ถ้าคุณมีเงินสด30ล้าน ตอนนี้อายุ38 คุณจะทำอะไรต่อไปในชีวิต

ขอคำตอบจริงจังนะคะ.. เพิ่งโดนให้ออกจากงาน มีเงินสด 30ล้าน (เก็บเอง ไม่นับส่วนของพ่อแม่) ฝากกินดอกเฉยๆก็ได้ 7แสนต่อปี บ้านไม่ต้องซื้อ มีรถอยู่แล้ว มีลูก 2คน คนโต2ขวบกับคนเล็กเพิ่งเกิด... ตอนนี้คิดอยู่ว่าจะทำอะไรต่อไปดี มีทางเลือกอยู่
1) ฝากเงินในธนาคารเป็นหลักเพื่อกินดอกเบี้ย เล่นหุ้นบ้างเพื่อความท้าทาย และผลตอบแทน นอกนั้นก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกไป (ข้อเสียคือจะมีเพื่อนน้อยลงเรื่อยๆแน่ๆ) หลายครั้งที่เห็นคือพอผู้หญิงไม่ทำงาน ไม่มีสังคมแล้วสามีก็มีเมียน้อยแล้วจบลงด้วยการหย่าร้าง
2) หางานประจำอื่นทำแบบที่ไม่เครียด เข้างานเร็วออกเร็ว ไม่ทำโอที เดือนละ สองสามหมื่นเอาให้คุ้มค่ารถ มีเพื่อน ไม่เหงา ลูกก็จ้างเลี้ยงไปก่อน
3) ทำธุรกิจของตัวเอง น่าจะเหนื่อยเพราะตัวเองไม่เคยทำธุรกิจเองเลย เป็นพนักงานกินเงินเดือนมาตลอด (ทำคอนซัลท์) อยากทำเพราะน่าจะท้าทายดี อยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคมมากกว่าแค่กินนอนแล้วได้ดอกเบี้ย แต่ก็กลัวต้นหายกำไรหด ต้องเรียนรู้เรื่องคนอีกเยอะ ที่ผ่านมาไม่เคยปกครองคนเยอะๆเอง รู้แต่ทฤษฏี กลัวงานยุ่งมาก กลัวปัญหาเยอะเกินไปแล้วไม่มีเวลาให้ลูกเพียงพอ แต่ก็อยากมีธุรกิจไว้ทำเพื่อประโยชน์ทางสังคมและความภูมิใจของตนเอง(ว่าไม่ได้นอนตีพุงเฉยๆ)

โดยส่วนตัวแล้วไม่บ้าแบรนด์เนมแล้ว เราผ่านจุดที่อยากจะหาเงินเยอะๆเพื่อจะให้ได้ใช้เงินเยอะๆมาแล้ว.. เราคิดว่าสิ่งสำคัญในชีวิตเราคือการทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสังคม ทำให้เราและลูกมีความภูมิใจในตัวเอง มีself-esteemในระดับนึง มีเวลาพักผ่อน ไม่เครียดเกินไป (ที่ผ่านมาเครียดมากพอแล้ว ถึงมีเงินเก็บเยอะขนาดนี้)

เงินใช้ส่วนตัวเดือนละ 3หมื่นลูกอีก 3หมื่นก็น่าจะเหลือเฟือ สามีบอกว่าอยากทำอะไรก็ได้ตามใจเรา.. เราโตมากับครอบครัวที่อบอุ่นพอควร พ่อแม่ทำงานไม่หนักมาก มีเวลาให้ลูก ไม่ได้รวยล้นแต่อยู่สบายๆถ้าไม่ใช้แบรนด์เนม และไม่เปลี่ยนรถใหม่ทุก5ปี ตอนเด็กๆก็เคยคิดนะว่าทำไมเราไม่รวยเหมือนเพื่อนๆที่มันรวยเว่อร์ๆ อยากได้อะไรก็ซื้อได้หมด แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีที่พ่อแม่มีเวลาให้เราไม่ได้หว่านเงินอย่างเดียว

------------
ต่อนิดนึง มีคอมเม้นต์ถามว่าอยากได้เงินเดือนเยอะๆต้องทำยังไง  .. เราเป็นคนเรียนดี แต่ไม่ได้เก่งเลิศ ความสามารถพิเศษคือชอบสังเกตคนและพยายาม (ช่วงแรกของการทำงาน เราเลิกงาน 2ทุ่ม ทำงาน7โมงเช้า บางทีก็เอางานกลับมาทำต่อที่บ้าน เสาร์อาทิตย์สนุกกับงานมาก)

