รับน้องข้ามฟาก เรื่องจริงที่ถูกมองข้าม ? ตอนที่1
(เรื่องนี้ จะทำให้มุมมองรับน้องข้ามฟากของคุณ เปลี่ยนไป)
พี่ชายผมได้ถามถึงเรื่องการ “รับน้องข้ามฟาก” ของศิริราช ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลย พี่ผมเรียนคนละที่กับผมครับ ส่วนมากก็คุยกันเรื่องอื่นๆ
และหลังจากที่ผมคุยกับพี่ชายผมเรื่องนี้ ผมก็ได้มองเรื่องรับน้องข้ามฟากเปลี่ยนไป.
พี่ : น้องเอ็มทราบที่มาของรับน้องข้ามฝากไหมครับ ?
ผม : มาจากนอกโลกครับพี่ อาจจะมาจากดาวอังคารก็ได้ครับ
พี่ : เดี๋ยวกูกระโดดถีบเลย แหม่ นี่ถามดีๆ
ผม : คร้าบ ถ้าจากประวัติครั้งแรกของที่มานะครับ พี่อ่านจากเอกสารฉบับนี้ได้เลยครับ ตรงสองย่อหน้าแรก
ผมหยิบเอกสารที่กล่าวถึงที่มาของการรับน้องข้ามฟากให้พี่อ่าน ในเอกสารนั้นกล่าวไว้ว่า
( ในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะวิทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้มีเหตุการณ์ที่ไม่งามเกิดขึ้น คือ แบ็คฝีเท้าเยี่ยมของคณะแพทย์ฯ ได้ถูกผู้เล่นในทีมตรงข้ามวิ่งเข้าต่อยเอาอย่างดื้อๆ เป็นการกระทำซึ่งทางสโมสรสาขาศิริราชสืบทราบว่าได้มีการตระเตรียมวางแผนการไว้ก่อนแล้วจึงได้ส่งหลักฐานฟ้องร้องไปทางสโมสรกลาง เรียกร้องอย่างแข็งขันให้จัดการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้น ได้มีการพิจารณาและไต่สวนกันหลายครั้ง นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ประจำปี แต่ในที่สุดบรรยเวกษ์ ก็ได้อะลุ่มอล่วยให้เลิกแล้วกันไป นิสสิตแพทย์ส่วนมากไม่พอใจในการตัดสินนั้น เพราะรู้สึกว่าตัวถูกเหยียดหยาม และข้อที่ทำให้เดือดแค้นยิ่งขึ้นกว่าธรรมดาก็คือ ผู้ที่ลงมือต่อยนั้นเป็นนิสสิตเตรียมแพทย์ซึ่งในปีต่อไปก็จะต้องข้ามฟากมาเรียนที่ศิริราชนี่เอง ได้มีเสียงหมายมั่นจะแก้มือด้วยประการต่างๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องรู้ไปถึงหูพวกที่เป็นต้นเหตุนั้น แต่ครั้นใกล้เวลาที่พวกใหม่จะต้องมาเรียนที่ศิริราช คณะกรรมการสโมสรสาขาศิริราชก็ได้คิดเห็นกันว่า หากจะแก้แค้นดังที่คิดๆ กันไว้นั้นจะได้ผลร้ายมากกว่าดี เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะ เป็นการทำลายความสามัคคี ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกแพทย์เทอดทูนยิ่งกว่าใดๆ ดังนั้นชาวศิริราชจึงได้ตกลงเลือกทางกุศล เอาความดีเข้าหักความไม่ดี และปฤกษากันตกลงที่จะทำความประหลาดใจอย่างยิ่งยวดให้แก่พวกใหม่ซึ่งกำลังกระสับกระส่ายด้วยความร้อนตัว คือ แทนที่จะเกณฑ์ให้ลงกราบขอขมาเรื่อยเข้ามาตั้งแต่ท่าโป๊ะแล้วจับตัวโยนลงน้ำ กลับจะจัดการเลี้ยงต้อนรับเป็นการแสดงการให้อภัยและเชื่อมความสามัคคีไปด้วยพร้อมกัน นั่นคือต้นเหตุดั้งเดิมของงานต้อนรับนิสสิตใหม่ ซึ่งเท่าที่ทราบดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ไม่ต้องสงสัยว่า การปฏิบัตินั้นได้ผลดีอย่างยิ่งยวด และดีกว่าการแก้แค้นซึ่งได้คิดกันไว้แต่เดิมอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ การต้อนรับนั้นไม่เพียงแต่ป้องกันความร้าวฉานในหมู่ชาวศิริราชเท่านั้น แต่ได้ทำให้พวกใหม่ซึ่งกระด้างกระเดื่องอยู่แต่เดิมนั้น ต้องยอมรับนับถือในความเป็นผู้ใหญ่ สามารถระงับโกรธและให้อภัยแก่ความผิดอย่างเด็กๆ ที่ไร้สติเสียได้ เป็นความปลาบปลื้มใจของผู้จัดงานครั้งนั้นที่ได้เห็นพิธียกโทษกลายมาเป็นประเพณีประจำคณะแพทยศาสตร์ และได้ขยายวงกว้างออกไปยังหมู่อื่นๆ อีกด้วย เป็นประเพณีซึ่งควรจะรักษาไว้ โดยหลักการที่ช่วยส่งเสริมความสามัคคีและความสนิทสนมในระหว่างนิสสิตใหม่กับนิสสิตเดิม)
และเมื่อพี่อ่านจบ ผมก็ได้เล่าพร้อมกับเปิดรูปพร้อมกับคลิปต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานไปว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงานนั้น มีรายละเอียดอะไรต่างๆยังไงบ้าง เช่น เรื่องการปฏิญาณตน การอบรมย่อย การอบรมใหญ่(ประมาณ10ชั่วโมง) การโดนห้ามเข้าห้องน้ำระหว่างนั่งฟังการอบรม การที่มีพี่ๆมายืนตามระเบียบพักในห้องประชุม การHail งานเลี้ยง ประเพณีให้ของแลกของ หรือแม้แต่ที่มีรุ่นพี่บางคนเพิ่งออกจากเวรเพื่อมาเฝ้าน้องในห้องประชุม ฯลฯ ซึ่งผมกับพี่ ก็ไม่ได้มีความลับอะไรกันในเรื่องกิจกรรมพวกนี้อยู่แล้วครับ
ลืมบอกไปครับ พี่ชายผมคนนี้ มองโลกไม่ค่อยจะเหมือนใคร ซึ่งถ้าอยากจะทราบว่าพี่ผมมองโลกไม่ค่อยเหมือนใครว่า พี่แกมองยังไงเนี่ย ลองดูจากที่แกถามผมหลังจากผมเล่าเรื่องประเพณีรับน้องข้ามฟากให้แกฟังก็ได้ครับ ผมบอกเลยว่า ผมเองก็มองข้ามเรื่องนี้เหมือนกัน
พี่ : นี่เอ็ม พี่มีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับงานรับน้องข้ามฟากเยอะแยะเลยเอ็ม.
ผม : ครับพี่ ว่ามาครับ.
พี่ : ถ้าพระเจ้าสร้างโลกนี้ แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทำให้ลิเวอร์พูลจะได้แชมป์พรีเมียร์วะ ?
ผม : พี่ๆๆๆ มันคนละเรื่องมั้ยเนี่ย ?
พี่ : พี่ก็ว่างั้น ในเมื่อรับน้องข้ามฟากครั้งแรก จัดมาเพราะว่า อาจจะมีนักศึกษารุ่นกับรุ่นพี่ยกพวกตีกัน ทางศิริราชก็เลยจัดงานรับน้องข้ามฟากขึ้นมาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ตีกันเกิดขึ้น แล้วทุกๆปีหลังจากนั้น มีนักศึกษาศิริราชจะยกพวกตีกันอีกเหรอ ถึงได้จัดงานมาทุกๆปีจนถึงทุกวันนี้ ?
