของเกาะ ว่ากันว่าเป็นบริเวณที่ Hotu Matu'a พระราชาคนแรกเดินทางมาขึ้นฝั่ง และเริ่มตั้งถิ่นฐานบริเวณนี้ โดยถิ่นฐานดั้งเดิมของชาว Rapa Nui นั้นมีบางทฤษฎีเชื่อว่ามาจากหมู่เกาะโพลินิเชียน และบางทฤษฎีเชื่อว่ามาจากทวีปอเมริกาใต้ จากการวิเคราะห์ radiocarbon พบว่าการตั้งถิ่นฐานน่าจะเกิดขึ้นเมื่อประมาณช่วงปี ค.ศ. 1200
ในบริเวณนี้จะพบโมอาย 2 กลุ่ม คือ Ahu Ature ซึ่งเป็นโมอายเดี่ยว และเป็นโมอายตัวแรกที่ได้รับการบูรณะและยกขึ้นตั้งบนฐานด้วยแรงงานคน และ Ahu Nau Nau ประกอบด้วยโมอาย 7 ตัว
ใกล้ๆกันจะเป็นทุ่งมะพร้าวที่นำมาจาก Tahiti
โมอายในยุคแรกๆ จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก และการแกะสลักยังเป็นแบบง่ายๆเท่านั้น