ตอนเรียนจบใหม่ๆ ตั้งใจไว้ว่าอยากได้เงินเดือนสูงๆ ก็พยายามถามคนรู้จักมีงานอะไรน่าสนใจบ้าง ถามว่าต้องทำอย่างไรจะได้ทำงานที่ดีๆ แนะนำตัวเองกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว (เด็กๆไม่ค่อยมีใครรังเกียจจะตอบคำถามหรอก แต่เราต้องสุภาพ และ ตั้งใจฟังจริง เอาไปคิดแล้วทำต่อด้วย) ตอน20ปีก่อนนั้นทางเลือกของเงินเดือนสูงๆก็มีอยู่แค่องค์กรนานาชาติ พวก UN หรือบริษัทฝรั่ง (เท่าที่สายเรียนเราจะทำได้)  ไม่ได้คิดว่าจะตั้งบริษัทเองเพราะอยากเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่นก่อน เรามีญาติเป็นเจ้าของบริษัทอยู่บ้างแต่ก็ไม่สนิทไปดูระบบงานแล้วรุ้ว่าเจ๊งชัวร์ (แล้วเค้าก็เจ๊งจริงๆในอีก4-5ปี) ตอนแรกสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้เพราะไม่มีประสบการณ์ และเก่งไม่พอ 555 (แต่ดันอยากได้เงินเดือนเยอะๆ) นั่งเตะฝุ่นอยู่สักพัก สุดท้ายไปสอบชิงทุนได้ทุนเรียนต่อนอก(ฟรี).. จบโทแล้วค่อยมาหางานทำอีกที แล้วเราก็ได้งานกับบริษัทฝรั่ง เราว่าบริษัทฝรั่งจะแบ่งผลประโยชน์ ให้ดีกว่าบริษัทเอเชีย แต่ก็ต้องทำใจว่าจะโดนไล่ออกได้ง่าย ตอนทำงานก็ตั้งใจเลยว่าจะเก็บเงินเยอะเยอะ  ตอนแรกเงินเดือนอยู่ที่หกหลัก ตอนก่อนโดนไล่ออกเงินเดือนและโบนัสอยู่ที่เจ็ดหลัก.. เราไม่ได้ทำงานคนเดียวแต่เราสามารถใช้ทรัพยากรที่บริษัทมีอยู่สร้างมูลค่าเพิ่มทำให้รายได้บริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ.. เราคงโชคดีด้วยที่เศรษฐกิจอำนวยพอดี และการแข่งขันในช่วงที่ผ่านมามีไม่มากนัก..

ตอนนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนไปเยอะเลย บริษัทไทยดีๆที่แบ่งผลประโยชน์ให้พนักงานเต็มที่ในรูปแบบเงินเดือน ปันผล หรือหุ้นของบริษัทก็มีเยอะ ลองคุยกับคนเยอะๆแล้วดูว่า ตัวเรามีความสามารถเด่นตรงไหนที่จะทำให้บริษัทอยากจ้างในราคาแพง  ถ้าเข้าร่วมทำงานกับบริษัทนั้นปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าเริ่มใหม่ อีกสามปี ห้าปีก็ไม่สาย อย่าลืมเพิ่มความสามารถของตัวเองให้คุ้มกับเวลาที่เสียไปด้วย... สำคัญมากๆคือ อย่าลืมเพิ่มทักษะและเลือกบริษัทหรือสายการทำงานที่จะเติบโตได้ เพราะไม่อย่างนั้นก็เหมือนเราพยายามจะขายเครื่องพิมพ์ดีดในเวลาที่ทุกคนเปลี่ยนไปใช้คอมพิวเตอร์แล้ว

เราพูด (+อ่าน เขียน) ได้สามภาษา แต่สุดท้ายแล้วการพูดที่เราว่าสำคัญที่สุดคือ...การพูดรู้เรื่อง..