ผม : ถ้าตอนโน้นนนนอ่ะ หลังช่วงปีพ.ศ.2474 ผมยังไม่เกิดไงพี่ ผมไม่รู้ แต่หลังจากงานครั้งแรก ก็ไม่มีประวัติว่าในครั้งต่อๆมาก่อนที่จะจัดงานว่ามีนักศึกษาตีกันอีกแล้วนะ แต่ถ้าดูจากปัจจุบันที่ผมเรียนอยู่จนจบ ก็ไม่มีเรื่องที่แบบนักศึกษาจะยกพวกตีกันเลยนะพี่.
พี่ : อ้าว ในเมื่อเหตุที่จัดรับน้องข้ามฟากในปีพ.ศ.2474 ก็เพื่อยุติความเหตุการณ์รุนแรง แล้วทุกๆวันนี้ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีนักศึกษาแพทย์ยกพวกมาตีกัน แล้วทำไมยังต้องจัดรับน้องข้ามฟากอีกเนี่ย ?
ผม : นั่นสิพี่.
พี่ : แบบนี้จะเรียกว่าประเพณีรับน้องข้ามฟากทุกวันนี้ เป็นประเพณีงมงายได้มั้ยครับ ?
ผม : ก็ดูงมงายนะพี่ แต่พี่ๆบางคนก็บอกว่า งานก็จัดเพื่อให้น้องกับพี่ได้เจอกัน ได้คุยกันนะ.
พี่ : คืออยู่กันปกติ ไม่ต้องไปข้ามฝากนี่มันคุยกันไม่ได้ มันรู้จักกันไม่ได้เหรอเอ็ม ยุคนี้เฟซบุ๊คก็มี ไลน์ก็มี อินเตอร์เน็ตก็มี ทำไมต้องไปนั่งข้ามเรือให้มันวุ่นวายด้วย ทำไมรุ่นพี่พวกนั้นอ้างเหตุผลยังกับคนอยู่ยุคสื่อการกันด้วยนกพิราบ นานๆได้เจอกันทีอะไรแบบนี้ ?
ผม : เออ ก็จริงพี่.
พี่ : แล้วที่ไปปฏิญาณต่อสมเด็จพระบิดา ที่บอกว่า “ข้าพเจ้า จะประพฤติตนเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ดี” “ข้าพเจ้า จะไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มีความเอ็นดูเป็นเบื้องหน้า บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นซึ่งประสพทุกข์ ไม่สามารถนิ่งดูดายได้เพราะกรุณา” “ข้าพเจ้า จะละการทำชั่วร้าย และจะตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษทุกเมื่อ” ถามจริง มีใครทำตามปฏิญาณได้บ้างเนี่ย ?
ผม : ก็ไม่รู้สิพี่ ในแต่ละปีที่ผมเจอมาตอนเรียนอยู่ ก็เห็นก็มีทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง มีเห็นแก่ตัว มีชิงดีชิงเด่น มีนินทาใส่ร้ายกันอยู่เลยพี่ ไม่ต่างจากตอนเรียนมัธยมเลยพี่.
พี่ : แล้วคำนี้ “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” เอ็มคุ้นๆไหมครับ ?
ผม : คุ้นมากเลยพี่ แต่ผมเองไม่กล้าพูดนะ เพราะผมทำไม่ได้อ่ะพี่ แต่เพื่อนๆพี่ๆหลายๆคนนี่ ชอบคำนี้มากๆเลยครับ บางคนนี่เอาไปโพสหน้าเฟซกันก็มี.
พี่ : แล้วไอประเพณีให้ของแลกของกันในพี่น้องสายรหัส แลกกับเพื่อนอะไรแบบนี้ คือของที่ให้กันอ่ะ มันเป็นของที่ถ้าไม่มีแล้วตายไหมครับ ?
ผม : ก็เป็นของที่ไม่มีก็ไม่ตายนะพี่ แต่ก็ให้กันแบบเพื่อแสดงความห่วงใยในน้อง ในเพื่อน ให้กันแบบขำๆไรแบบนี้ไงพี่.
