ทำอย่างไรโครงการมีลูกเพื่อชาติจึงจะประสบความสำเร็จ?

กระทู้คำถาม
รัฐควรมีสวัสดิการอะไรเพิ่มบ้าง
มีประเทศไหนทำสำเร็จบ้าง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ผมคิดว่า ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ ถ้าได้ปริมาณแบบเด็ก ม.4 (คดีลุงวิศวะ) อย่ามีเลยน่าจะดีกว่าครับ

พูดถึงประเด็นคุณภาพ ควรสนับสนุนการมีลูกในกลุ่มพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูง มีไอคิวสูง หรือหน้าที่การงานดีครับ

แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่กลุ่มนี้ ส่วนมากจะมีหน้าที่การงานดี จึงไม่มีเวลาดูแลลูก ส่วนใหญ่มี 1-2 คน บางรายพาลเป็นโสดตลอดชีวิตไปซะงั้น

เท่าที่ผมพอจะนึก ถึงสวัสดิการที่รัฐควรจัดให้

1 พ่อแม่เหล่านี้ควรจะสามารถพาลูกเล็กไปทำงานได้ โดยที่ทำงานควรจัดให้มี Day care nursery และพ่อหรือแม่จะสามารถปลีกตัวยามว่างมาดูแลลูกน้อยได้

2 ค่าเรียน (แป๊ะเจี๊ยะ) และค่ารักษาพยาบาลที่สูงมาก รัฐควรสนับสนุนเรียนฟรี รักษาฟรี สำหรับคู่สมรสที่มีลูกคนที่ 3 เป็นต้นไป

3 เพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมและเพียงพอ

เท่าที่ทราบ สิงคโปร์ทำมาหลายปี โดยการแจกเงินสดให้พ่อแม่ทันทีที่มีลูก และให้มากขึ้นถ้ามีคนที่ 3 หรือมากกว่านั้น (เทียบเป็นเงินไทยก็หลายแสนบาท)
ความคิดเห็นที่ 4
ไทยเรามีแม่วัยใส เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน ในอัตราส่วนที่สูงถึง 54 คนต่อ 1 แสนประชากรวัยรุ่น ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลก (ฮู) กำหนดไว้มาก โดยต้องไม่เกิน 15 คนต่อ 1 แสนประชากรวัยรุ่น (สำรวจปี 2556)

น่าจะต้องทำโครงการ อย่ารีบมีลูกเพื่อชาติ น่าจะเหมาะสมกว่าครับ
ความคิดเห็นที่ 41
ต้องสนับสนุนให้คนที่พร้อมมีลูก และหยุดคนที่ไม่พร้อมไม่ให้มีลูกเร็ว+เยอะ

คนที่ดูแล้วค่อนข้างพร้อม เช่นการศึกษาดี รายได้ดี พื้นฐานครอบครัวดี ต้องมุ่งไปที่กลุ่มนี้ อาจจะมีการสัมภาษณ์เหมือนขอทุนเรียน

ถ้าดูแล้วใช้ได้ก็ให้ทุนเลย เรียนฟรีอะไรก็ว่าไป กระตุ้นให้รีบมีลูก ไม่ต้องรอมีเงิน 10 ล้านก่อนแล้วไปนั่งทำกิฟท์แล้วก็ไม่ติดสักที

คนที่หน้าที่การงานดี เงินเดือนรวมกันเกินแสน ที่อยากมีลูกแล้วมียากมีอยู่มากมาย หลายคนยอมจ่ายเป็นล้าน บ้างก็บินไปขอพรที่ฮ่องกง จีน เพื่อให้มีลูก รัฐต้องเข้าหาพวกนี้ ให้ทุนเลย เขาจะได้มีลูกเร็วกว่านี้ตอนร่างกายยังพร้อม

ไม่ต้องไปหว่านแห

ส่วนพวกสก๊อยก็ยิงยาสลบแล้วทำหมัน เหมือนเทศกิจทำหมันหมาอ่ะ แค่นั้น
ความคิดเห็นที่ 56
ต้องจูงใจชนชั้นกลางค่ะ พวกที่ผลิตลูกไม่มีคุณภาพนี้ต้องหาทางยับยั้งด้วยซ้ำ

ส่วนการจูงใจ เท่าที่คิดได้น่าจะประมาณนี้

1. ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์เพื่อการมีบุตร (ฝากไข่, iui, icsi, ค่าทำคลอด ฯลฯ) ควรนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจริง

2. หักลดหย่อนภาษีในการเลี้ยงดูบุตร ควรเพิ่มจาก ปีละ 17,000 บาทต่อบุตร 1 คน เป็นปีละ 50,000 บาทต่อบุตร 1 คน
- ค่าเล่าเรียนบุตร สามารถหัดลดหย่อนได้ตามจริงสำหรับ รร. รัฐ, หักลดหย่อนได้ 50% (ก็ยังดี) สำหรับ รร. เอกชน
- ค่าประกันสุขภาพบุตร สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ตามจริงเท่ากับเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายในแต่ละปี

3. บิดา หรือ มารดา คนใดคนหนึ่ง สามารถลางานเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้เป็นระยะเวลา 3 ปี ระหว่างนี้บริษัทไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือนให้ แต่ให้บริษัทต้องรับพนักงานกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมเมื่อครบกำหนด 3 ปี

ประมาณนี้ค่ะ น่าจะจูงใจชนชั้นกลางวัยทำงาน ที่ฐานะพร้อมมีบุตรได้ เพราะพวกนี้แต่ละปีจ่ายภาษีบาน ต้องไปซื้อ ltf, rmf กันทีละหลายๆแสน และมักจะติดปัญหาเรื่องมีลูกแล้วไม่มีคนเลี้ยง ซึ่งถ้าทำให้พ่อแม่คุณภาพสูงเหล่านี้มีเวลาเลี้ยงลูกเองได้ จะสร้างเด็กที่มีคุณภาพมากๆให้ประเทศได้เยอะเลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่