[รีวิว]การใช้ชีวิตของนักศึกษาในเยอรมัน

สวัสดีครับทุกคน
เมื่อประมาณเกือบสองปีที่เเล้วผมได้เขียนกระทู้รีวิวการสมัครเข้าเรียนในมหาลัยของเยอรมันไปเเล้ว ตามลิ้งข้างล่าง
https://pantip.com/topic/33337034

ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบสองปี ผมก็จะเรียนจบ ป. โท จากมหาลัยในเยอรมันอีก 1 เดือนข้างหน้านี้เเล้ว ก็....ใช้ชีวิตที่นี้มาเกือบ 2 ปี.
มองย้อนกลับไปก็เป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์เหมือนกัน มีทุกอารมณ์ทั้ง เศร้า มีความสุข กดดัน เครียด ลุ้น......
ก่อนจะมาหลายคนก็ถามว่า "ทำไมเลือกไปเยอรมันละ?"
ตอนนั้นผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ รู้แค่ว่า "เฮ้ย ไม่เห็นคนนิยมมาเรียนกันเลย เราต้องไปลองของสักหน่อยเเล้ว"
วันนี้ผมจึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวครับ ว่าผมได้อะไรจากที่นี้ซึ่งผมคิดว่าสุดท้ายเนื้อเรื่องมันจะตอบคำถามเองว่า
"ทำไมเลือกไปเยอรมันละ?"

ผมจะเล่าเป็น timeline ไปนะครับ เริ่มตั้งแต่ตอนมาใหม่ๆเลย ซึ่งพอผมได้ใบตอบรับจากมหาลัยให้มาเรียน ก็ทำวีซ่าตามขั้นตอนของเยอรมัน
เเล้วก็เริ่มมองหาที่พัก ซึ่งจุดแรกที่ผมมองหาก็คือ ดูจากเว็บของมหาลัยก่อนเลย เพราะรู้ว่ามหาลัยมีหอพักให้นักเรียนด้วย.

คลิ๊กเล่นๆดูก็เจอข้อมูลที่สำคัญๆ คือห้องจะมีประมาณ 2 แบบนะ คือ ส่วนตัวแบบ apartment (มีห้องน้ำและห้องครัว) กับ แบบแชร์ (เยอรมันจะเรียกว่า WG เวย์เกย์) ราคาก็โชว์อยู่ ความคิดแรกคือ โว้ว ถูกมว๊ากกเริ่มต้น 252(10,000บาท) ยูโรต่อเดือนเองสำหรับห้องส่วนตัว ซึ่งราคานี้รวมทุกอย่างเเล้วทั้งน้ำไฟอินเตอร์เน็ต ตอนอยู่ไทยผมจ่ายประมาณ 7,000 บาท ก็จ่ายเพิ่มมา 3,000 แต่ห้องที่เยอรมันจะขนาดเล็กกว่า แต่อยู่คนเดียวสบายๆ เอาไรมาก.

ห้องของจริงก็ประมาณนี้ (จริงๆผมมีรูปเต็มๆแต่ขนาดมันใหญ่เกินจะอัพโหลด ดูเล็กๆเอาบรรยากาศไปนะครับ)
ก็เป็นห้องที่มีห้องน้ำส่วนตัว มีครัวเล็กๆ มีไมโครเวฟ มีตู้เย็นเเล้วก็พวก ที่เสียบไฟ สาย LAN
ผมคิดว่าคุ้มมากๆ
ต้องอธิบายก่อนว่า ที่พักในเยอรมันหายากพอสมควรครับ ถ้าไปหาตามเว็บไซด์ข้างนอก บางครั้งจะเจอห้องแบบ unfurnished คือไม่มีเฟอร์นิเจอร์มาเลยมีแต่ห้องเปล่าๆ เราก็ต้องเสียตังไปซื้อเฟอร์มาเอง เเล้วคือเรียน 2 ปี จบ เฟอร์ก็ต้องเอาไปทิ้งอีกด้วย เพราะถ้าไม่เอาไปทิ้ง เจ้าของจะคิดเงินเราเพิ่มค่าเอาไปทิ้ง.
การเช่าหอมหาลัยก็เลยเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดทางหนึ่ง แต่ข้อเสียก็มีคือ ความต้องการห้อง มากกว่าจำนวนห้อง เราจึงต้องลงชื่อเพื่อจอง อย่างผมก็ต้องรอ 5 เดือน กว่าจะได้เข้าอยู่ ซึ่ง 5 เดือนแรกก็ต้องหาที่อยู่อื่นๆไปก่อน.