พี่ : แล้วเอ็มได้ของมาเยอะมั้ยตอนนั้น ?
ผม : เยอะอยู่พี่ แล้วตอนที่ผมให้น้อง ผมก็จ่ายไปหลายตังค์อยู่พี่ ทำไมพี่ถามว่าของขวัญพวกนี้เป็นของที่ไม่มีแล้วตายไหมครับ ?
พี่ : ของที่ไม่มีแล้วไม่ตาย มันเป็นของที่จำเป็นหรือเกินจำเป็นครับ ?
ผม : ก็เกินจำเป็นนะพี่.
พี่ : แล้วที่ปฎิญาณกันว่า “ข้าพเจ้า จะไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มีความเอ็นดูเป็นเบื้องหน้า บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นซึ่งประสพทุกข์ ไม่สามารถนิ่งดูดายได้เพราะกรุณา” หรือแบบที่ชอบพูดชอบโพสกันว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” เพื่ออะไรกัน ?
ผม : นั่นสิพี่.
พี่ : ทำไมไม่เอาเงินที่จะซื้อของเหล่านั้นไปช่วยเหลือคนยากไร้ ไปช่วยผู้ป่วยอนาถาในโรงพยาบาลศิริราชกันบ้างครับ ?
ผม : ใช่พี่.
พี่ : แล้วที่เห่าๆกันว่าจะถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สองนี่คือไร พูดให้สนุกปาก โพสให้ดูเป็นคนดีเหรอเอ็ม ?
ผม : เฮ้ยพี่ ผมก็คิดแบบพี่นะ แต่ผมไม่กล้าบอกคนในคณะอ่ะพี่.
พี่ : ตอนปฏิญาณ ก็พูดกันยังกับตัวเองจะเป็นคนดี คนดีประเภทไหนที่พูดในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้เลยวะเอ็ม ?
ผม : นั่นสิพี่.
พี่ : ชอบพูดกันว่า “จะเป็นคนเห็นประโยชน์คนอื่นก่อนประโยชน์ตัวเอง” แต่การกระทำนี่คือแบบ “เห็นประโยชน์และการสนองกิเลสตัณหาตัวเองเป็นที่หนึ่ง” แบบนี้ให้เรียกว่า “ตอ***” ได้มั้ยเอ็ม ?
ผม : ได้นะพี่.
พี่ : แล้วที่บอกว่า “ข้าพเจ้า จะละการทำชั่วร้าย” เนี่ย ถามจริง ไม่รู้เหรอว่า การตอ*** ความเห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่นอ่ะ เป็นเรื่องชั่วร้าย ?
ผม : เออหวะพี่.
พี่ : ที่ปฏิญาณว่า “ตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษทุกเมื่อ” เอ็มรู้มั้ยว่า คำว่าสัตบุรุษคืออะไร ?
ผม : คนดีมั้งครับ ?
พี่ : ไปเปิดพระไตรปิฎกดูสิครับ แต่ไม่ต้องเปิดตอนนี้หรอก เพราะแค่เรื่องเห็นแก่ตัว เรื่องชิงดีชิงเด่น เรื่องตอ*** ถ้ายังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องโคตรชั่ว จะเอาปัญญาอะไรไปตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษได้วะเอ็ม ?
ผม : ใช่พี่.
นี่แหละครับ ความมองโลกไม่เหมือนคนอื่นของพี่ชายผม
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆเริ่มเห็นเรื่องที่โดนมองข้ามกันยังครับ ?
