ชีวิตผจญภัยต่างแดนของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดที่นำมาแบ่งปันเพื่อเป็นกำลังใจให้คนป่วยคนที่เจอปัญหา

สวัสดีค่ะเราเป็นเด็กสาวธรรมดา  ที่โตมาในครอบครัวธรรมดา  หลังจากเรียนจบมหาลัยก็หางานทำ  ลาออกสมัครใหม่ตามสเต็ปชีวิต  ทำไปทำมาไงไม่รู้เลยไปจบที่ไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย  จะเรียกว่าเรียนก็ไม่ถูกต้องนักน่าจะเรียกว่าไปทำงานมากกว่า  เพราะเรียนแค่สองวันแต่ทำงานเจ็ดวัน  โอ้แม่เจ้า  ชีวิตไม่เคยลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย  งานที่เราทำมีทั้งเป็น  หมดนวด  แจกใบปลิว พนักงานเสิร์ฟ  แม่ครัว  ทำความสะอาด  แพ็กของ  เรียกว่าได้ตังค์ทำหมด  


                  ชีวิตนักเรียนนอกไม่ได้สวยหรูเหมือนที่ฝันเลย  ทั้งค่ากิน ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายต่างๆ  ค่าที่พักที่นี้แพงมาก  ทุกอย่างจ่ายเป็นรายสัปดาห์  เราแชร์ที่พักอยู่กับคนอื่นอีกหกคน  เป็นห้องชุด สองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องนั่งเล่น เราอยู่ห้องใหญ่กับพี่ผู้หญิงอีกสองคน  มีเตียงสองชั้นแชร์ตู้เสื้อผ้าสภาพเหมือนอยู่โรงเรียนประจำเลย  ค่าที่พักประมาณ150$ ประมาณ 4000บาท ต่อสัปดาห์ ค่าอาหารที่นี้ก็แพงมากจานหนึ่งตกประมาณ300บาท  ทำให้เราต้องหัดทำอาหารกินเอง  จากที่ทำอาหารไม่เป็นเลย  ทอดไข่ยังไหม้555 ต้องมาเปิดgoogle, youtube หัดทำกินเอง กินได้มั้งไม่ได้มั้งก้ว่ากันไป  

                  จากชีวิตที่สุขสบายต้องมาใช้ชีวิตที่ต้องประหยัดทุกอย่าง  ทั้งค่ารถโดยสาร  ค่าเดินทาง  ประหยัดทุกอย่างที่ทำได้  เราทำงานได้วันละประมาณ100$ หักลบกันก็แทบไม่เหลือเงินเก็บเลย  ไหนจะต้องจ่ายค่าวีซ่าค่าเทอมอีก  เราต้องทำงานหนักทุกวันตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงตีสอง  งานแรกที่เราทำก็คืองานแจกใบปลิวกับถือป้าย  เพราะไปตอนแรกเราพูดภาษาแทบไม่ได้เลย  (อันนี้เป็นปัญหาหนึ่งของเด็กไทยเราจะไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษกัน  ความจริงอะพูดไปเหอฝรั่งมันเข้าใจ)  


                  เราไปเรียนคนเดียวเรียกว่าฉายเดี่ยวเลย  จากคนที่เคยมีชีวิตที่สุขสบาย  ครอบครัวดี  เพื่อนฝูงดี  โตมาในสภาพแวดล้อมดี   แทบจะเรียกว่าไม่เคยลำบากเลย  จากที่ไม่เคยเจอเรื่องร้ายๆ  หรือคนแย่ๆเลยในชีวิต   เอาจริงๆนะ  การที่เราตัดสินใจไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียนี้นะ  เป็นครั้งแรกที่เราออกจาก Comfort Zone เลย  