สุดท้ายเงินไม่ใช่ทุกอย่าง เงินซื้อความสุขไม่ได้ แต่ต้องอย่าลืมเก็บเงินเพราะสังคมที่เราอยู่ใช้เงิน .. เราเชื่อว่าคุณค่าของคนนั้นอยู่ที่ความสุขและความมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย

โชคดีค่ะ

ปล เรามีสามีที่ไม่ดีมาก สามีเราหาเงินได้เยอะแต่ก็ใช้เยอะ ถ้าสามีเราดีมากๆพวกเราคงมีเงินเก็บกันมากกว่านี้ ..ตอนนี้ก็ได้แต่บังคับให้สามีทำงานต่อไป . (เราอยากได้สามีดีกว่านี้เหมือนกัน แต่คนรวย ฉลาด เก็บเงินเก่งแบบในฝันเค้าไม่เอาเรา 555 ... หลายคอมเม้นมาเหน็บ แต่สำหรับเราแล้วเราคงอยู่กับสามีที่ใช้เงินเปลืองหน่อยแต่มีปัญญาหาเงิน ดีกว่าแบบไม่มีปัญญาหาเงินแต่เจือกมาเกาะกิน เที่ยวผู้หญิงเนอะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
คนมีเงิน 30 ล้าน จะมาถามคนมีเงินไม่ถึงล้าน ทำไมละครับ ???
ความคิดเห็นที่ 27
เข้าใจความรู้สึกเลยครับ เนื่องจาก profile เราคล้ายๆกัน แต่ของผมคือ ผมต้องการออกจากงานเนื่องจากไม่มีเวลาให้กับครอบครัวครับ ส่วนภรรยาก็เป็นแม่บ้านเต็มตัวมาก่อนหน้าแล้วครับ ลูกของผมก็มีสองคน แต่โตกว่าเล็กน้อย สิ่งที่จะแนะนำ คือ
1. พอลูกคุณเข้าโรงเรียน คุณจะเริ่มไม่ว่างแล้วครับ คุณอาจจะขอบคุณที่เค้าให้คุณออกจากงาน และแถมเงินเลิกจ้างให้อีกครับ และอนาคตคุณจะมีเวลาให้กับครอบครัวไงครับ อันนี้ เงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้นะครับ
2. เงินที่มีอยู่ ถ้าไม่ใช่จ่ายฟุ่มเฟือย ก็เป็นเงินที่ไม่น้อยนะครับ ถ้าบ้านผ่อนหมดแล้ว ก็ยิ่งดีครับ แต่ถ้าจะต้องซื้อบ้านด้วยเงินก้อนนี้ อันนี้จะเหลือไม่มากแล้วครับ
3. รถยนต์ ยิ่งถ้าไม่ได้ทำงาน เราไม่จำเป็นต้องใช้รถให้หรูมากนักนะครับ เช่น ใช้ camry accord ถ้าไม่มีความรู้เรื่องรถ ก็เปลี่ยนทุกๆ แปดปี เพราะช่วงห้าปีแรก รถยังไม่ค่อยเสีย แต่ถ้าเกิน 10 ปี แล้วไม่มีความรู้เรื่องรถ จะวุ่นวายเรื่องซ่อมครับ เปลี่ยนเร็วกว่านั้น ก็กระทบกับเงินเก็บครับ ผมตัดความวุ่นวาย โดยเปลี่ยนทุกแปดปี ค่าเสื่อมก็ตกเดือนละหมื่นนิดๆครับ
4. ประกันสุขภาพ สำหรับผม เรื่องสุขภาพของครอบครัว มันเป็นสิ่งเดียวที่จะพรากเงินเก็บออกไปได้ คือ ถ้าครอบครัวเจ็บป่วย เรามีเงิน เราจะไม่ใช้หรือ แล้วจะไปใช้สิทธิ 30 บาท หรือ ประกันสังคม ก็รู้สึกจะไม่ได้ให้รางวัลกับครอบครัวเลย ทำให้ผมตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ (ไม่มีประกันชีวิตร่วมนะครับ เพราะผมคิดว่าเรื่องหลักประกัน เงินเราก็มีพอสมควร ส่วนเรื่องผลตอบแทน เราน่าจะหาได้ดีกว่าบริษัทประกันชีวิต เลยซื้อประกันสุขภาพเท่านั้นครับ) อันนี้ ทั้งครอบครัว ตกประมาณ ปีละ สามแสนบาท (เบี้ยทิ้งนะครับ) รายละเอียดดูในกระทู้แนะนำของแม่มณีได้ครับ ซึ่งมันคลอบคลุมเกือบจะ 100% เหลืออย่างเดียว คือ ประกันไม่ยอมจ่าย อันนี้ ไม่จ่ายคงฟ้องแน่ครับ
5. เงินผมนำไปลงทุนครับ ถ้า 30 ล้าน ตั้งเป้าหาได้เฉลี่ย 7%  เราจะมีเงิน ปีละ 2.1 ล้านบาท หรือเทียบเท่ากับ 175,000 บาทต่อเดือน และเมื่อลบกับค่าใช้จ่ายด้านบนแล้ว คุณจะยังมีเงินเหลืออยู่ครับ (พอดีในช่วง 5ปีที่ผ่านมา ทำได้เฉลี่ยสูงกว่านั้นเยอะครับ แต่พอดีอันนี้มันเป็นระยะยาว ถ้าตั้งเป้าสูงมาก จะทำได้ค่อนข้างยากครับ)
6. เงินที่เหลือ ผมก็ไปใช้สอยตามอัธยาศัยครับ เช่น ท่องเที่ยว ทำบุญ เป็นต้นครับ โดยเฉพาะท่องเที่ยว ยิ่งคุณไม่ได้ทำงานประจำ คุณสามารถหาโปรโมชั่น ที่ราคาไม่แพงมากนักได้ง่ายกว่าคนอื่นครับ โดยผมพาครอบครัวไปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ได้ ปีละ 3-4 ครั้งเลยครับ เดี๋ยวนี้วันๆ นอกจากหุ้น กับข่าวตลาดหลักทรัพย์ ผมดูแต่เรื่องโปรโมชั่นท่องเที่ยวเลยครับ
7. สุดท้าย เมื่อมีเวลาแล้ว ดูแลสุขภาพตัวเองครับ จะได้อยู่กับครอบครัวนานๆครับ