มีตอนต่อไปครับ
หมายเหตุ คำว่า ตอ*** มีความหมายว่า การโกหก
บทสนทนาฉบับเต็มระหว่างผมกับพี่ ติดต่อได้ที่หลังไมค์ครับ
รับน้องข้ามฟาก เรื่องจริงที่ถูกมองข้าม ? ตอนที่1 (เรื่องนี้ จะทำให้มุมมองรับน้องข้ามฟากของคุณ เปลี่ยนไป)
(เรื่องนี้ จะทำให้มุมมองรับน้องข้ามฟากของคุณ เปลี่ยนไป)
พี่ชายผมได้ถามถึงเรื่องการ “รับน้องข้ามฟาก” ของศิริราช ซึ่งที่ผ่านมา เราไม่เคยคุยเรื่องนี้กันเลย พี่ผมเรียนคนละที่กับผมครับ ส่วนมากก็คุยกันเรื่องอื่นๆ
และหลังจากที่ผมคุยกับพี่ชายผมเรื่องนี้ ผมก็ได้มองเรื่องรับน้องข้ามฟากเปลี่ยนไป.
พี่ : น้องเอ็มทราบที่มาของรับน้องข้ามฝากไหมครับ ?
ผม : มาจากนอกโลกครับพี่ อาจจะมาจากดาวอังคารก็ได้ครับ
พี่ : เดี๋ยวกูกระโดดถีบเลย แหม่ นี่ถามดีๆ
ผม : คร้าบ ถ้าจากประวัติครั้งแรกของที่มานะครับ พี่อ่านจากเอกสารฉบับนี้ได้เลยครับ ตรงสองย่อหน้าแรก
ผมหยิบเอกสารที่กล่าวถึงที่มาของการรับน้องข้ามฟากให้พี่อ่าน ในเอกสารนั้นกล่าวไว้ว่า
( ในการแข่งขันกีฬาฟุตบอลระหว่างคณะแพทยศาสตร์กับคณะวิทยาศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ได้มีเหตุการณ์ที่ไม่งามเกิดขึ้น คือ แบ็คฝีเท้าเยี่ยมของคณะแพทย์ฯ ได้ถูกผู้เล่นในทีมตรงข้ามวิ่งเข้าต่อยเอาอย่างดื้อๆ เป็นการกระทำซึ่งทางสโมสรสาขาศิริราชสืบทราบว่าได้มีการตระเตรียมวางแผนการไว้ก่อนแล้วจึงได้ส่งหลักฐานฟ้องร้องไปทางสโมสรกลาง เรียกร้องอย่างแข็งขันให้จัดการลงโทษแก่ผู้กระทำผิดนั้น ได้มีการพิจารณาและไต่สวนกันหลายครั้ง นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ประจำปี แต่ในที่สุดบรรยเวกษ์ ก็ได้อะลุ่มอล่วยให้เลิกแล้วกันไป นิสสิตแพทย์ส่วนมากไม่พอใจในการตัดสินนั้น เพราะรู้สึกว่าตัวถูกเหยียดหยาม และข้อที่ทำให้เดือดแค้นยิ่งขึ้นกว่าธรรมดาก็คือ ผู้ที่ลงมือต่อยนั้นเป็นนิสสิตเตรียมแพทย์ซึ่งในปีต่อไปก็จะต้องข้ามฟากมาเรียนที่ศิริราชนี่เอง ได้มีเสียงหมายมั่นจะแก้มือด้วยประการต่างๆ ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าจะต้องรู้ไปถึงหูพวกที่เป็นต้นเหตุนั้น แต่ครั้นใกล้เวลาที่พวกใหม่จะต้องมาเรียนที่ศิริราช คณะกรรมการสโมสรสาขาศิริราชก็ได้คิดเห็นกันว่า หากจะแก้แค้นดังที่คิดๆ กันไว้นั้นจะได้ผลร้ายมากกว่าดี เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะ เป็นการทำลายความสามัคคี ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกแพทย์เทอดทูนยิ่งกว่าใดๆ ดังนั้นชาวศิริราชจึงได้ตกลงเลือกทางกุศล เอาความดีเข้าหักความไม่ดี และปฤกษากันตกลงที่จะทำความประหลาดใจอย่างยิ่งยวดให้แก่พวกใหม่ซึ่งกำลังกระสับกระส่ายด้วยความร้อนตัว คือ แทนที่จะเกณฑ์ให้ลงกราบขอขมาเรื่อยเข้ามาตั้งแต่ท่าโป๊ะแล้วจับตัวโยนลงน้ำ กลับจะจัดการเลี้ยงต้อนรับเป็นการแสดงการให้อภัยและเชื่อมความสามัคคีไปด้วยพร้อมกัน นั่นคือต้นเหตุดั้งเดิมของงานต้อนรับนิสสิตใหม่ ซึ่งเท่าที่ทราบดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ไม่ต้องสงสัยว่า การปฏิบัตินั้นได้ผลดีอย่างยิ่งยวด และดีกว่าการแก้แค้นซึ่งได้คิดกันไว้แต่เดิมอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้ การต้อนรับนั้นไม่เพียงแต่ป้องกันความร้าวฉานในหมู่ชาวศิริราชเท่านั้น แต่ได้ทำให้พวกใหม่ซึ่งกระด้างกระเดื่องอยู่แต่เดิมนั้น ต้องยอมรับนับถือในความเป็นผู้ใหญ่ สามารถระงับโกรธและให้อภัยแก่ความผิดอย่างเด็กๆ ที่ไร้สติเสียได้ เป็นความปลาบปลื้มใจของผู้จัดงานครั้งนั้นที่ได้เห็นพิธียกโทษกลายมาเป็นประเพณีประจำคณะแพทยศาสตร์ และได้ขยายวงกว้างออกไปยังหมู่อื่นๆ อีกด้วย เป็นประเพณีซึ่งควรจะรักษาไว้ โดยหลักการที่ช่วยส่งเสริมความสามัคคีและความสนิทสนมในระหว่างนิสสิตใหม่กับนิสสิตเดิม)
และเมื่อพี่อ่านจบ ผมก็ได้เล่าพร้อมกับเปิดรูปพร้อมกับคลิปต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานไปว่า ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงานนั้น มีรายละเอียดอะไรต่างๆยังไงบ้าง เช่น เรื่องการปฏิญาณตน การอบรมย่อย การอบรมใหญ่(ประมาณ10ชั่วโมง) การโดนห้ามเข้าห้องน้ำระหว่างนั่งฟังการอบรม การที่มีพี่ๆมายืนตามระเบียบพักในห้องประชุม การHail งานเลี้ยง ประเพณีให้ของแลกของ หรือแม้แต่ที่มีรุ่นพี่บางคนเพิ่งออกจากเวรเพื่อมาเฝ้าน้องในห้องประชุม ฯลฯ ซึ่งผมกับพี่ ก็ไม่ได้มีความลับอะไรกันในเรื่องกิจกรรมพวกนี้อยู่แล้วครับ
ลืมบอกไปครับ พี่ชายผมคนนี้ มองโลกไม่ค่อยจะเหมือนใคร ซึ่งถ้าอยากจะทราบว่าพี่ผมมองโลกไม่ค่อยเหมือนใครว่า พี่แกมองยังไงเนี่ย ลองดูจากที่แกถามผมหลังจากผมเล่าเรื่องประเพณีรับน้องข้ามฟากให้แกฟังก็ได้ครับ ผมบอกเลยว่า ผมเองก็มองข้ามเรื่องนี้เหมือนกัน
พี่ : นี่เอ็ม พี่มีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับงานรับน้องข้ามฟากเยอะแยะเลยเอ็ม.
ผม : ครับพี่ ว่ามาครับ.
พี่ : ถ้าพระเจ้าสร้างโลกนี้ แล้วทำไมพระเจ้าไม่ทำให้ลิเวอร์พูลจะได้แชมป์พรีเมียร์วะ ?
ผม : พี่ๆๆๆ มันคนละเรื่องมั้ยเนี่ย ?
พี่ : พี่ก็ว่างั้น ในเมื่อรับน้องข้ามฟากครั้งแรก จัดมาเพราะว่า อาจจะมีนักศึกษารุ่นกับรุ่นพี่ยกพวกตีกัน ทางศิริราชก็เลยจัดงานรับน้องข้ามฟากขึ้นมาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ตีกันเกิดขึ้น แล้วทุกๆปีหลังจากนั้น มีนักศึกษาศิริราชจะยกพวกตีกันอีกเหรอ ถึงได้จัดงานมาทุกๆปีจนถึงทุกวันนี้ ?