ณ จุดที่มาถึงวัน เยอรมันวันแรกบอกเลยครับว่าอยากกลับบ้าน ด้วยความที่ตอนเรียนมหาลัยที่ไทยก็ซื้อกินหน้า ม. บ้าง หลัง ม. บ้าง ไม่เคยทำอาหารกินเอง มาถึงวันแรกก็ติดนิสัย อยากไปซื้อกิน เลยเดินๆดูว่ามีอะไรขายบ้างก็ไปเจอ......ร้านพิซซ่ากับโดนเนอร์
สองปีที่เเล้ว ตามกฏเขาบอกว่านักเรียนต้องมีเงินขั้นต่ำ 670 ยูโร ต่อเดือน โอเค ผมก็ใช้แค่นั้น แต่พอกินข้างนอกทุกวัน ลองคิดดู
พิซซ่า 1 ถาด = 4 ยูโร โดนเนอร์ 1 ชิ้น = 3 ยูโร วันนึงกินสามมื้อก็คือประมาณ 10 ยูโร เดือนนึง 30 วัน ค่าอาหารก็ 300 ยูโร
ค่าเช่าห้อง 252 ยูโร, ประกันสุขภาพ 90 ยูโร พื้นฐานก็ต้องจ่ายละ 642 ยูโร เหลือ จิปาถะ 28 ยูโรเอง......
สักพักได้จดหมายจาก สถานีวิทยุเยอรมัน ว่าทุกคนต้องจ่ายให้มันอีก ประมาณ 20 ยูโรต่อเดือน สุดท้าย เหลือ 8 ยูโร กัดก้อนเกลือกินสุดๆ.

แต่ยังดีที่ในมหาลัยมีโรงอาหาร ซึ่งจะขายเฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น(11.00-14.00) โดยราคานั้นก็จะถูกกว่าข้างนอก
ส่วนตัวผมคิดว่าของพวกนี้ข้างนอกอาจจะขาย 10 ยูโร แต่โรงอาหารขายแค่ 2.2-4 ยูโรแล้วแต่เมนู ตอนแรกก็ตื่นเต้นมาก
ว้าวว มีของดีๆให้ซื้อ แต่หลังจากกินไปกินมาสัก สามเดือน คือ เมนูมันจะวนๆกลับมาซ้ำ คือแบบบางครั้งคิดว่า เฮ้ย!!!!หมูทอดเพิ่งกินไปทำไมมีหมูทอดอีกเเล้ว
เเล้วคือ ณ ตอนนี้อยู่มาสองปี คิดดูว่าต้องกินวนๆไปกี่รอบ.

ผมไม่อยากขอตังที่บ้านเพิ่ม อยากจะลองใช้ชีวิต 670 ยูโรต่อเดือนไปก่อน ก็เลยคิดว่า ต้องปรับตัวเเล้วไปซื้อหม้อหุงข้าวกับกระทะ หม้อ และ เครื่องปรุงมาดีกว่า ซึ่งพอเปลี่ยนมาทำเอง+ไปกินข้างนอกบางโอกาส ก็ลดค่ากินมาได้อ่ะครับ จากวันนึงต้องใช้ 10 ยูโร สัปดาห์หนึ่ง 70 ยูโร พอปรับเปลี่ยน ก็จะใช้แค่สัปดาห์ละ 35-40 ยูโรเท่านั้น เดือนนึง 4 อาทิตย์ก็ ประมาณ 200 ยูโร จาก 300 ยูโรที่ซื้อกินล้วนๆ.

เพื่อนที่ดีที่สุดของผมก็คือ REWE ซึ่งถ้าให้ผมเปรียบเทียบว่า REWE ว่าเหมือน supermarket ไหนในไทย ก็คงต้องเป็น gourmet market หรือ tops แต่ขอบอกว่า supermarket เยอรมัน service สู้เมืองไทยไม่ได้เลย เพราะผมไม่ชอบตอนที่เราไปคิดตังเเล้วต้อง หยิบของเก็บใส่ถุงที่เตรียมมาจากบ้านให้ไวที่สุด จากนั้นก็ต้องหยิบเงินจ่ายให้ไวที่สุด ไม่งั้นจะ แคชเชียร์จะไม่พอใจเล็กน้อยที่ทำตัวช้า.

อันนี้รูปจากเน็ต
นอกจาก rewe ก็จะมีซุปเปอร์มากเก็ต ตัวอื่นเช่น Aldi, Lidl, Penny ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบก็ประมาณ BigC, Lotus, Makro มีของขายเยอะๆ ของโหลๆ แน่นอน ราคาสบายกระเป๋ากว่า rewe.

