ดราม่าสอนการอ่านแบบแปลกๆ ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง มันแย่ขนาดนั้นจริงหรือ?



ดราม่าเรื่องนี้มีมาหลายปีแล้ว โดยเริ่มเป็นประเด็นครั้งแรกเมื่อ ก.ค. 2557 แล้วก็เงียบหายไป ครั้งนี้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจการสอนอ่านภาษาไทยที่มีมาแต่ดั้งเดิมก่อนนะครับ

ทำไมตลอดมาภาษาไทยสอนอ่านแบบ กอ อา กา, คอ โอ โค ? อมยิ้ม01อมยิ้ม01อมยิ้ม01
ตอบ: ภาษาไทยเป็นภาษากลุ่มอักษรสระประกอบหรือ alphasyllabrary เช่นเดียวกับภาษาในตระกูลพราหมี ภาษาเอธิโอเปีย ซึ่งให้ความสำคัญกับพยัญชนะมากกว่าสระดังนั้นเดิมเราจึงมักสอนอ่านโดยการพูดพยัญชนะก่อนแล้วตามด้วยสระ ซึ่งตามหลักของภาษาตระกูลนี้สระเป็นเพียงสวนประกอบเท่านั้น

ทำไมไม่สอนแบบโฟนิกเหมือนภาษาอังกฤษ แบบที่สอน เคอะ แอะ เทอะ = cat ? หลิ่วตาหลิ่วตาหลิ่วตา
ตอบ: ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลุ่ม alphabet ครับ ความสำคัญของสระและพยัญชนะเท่ากันคืออยู่เดี่ยวๆอ่านไม่ได้มีแค่เสียงที่บ่งบอกถึงพยัญชนะนั้นเท่านั้น ส่วนในภาษาไทยพยัญชนะอยู่เดี่ยวๆ ก็อ่านได้คือ มีสระออติดมาโดยอัตโนมัติ ครูภาษาไทยแต่โบราณจึงไม่ได้สอนอ่าน แบบที่สอนโฟนิกในภาษาอังกฤษเนื่องจากอุตสาห์มีสระติดมาก็ไม่รู้จะตัดมันออกไปทำไม

ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าการสอนแบบที่ดราม่ากันผิดไหม? ประหลาดใจประหลาดใจประหลาดใจ
ตอบ: ผมคิดว่าไม่ผิด หลายประเทศมีวิธีการสอนการอ่านสะกดคำหลายวิธีมาก แต่ประเทศที่ใช้ภาษากลุ่ม alphabet มักสอนแบบโฟนิกเนื่องจากมี meta-analysis ว่าทำให้การอ่านดีกว่าแบบอื่นๆ สำหรับภาษาไทยนั้นการสอนตามแบบเรียนดังรูปนี้ถือเป็นการสอนอ่านอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งหากโรงเรียนนั้นเห็นว่าทำให้เด็กอ่านได้เช่นเดียวกันและไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าการสอนแบบนี้มีโทษ ก็น่าจะเอามาใช้ได้ ส่วนประเด็นที่ทำให้เป็นดราม่าเกิดจาก วิธีการสอนของโรงเรียนนี้ไม่เหมือนการสอนแบบดั้งเดิมของเราซึ่งผมขออธิบายแยกเป็นประเด็นดังนี้นะครับ

1.    สอนอ่านตามรูปการเขียนไม่ได้อ่านโดยเอาพยัญชนะขึ้นก่อน
ไม่เอาไม่พูดไม่เอาไม่พูดไม่เอาไม่พูด
วิธีการนี้น่าจะทำได้แม้ไม่ตรงกับคุณลักษณะเฉพาะของภาษาในกลุ่ม alphasyllabrary โดยเฉพาะเมื่อมาพิจารณาดูลักษณะของสระในภาษาไทยซึ่งสระหลายตัวมีความซับซ้อนโดยเฉพาะสระผสม สระลดรูป สระเปลี่ยนรูป ซึ่งทำให้เด็กมีปัญหาในการเขียนได้ ดังที่พบปัญหานี้บ่อยๆในเด็กไทยที่มีการเรียนรู้บกพร่องด้านการอ่านหรือ dyslexia ลักษณะเฉพาะของภาษาไทยอีกอย่างที่ทำให้วิธีนี้ก็น่าจะทำได้คือ ภาษาไทยเป็นภาษาที่มี shallow orthography คือคำส่วนใหญ่เห็นอย่างไรก็อ่านอย่างนั้น การสอนแบบดั้งเดิมที่เราเอาสระไว้หลังตัวอักษรเสมอทำให้ภาษาเราซับซ้อนกว่าเดิม
ความเห็นผมคือการสอนตามวิธีตามรูปน่าจะทำให้เด็กอ่านได้เท่าๆกับวิธีการดั่งเดิมทั้งเรื่องความถูกต้อง (reading accuracy) และความคล่อง (reading fluency) แต่น่าจะทำให้การเขียนทำได้เร็วขึ้นเนื่องจากสอนอ่านตรงกับรูปที่เขียนตั้งแต่แรก

2.    สอนอ่านคำที่มีวรรณยุกต์โดยอนุมานว่าพยัญชนะตัวนั้นผันได้ครบทั้ง 5 วรรณยุกต์ เท่เท่เท่
จากแบบเรียนคิดว่าเป็นแบบเรียนชั้นป.1 นะครับ ผมคิดว่าการสอนการผันวรรณยุกต์แบบนี้เป็นการสอนอีกวิธีหนึ่ง ผู้พัฒนาอาจคิดว่าเนื่องจากวรรณยุกต์ติดมากับตัวอักษรตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว (อักษรกลาง ต่ำมีเสียงสามัญติดมา อักษรสูงมีเสียงจัตวาติดมา) เด็กควรไล่เสียงวรรณยุกต์ได้ก่อนที่จะเรียนรู้เรื่องลักษณะเฉพาะของการผันวรรณยุกต์ของอักษรสูงและอักษรต่ำ ซึ่งก็ไม่น่าจะผิดอะไร คือสอนให้ผันได้ทั้งหมดก่อนแล้วจึงค่อยมาสอนหลักการและข้อยกเว้นอื่นๆภายหลัง

… แต่อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เป็นดราม่าประจำปีไปตลอด ทางออกเรื่องนี้คือต้องทำวิจัยเทียบกันดูครับ

ความเห็นของแพทย์พัฒนานาการเด็ก และนักวิจัยด้าน การอ่าน และแอลดี

Cradit: FB. Therdpong Ted Thongseiratch
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่