ผม : ถ้าตอนโน้นนนนอ่ะ หลังช่วงปีพ.ศ.2474 ผมยังไม่เกิดไงพี่ ผมไม่รู้ แต่หลังจากงานครั้งแรก ก็ไม่มีประวัติว่าในครั้งต่อๆมาก่อนที่จะจัดงานว่ามีนักศึกษาตีกันอีกแล้วนะ แต่ถ้าดูจากปัจจุบันที่ผมเรียนอยู่จนจบ ก็ไม่มีเรื่องที่แบบนักศึกษาจะยกพวกตีกันเลยนะพี่.
พี่ : อ้าว ในเมื่อเหตุที่จัดรับน้องข้ามฟากในปีพ.ศ.2474 ก็เพื่อยุติความเหตุการณ์รุนแรง แล้วทุกๆวันนี้ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีนักศึกษาแพทย์ยกพวกมาตีกัน แล้วทำไมยังต้องจัดรับน้องข้ามฟากอีกเนี่ย ?
ผม : นั่นสิพี่.
พี่ : แบบนี้จะเรียกว่าประเพณีรับน้องข้ามฟากทุกวันนี้ เป็นประเพณีงมงายได้มั้ยครับ ?
ผม : ก็ดูงมงายนะพี่ แต่พี่ๆบางคนก็บอกว่า งานก็จัดเพื่อให้น้องกับพี่ได้เจอกัน ได้คุยกันนะ.
พี่ : คืออยู่กันปกติ ไม่ต้องไปข้ามฝากนี่มันคุยกันไม่ได้ มันรู้จักกันไม่ได้เหรอเอ็ม ยุคนี้เฟซบุ๊คก็มี ไลน์ก็มี อินเตอร์เน็ตก็มี ทำไมต้องไปนั่งข้ามเรือให้มันวุ่นวายด้วย ทำไมรุ่นพี่พวกนั้นอ้างเหตุผลยังกับคนอยู่ยุคสื่อการกันด้วยนกพิราบ นานๆได้เจอกันทีอะไรแบบนี้ ?
ผม : เออ ก็จริงพี่.
พี่ : แล้วที่ไปปฏิญาณต่อสมเด็จพระบิดา ที่บอกว่า “ข้าพเจ้า จะประพฤติตนเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ดี” “ข้าพเจ้า จะไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มีความเอ็นดูเป็นเบื้องหน้า บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นซึ่งประสพทุกข์ ไม่สามารถนิ่งดูดายได้เพราะกรุณา” “ข้าพเจ้า จะละการทำชั่วร้าย และจะตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษทุกเมื่อ” ถามจริง มีใครทำตามปฏิญาณได้บ้างเนี่ย ?
ผม : ก็ไม่รู้สิพี่ ในแต่ละปีที่ผมเจอมาตอนเรียนอยู่ ก็เห็นก็มีทะเลาะกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง มีเห็นแก่ตัว มีชิงดีชิงเด่น มีนินทาใส่ร้ายกันอยู่เลยพี่ ไม่ต่างจากตอนเรียนมัธยมเลยพี่.
พี่ : แล้วคำนี้ “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” เอ็มคุ้นๆไหมครับ ?
ผม : คุ้นมากเลยพี่ แต่ผมเองไม่กล้าพูดนะ เพราะผมทำไม่ได้อ่ะพี่ แต่เพื่อนๆพี่ๆหลายๆคนนี่ ชอบคำนี้มากๆเลยครับ บางคนนี่เอาไปโพสหน้าเฟซกันก็มี.
พี่ : แล้วไอประเพณีให้ของแลกของกันในพี่น้องสายรหัส แลกกับเพื่อนอะไรแบบนี้ คือของที่ให้กันอ่ะ มันเป็นของที่ถ้าไม่มีแล้วตายไหมครับ ?