ป.ล. ช่วงแรกอาจงงๆหน่อยครับกับชีวิตที่ไม่ได้ทำงาน เพราะอาชีพเราคล้ายกันอีก ปกติจะยุ่งจนเวลาพักผ่อนยังไม่ค่อยมีเลยครับ พอไม่ทำงาน เวลามีเยอะมากขึ้นครับ พยายามควบคุมค่าใช้จ่าย แต่อย่าถึงขนาดเบียดเบียนตัวเองนะครับ
ความคิดเห็นที่ 34
5 ล้าน : หุ้นกู้   ระดับ A ขึ้นไป    ผลตอบแทน 4% --> ประมาณ 2 แสนต่อปี
10 ล้าน : กองทุนรวมอสังหา+REIT+Infrastructure Fund (เน้น Freehold ก็จะดี)  ปันผล 6% --> ประมาณ 6 แสนต่อปี
5 ล้าน : หุ้นเติบโต หุ้นบลูชิป หรือ กองทุนรวมหุ้น     ปันผล 3% --> ประมาณ 1.5 แสนต่อปี
5 ล้าน : หุ้นปันผลสูง 5-8 ตัว    ปันผล 5% --> ประมาณ 2.5 แสนต่อปี
เครดิตภาษีคืนกรณีไม่ทำงานประจำเลย (พอร์ตหุ้นประมาณ 10 ล้าน) --> ประมาณ 1-2 แสนต่อปี
5 ล้าน : ฝากประจำ ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันภัยต่างๆ เงินสดสำรองฉุกเฉิน

แค่นี้ก็จะมีรายรับต่อปีประมาณ 1.3-1.4 ล้าน  เฉลี่ยเดือนละประมาณ 1 แสน
อยู่แบบไม่หรูหรา ก็น่าจะสบายตัวแล้ว  แถมน่าจะยังมีเงินเก็บในแต่ละเดือนเพิ่มขึ้นด้วย
แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำงานที่ชอบแทน  
ผมบริหารทรัพย์สินให้พ่ออยู่  ก็วางเงินลงทุนคล้ายๆแบบนี้ แต่เน้นไปที่หุ้นมากกว่าที่บอกหน่อย
ส่วนพ่อก็ไปเป็นจิตอาสาที่โรงพยาบาล แล้วก็กิน+เที่ยวกับเพื่อนๆแทน

เครดิต: คุณตัวบรรจงเต็มบรรทัด
ความคิดเห็นที่ 70
อย่าลืมปลดหนี้บัตรให้สามีก่อนนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่