                  ส่วนเรื่องเงินที่ได้จากการทำงานที่นี่   ถ้าขยันทำงานมันได้เย้อก็จริง   แต่ที่เราได้มากกว่าก็คือประสบการณ์ชีวิต  เราเรียนรู้ชีวิตจากการใช้ชีวิตที่นี้หนึ่งปี  มากกว่าเราใช้ชีวิตอยู่ที่ไทยยี่สิบปีสะอีก   อยู่ที่ซิดนี้เราทั้งโดนโกง  โดนเอาเปรียบ  โดนหลอกให้ทำงานฟรี  ไม่มีตังค์จ่ายค่าบ้าน  ไม่มีข้าวกิน  อะไรที่อยู่ไทยไม่เจอเรียกว่าเจอหมด โดยเฉพาะคนไทยด้วยกันเองนี้ละตัวดี   โกงกันเอง  เอาเปรียบกันเอง  เฮ้อ


                  ถ้าจะเอาเรื่องตื่นเต้นเรื่องแรกจริงๆ   ก็คงเริ่มจากการที่เราเริ่มทำงานร้านนวด   จากเด็กสาวไร้เดียงสา   อ่อนโลกไปเป็นหมอนวด  อันนี้เรียกว่าเป็นการก้าวกระโดดเลย   เราเจอลูกค้าบางคนนี้นอนรออยู่บนเตียงเขาแก้ผ้าหมดเลย   แต่จะใช้ผ้าคลุมไว้และให้ใส่กางเกงในไว้    แต่มันก็มีบางคนเหมือนกันที่ถอดหมด   ถึงแม้ว่าจะมีผ้าคลุมตัวไว้แต่มันก็มีบ้างที่ผลุบๆโผล่ๆ  และฝรั่งมันก็ไม่ได้อายเลย  เรียกได้ว่าเห็นของจริงก็ตอนนี้ละ  ปกติเคยเห็นแต่ในหนังโป๊อะ 555  ของฝรั่งมันก็ขาวจริงๆนะ  แรกๆก็กลัวนะ  หลังๆเราก็เฉยๆอะ  แต่ก็เรียกว่าเปิดโลกสำหรับเราเลย 555  ทำงานร้านนวดตอนไม่มีลูกค้าเราก็ได้แต่นั่งรอเฉยๆ  มันก็เบื่อเหมือนกันนะ  

                
                   อยู่ต่างประเทศคนเดียวต่างบ้านต่างเมืองมันเหงานะ  เพื่อนถึงจะมีแต่ทุกคนก็ทำงานหนัก   เวลาว่างแทบจะไม่ตรงกัน   เรียกได้ว่าเดือนๆนึงนี้แทบไม่เจอกันเลย  มันคือความเหงาที่สมบูรณ์แบบเลยอะ  บางคนคงอาจจะคิดว่า   ทำไมไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นละ   ออกไปเที่ยวสิ  ขอบอกเลยทำงานเหนื่อขนาดนี้   อยากนอนอยู่บ้านมากกว่าจะออกไปไหนก็ต้องประหยัด  ไม่มีตังค์จะไปไหนได้ 555  


                  กลับมาที่งานนวดต่อ  เรารู้จักกับพี่ที่ทำงานด้วยกัน  บางคนนี้ไม่ได้ภาษาเลยแย่กว่าเราอีก  เรียกว่าได้แค่ A B C มั้ง  พอผ่านไปสักพักภาษาเขาดีขึ้นมากจนเราประหลาดใจ   ก็ทำแต่งานเอาเวลาที่ไหนไปเรียนเพิ่ม   ทั้งที่เขาก็ไม่ได้ไปเรียนหนังสือ (บางคนไม่ได้มาเรียนหนังสือแต่ตามแฟนมาโดยไม่ได้ถือวีซ่านักเรียนแต่ใช้เป็นวีซ่าติดตาม)  เราก็เลยไปถามเขาว่า  เฮ้ยพี่ไปทำไรมา  ทำไมภาษาดีขึ้นจัง  เขาบอกว่าเขามีเพื่อนต่างชาติ  ทำเอาเรางง  เอาเวลาที่ไหนไปหาเพื่อนอะ   ก็เลิกงานตีสองด้วยกันทุกวัน  เขาบอกหาเพื่อนจาก app หาคู่  เราเลยเอามาเล่นมั้ง  ภาษาเราดีขึ้นมากจริงๆ   โดยเราจะได้ประโยคใหม่ๆและหัดสนทนาตอบโต้ด้วย  