ผม : ก็เป็นของที่ไม่มีก็ไม่ตายนะพี่ แต่ก็ให้กันแบบเพื่อแสดงความห่วงใยในน้อง ในเพื่อน ให้กันแบบขำๆไรแบบนี้ไงพี่.
พี่ : แล้วเอ็มได้ของมาเยอะมั้ยตอนนั้น ?
ผม : เยอะอยู่พี่ แล้วตอนที่ผมให้น้อง ผมก็จ่ายไปหลายตังค์อยู่พี่ ทำไมพี่ถามว่าของขวัญพวกนี้เป็นของที่ไม่มีแล้วตายไหมครับ ?
พี่ : ของที่ไม่มีแล้วไม่ตาย มันเป็นของที่จำเป็นหรือเกินจำเป็นครับ ?
ผม : ก็เกินจำเป็นนะพี่.
พี่ : แล้วที่ปฎิญาณกันว่า “ข้าพเจ้า จะไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มีความเอ็นดูเป็นเบื้องหน้า บำเพ็ญประโยชน์แก่ผู้อื่นซึ่งประสพทุกข์ ไม่สามารถนิ่งดูดายได้เพราะกรุณา” หรือแบบที่ชอบพูดชอบโพสกันว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง” เพื่ออะไรกัน ?
ผม : นั่นสิพี่.
พี่ : ทำไมไม่เอาเงินที่จะซื้อของเหล่านั้นไปช่วยเหลือคนยากไร้ ไปช่วยผู้ป่วยอนาถาในโรงพยาบาลศิริราชกันบ้างครับ ?
ผม : ใช่พี่.
พี่ : แล้วที่เห่าๆกันว่าจะถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สองนี่คือไร พูดให้สนุกปาก โพสให้ดูเป็นคนดีเหรอเอ็ม ?
ผม : เฮ้ยพี่ ผมก็คิดแบบพี่นะ แต่ผมไม่กล้าบอกคนในคณะอ่ะพี่.
พี่ : ตอนปฏิญาณ ก็พูดกันยังกับตัวเองจะเป็นคนดี คนดีประเภทไหนที่พูดในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้เลยวะเอ็ม ?
ผม : นั่นสิพี่.
พี่ : ชอบพูดกันว่า “จะเป็นคนเห็นประโยชน์คนอื่นก่อนประโยชน์ตัวเอง” แต่การกระทำนี่คือแบบ “เห็นประโยชน์และการสนองกิเลสตัณหาตัวเองเป็นที่หนึ่ง” แบบนี้ให้เรียกว่า “ตอ***” ได้มั้ยเอ็ม ?
ผม : ได้นะพี่.
พี่ : แล้วที่บอกว่า “ข้าพเจ้า จะละการทำชั่วร้าย” เนี่ย ถามจริง ไม่รู้เหรอว่า การตอ*** ความเห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่นอ่ะ เป็นเรื่องชั่วร้าย ?
ผม : เออหวะพี่.
พี่ : ที่ปฏิญาณว่า “ตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษทุกเมื่อ” เอ็มรู้มั้ยว่า คำว่าสัตบุรุษคืออะไร ?
ผม : คนดีมั้งครับ ?
พี่ : ไปเปิดพระไตรปิฎกดูสิครับ แต่ไม่ต้องเปิดตอนนี้หรอก เพราะแค่เรื่องเห็นแก่ตัว เรื่องชิงดีชิงเด่น เรื่องตอ*** ถ้ายังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องโคตรชั่ว จะเอาปัญญาอะไรไปตั้งอยู่ในธรรมของสัตบุรุษได้วะเอ็ม ?
ผม : ใช่พี่.
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆเริ่มเห็นเรื่องที่โดนมองข้ามกันยังครับ ?
มีตอนต่อไปครับ
หมายเหตุ คำว่า ตอ*** มีความหมายว่า การโกหก
บทสนทนาฉบับเต็มระหว่างผมกับพี่ ติดต่อได้ที่หลังไมค์ครับ