                  พอเราเริ่มเล่นไปได้สักพัก   ก็มีคนเริ่มอยากเจออยากนัดพบ  แล้วเริ่มขอนัดเราออกเดท  จากสาวไม่ประสาโลก ไม่เคยมีแฟนสักคน  กลายเป็นสาวเนื้อหอมที่มีหนุ่มๆมาจีบเยอะแยะ  ตอนนั้นไม่รู้ว่าเหงาหรือคิดอะไรก็ไม่รู้  เราเลยตัดสินใจไปออกเดท  ตอนแรกเราก็กลัวเหมือนกันนะ  ไปเจอใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน  แต่ที่ออสเตรเลียกฎหมายที่นี้ค่อนข้างเข้มงวดและปกป้องผู้หญิงมากกว่า  เราเลยมั่นใจในด้านความปลอดภัย


                  ผู้ชายคนแรกที่เราไปเดทด้วย  ก็คือแฟนคนแรกของเรา  เขาชอบเรามากและตื้อเราสุดๆไปเลย  ออกเดทก็ไม่ได้มีอะไรมาก  นอกจากไปกินข้าวกลางวันกันเฉยๆ  แต่เขาดูดีใจมาก   เขาไม่ค่อยหล่อแต่ดูสุภาพทำงานธนาคารเป็นคนสิงคโปร์   เราเป็นคนไม่ค่อยชอบฝรั่งเท่าไหร่   ผู้ชายส่วนมากที่เราเลือกไปเดทด้วยจะเป็นคนเอเชีย  พอมีครั้งแรกก็มีครั้งต่อไป   เราเริ่มออกเดทบ่อยขึ้น   ใครจะไม่ชอบบ้างละ  อยู่ดีๆก็มีคนพาไปเลี้ยงข้าว  จากอดมื้อกินมื้อ   ต้องกินกับข้าวฝีมือตัวเอง  ได้มีโอกาสไปกินข้าวร้านอาหารดีๆ  แต่เนื่องจากว่าเราทำงานเยอะมาก   ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาว่าง   บางทีเราก็นัดเดทซ้อนๆกัน  ไม่ใช้นัดมาเที่ยวพร้อมกันหมดนะ  แบบนั้นคงไม่ได้ 5555  มีครั้งหนึ่งเราว่างวันอาทิตย์วันเดียว   เรานัดออกเดทกับผู้ชายหกคนในวันเดียวกัน   ต้องกินข้าวเช้าสองครั้ง  เที่ยงหนึ่งครั่ง  ข้าวเย็นสองครั้ง  แล้วตอนดึกอีกหนึ่งครั้ง   มันไม่สนุกเลยอะ  ทั้งจุกที่ต้องกินเย้อเกินไป   แล้วต้องหาทางปลีกตัวไปเจอกับอีกคน   เหนื่อยมาก   ตอนนั้นสิ่งที่คิดคือ  อยากกลับบ้านไปซักผ้า   แล้วนอนเล่นมากกว่า   มันไม่สนุกเลย  เพราะสุดท้ายเราก็กลับบ้านมาเหงาคนเดียวอยู่ดี


                   ตอนนั้นเราเดททั้งกับ หนุ่มไทย จีน ฝรั่ง แขก เรียกได้ว่ามันก็เป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกันนะ  เราได้เจอกับผู้คนมากมาย   จากหลากหลายประเทศ   หลากหลายวัฒนธรรม  ได้เห็นวิธีคิด ความเชื่อ  ทัศนคติ  วิถีชีวิตของคนจากหลากหลายเชื้อชาติ  ซิดนี้เป็นเมืองที่รวบรวมคนจากหลากหลายเชื้อชาติ  หลากหลายประเภท  ไม่ได้มีแค่คนออสเตรเลียเท่านั้น  ผู้คนมากมายจากหลากหลายประเทศทั่วโลกมารวมกันที่นี้   เราได้เจอคนหลากหลายทั้งที่มาจากยุโรป อเมริกา แขก ไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และก็ประเทศอื่นๆอีกเย้อแยะเลย  

                    แต่หนุ่มที่เราชอบสุดคือหนุ่มอิตาลิ   เขาเคยไปเที่ยวเมืองไทย  พูดไทยได้นิดหน่อย ชอบพูดชมเรา คุณซวยๆ 555 ไม่ต้องก็ได้นะ   แทกแคร์เก่งมากก   ที่สำคัญจูบเก่งมากกกกกกก   ตอนแรกเราก็ชอบเขานะ   แต่เขาดันมาบอกว่าเราดีเกินไป  เขากลัวทำให้เราเสียใจ  เขาไม่กล้าทำอะไรเรา   เราก็คิดว่าแล้วจะมาจีบกุตั้งแต่ตอนแรกทำไม  ก็เฟลเล็กน้อยนะตอนนั้น   เราเลยกลับไปคุยกับหนุ่มจากสิงคโปร์เจ้าเก่า   ที่เคยไปเดทด้วยตอนแรก  เพราะเขาดีกับเรามาก   จนบางครั้งเราอึดอัด  เราถึงขั้นถามเขาว่ามาดีกับเราทำไม   อยากนอนกับเราเหรอ  ถ้าอย่างนั้นนอนกับเราให้มันจบๆไป  แล้วเลิกมาตื้อเราสักทีได้ไหม  แต่เขาดันมาบอกว่าชอบเราจริงๆ  อยากคบกับเราเป็นแฟน   เราเลยตกลงคบกับเขา  เขาจะมารับเราที่ทำงานตอนตีสองทุกวัน   พาเราไปส่งบ้าน   แล้วเขาก็กลับบ้าน แล้วตื่นไปทำงานตอนเจ็ดโมงเช้าเกือบทุกวัน    จนเราใจอ่อนเริ่มชอบเขา  ต่อมาก็ตามปกตินะละ  
                      
                    มีคืนหนึ่งเราเลิกงานเร็วแล้วไปดื่มกันที่บาร์ตามปกติ    แต่วันนั้นเราเมามาก   เลยไปค้างบ้านเขาจนมีอะไรกัน  ไม่ได้เสียดายอะไรมากนะครั้งแรก  เสียดายที่จำอะไรไม่ได้มากกว่า   เพราะเราเมามากเหมือนกัน  หลังจากนั้นเขาก็ยิ่งรักเรา ทั้งหวง ทั้งห่วงเรา   ตอนนั้นเราก็เริ่มรักเขาแล้ว  เราเริ่มคบกันจริงจังตัวติดกันตลอด   แต่ด้วยความที่เราต่างกันเกินไป   เราเริ่มทะเลาะกัน  แต่เราก็พยายามยื้อความสัมพันธ์แต่ก็ไปด้วยกันไม่ได้   จนเลิกกันไปในที่สุด  ตอนนั้นเราเฮิร์ทมากๆ  เราทั้งเหงา  ทั้งอกหัก  สภาพแย่กว่าเดิมอีก    ตอนนั้นเพื่อนเราส่วนมากก็เป็นเพื่อนที่รู้จักจากเขา   เลยทำให้เราต้องตัดขาดเพื่อนทางนั้นไปหมด  จนในที่สุดเราทนเหงาไม่ไหว  เรากลับไปเล่นออกเดทอีก  


                    เราเริ่มออกเดทอีกครั้ง   จนกระทั่งเราได้เจอแฟนคนที่สอง  เขาเป็นคนไทยที่โตที่ออสเตรเลีย  พูดไทยได้  แต่ไม่ค่อยเก่ง  แต่อ่านไม่ออก  เขียนไม่ได้เลย  เป็นคนเฟรนลี่น่ารัก   พื้นฐานเราค่อนข้างเหมือนกัน  เขาเล่าว่าเขามาย้ายมาอยู่ที่นี้ตั้งแต่เจ็ดขวบ  เพราะแม่แต่งงานใหม่กับหนุ่มฝรั่งที่นี้  แฟนใหม่เรานอกจากเชื้อชาติที่เป็นไทยแล้ว   เขาไม่มีอะไรที่เป็นไทยเลย  นิสัยวิถีชีวิตเขาโตมาแบบฝรั่งทั้งหมด  เรียกว่าเป็นหนุ่มออสเตรเลียในคราบคนไทยเลย  แต่อย่างน้อยตอนทะเลาะกัน  ก็เถียงกันรู้เรื่องละนะ  ไม่เหมือนคนก่อนทะเลาะกันทีไร  เถียงกันไม่รู้เรื่องตลอด 555  แฟนคนที่สองแตกต่างจากแฟนคนแรกมาก   จากหนุ่มนักธุรกิจเป็นเด็กอู่  จากคนที่เป็นผู้ใหญ่มาเป็นหนุ่มนิสัยเด็ก  แฟนใหม่ชอบโทรหาเราตลอด  ทำให้เรารู้สึกไม่เหงา  เรียกได้ว่าเราเริ่มคบกันเพราะความเหงาจริงๆ   เราไม่รู้ตัวเลยว่าชอบเขาตอนไหน   รู้ตัวอีกทีก็รักเขาแล้ว(ใจง่ายสะ)   ตอนนั้นเรามีความสุขมาก  ความรักครั้งใหม่Happyมาก


                     สักพักเราเริ่มป่วยเราเลยต้องไปหาหมอ   โดยแฟนเราเขาเป็นคนพาเราไปส่ง  หมอที่นี้ถ้าจะเจอต้องนัดก่อน  ได้คิวถึงได้ตรวจ    เราต้องไปหาหมอที่คลินิกก่อน   ถ้าป่วยหนักเขาถึงจะส่งเราเข้าโรงพยาบาล  เราจะไม่สามารถไปโรงพยาบาลเองได้โดยตรง   ต้องมีเอกสารส่งตัวถึงจะไปได้  เราเริ่มเข้าๆออกๆโรงพยาบาลบ่อย   จากป่วยที่เราคิดว่าคงไม่ได้เป็นอะไรมาก   มันเริ่มกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา  เราเจอก้อนเนื้อที่ช่องท้องใหญ่มาก   ประมาณ30เซนติเมตรได้  เราต้องผ่าตัดด่วน  เราโดนผ่าตั้งแต่เหนือสะดือไปจนถึงข้างล่าง   แผลเรายาวมาก  ประมาณ30เซนติเมตรได้   ความรู้สึกเหมือนโดนทำฮาราคีรีเลยอะตอนนั้น   แฟนเราก็ไปส่งตลอดนะ   แต่เขาก็จะเริ่มอารมณ์เสียกับเรา  เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น


                    ตอนนั้นความรู้สึกของเรา  ทั้งกลัวทั้งสับสน  เราต้องออกจากงาน   ดรอปโรงเรียน   แล้วย้ายไปอาศัยอยู่กับญาติ   เราไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาด้วยซ้ำ  โชคดีที่เรามีประกันสุขภาพ  เลยช่วยเราเรื่องค่ารักษาได้ในระดับหนึ่ง  แต่เราก็ไม่มีเงินพอค่าใช้จ่ายชีวิตปะจำวันอยู่ดี    แฟนเราไม่สามาถช่วยอะไรเราไม่ได้เลย    นอกจากมาเยี่ยมเราที่โรงพยาบาล  แฟนเก่าเราติดต่อมาตอนรู้ว่าเราป่วย  ทำให้แฟนใหม่หาเรื่องทะเลาะกับเราอีก  เราพยายามขอโทษ  ตอนนั้นเราทำตัวเหมือนพรมเช็ดเท้าเลย  เราก็โมโหเหมือนกันนะ  เราเดินก็ยังไม่ได้เลยคิดได้ไงว่าเราจะนอกใจ  หายใจยังลำบาก   จะไอยังไม่ได้เลย   เราจะไปนอกใจใครได้ยังไง  แต่ด้วยตอนนั้นเรารักเขามากทั้งกลัวเขาทิ้ง   กลัวที่ต้องป่วยอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียว   เลยยอมเขาหมดทุกอย่าง  


                  จนถึงวันนัดสรุปผลการรักษา คุณหมอเจ้าของไข้แจ้งเราว่า  เราป่วย  เราป่วยเป็นมะเร็ง....  มันเหมือนโลกหยุดหมุน.......  


(เดี๋ยวมาต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่