ไร้สาระมาเยอะ วนเข้าประเด็นหลัก คือเรื่องของการเรียน
ผมก็ไม่สามารถเขียนครอบคลุมหลักสูตรอื่นได้นะเพราะผมไม่เคยเรียน แต่โปรแกรมของผมจะใช้เวลา 2 ปี (4 เทอม)  ตามหลักการคือต้องเรียน
Lecture สลับกับทำ practical ไปด้วย Lecture คือ ไปเรียนในห้องเรียน พอจบเทอมก็สอบ ส่วน Practical คือ ภาคปฏิบัติอย่างของผมเรียนวิทยาศาสตร์ก็ต้องมีการทำงานในห้องทดลอง. เอาส่วนต่างก่อนนะ Lecture ของเยอรมันจะใช้เวลาเรียนน้อย สัปดาห์หนึ่งเรียน 4 ชั่วโมง เอาจริงได้เรียนแค่ 2-3 ชั่วโมง แต่เนื้อหาที่ต้องอ่านเองนะเยอะ ส่วนการสอบ Lecture จะมีสองแบบคือ written exam สอบข้อเขียนเหมือนเมืองไทย จะสอบผ่านนั้นง่ายมาก บางครั้งสอบได้ 40/100 ก็ผ่านเเล้ว แต่จะสอบให้ได้ A นั้นยากมาก ต้องได้ 90+/100. อีกแบบคือการสอบแบบ oral exam ซึ่งเราจะนัดเวลากับอาจารย์ที่สอน 30 นาที เมื่อเข้าไปในห้องอาจารย์ก็จะถามๆๆๆเราก็จะตอบๆๆๆ ซึ่ง oral exam ผ่านง่ายกว่า written exam แต่ได้ A ยากสุดๆ ยากกว่า written exam อีก เพราะมาตรฐานในการให้คะแนนอยู่ที่ตัวอาจารย์ บางคนแบบ ตอบช้าก็ไม่ให้เต็ม อะไรแบบนี้ เหมือนถ้าจะได้ A จาก oral exam ต้องเป็น expert จริงๆ เหมือนต้องเป็นตัวอาจารย์มาสอบเอง.

เออ แต่มันยังมีอะไรมันส์ๆ อยู่คือ สมมุติว่าเราสอบ written exam ครั้งแรกได้ C แล้วรู้สึกไม่พอใจคะแนนเลย ก่อนเปิดเทอม มันจะมีเปิดให้สอบอีกรอบ ซึ่งถ้าเราสอบเเล้วได้ A เราก็จะได้ A แต่ถ้าเกิดสอบเเล้วได้ F เราก็จะได้ C. อันนี้คือดี เพราะเหมือนให้โอกาสอีกครั้ง แต่ oral exam ส่วนใหญ่จะเปิดให้สอบแค่ครั้งเดียว. ต้องแถมอีกว่า สอบรอบสองตัวข้อสอบไม่ได้ง่ายลง ดีไม่ดียากกว่ารอบแรก.

บรรยากาศในห้องเรียนของเยอรมัน ส่วนมาก ก็จะเป็นห้องใหญ่ๆ คนเรียนเยอะๆ วิชาบังคับก็ประมาณ 50+ คน วิชาเลือกก็เริ่มต้นที่ 10 คน.
ซึ่งมันจะเกิดปัญหาคือ ช่วงที่ต้องทำ practical จำนวนที่ทำงานในห้องทดลองมันจำกัด ใครไม่ได้จองก่อนก็รอไปสิ การรอนี้เป็นสิ่งไม่ดีนะครับ
บางคนไม่กระตืนรือร้น มัวแต่รอ ก็ไม่ได้ที่นั่งทำ practical สักที่ ส่งผลให้จบช้า. แต่เท่าที่ผมทราบคือ ยุคหลังๆนี้เขานิยมเปิดคอร์สแบบใหม่แล้วคือบังคับให้นักเรียน เรียน 1, 2, 3, 4 พร้อมจัดที่นั่งให้เด็กเรียบร้อยว่าเดือนนี้ คุณต้องทำงานอะไรๆ

ตอนผมก็ ร่อน email ไปหาอาจารย์เป็นสิบๆคน ถามไปสิ คุณมีที่ว่างใน Lab ไหม? ฉันขอทำงานกับคุณได้ไหม? ก็เครียดพอสมควร เพราะบางคนก็ไม่ตอบ บางคนก็บอกว่าเต็ม บาง Lab เข้าไปทำงานเเล้วก็พบว่า....กูรู้เลยทำไมว่าง.........แต่ผมไม่เครียดนะ ถือเป็นประสบการณ์ ในชีวิตจริงเราไม่ได้ทำงานกับคนที่เราชอบตลอดเวลาอยู่ละ ซึ่งการประเมินของ practical ก็คือ การเขียน report และ performance ขณะทำงาน ก็ไม่ต้องถามนะครับว่า แลบที่ "กูรู้เลยทำไมว่าง" มันจะให้คะแนนผมอย่างไง? ไว้อาลัยให้เกรดของผมด้วยครับ.

สรุปเรื่องเรียนนิดนึง ผมว่าใครมานี้ต้องเมพระดับหนึ่ง เพราะการเรียน independent พอสมควร ถ้าเราไม่ขยันด้วยตัวเอง โอกาสจบยากนะ สิ่งหนึ่งที่ผมชอบก็คือ practical เหมือนให้โอกาสเราได้ทำงานจริงๆ ใช้ความคิดของเราจริงๆ เจอปัญหาจริง แก้ปัญหาจริง ซึ่งตลอด 4 ปีตอนป.ตรีที่ไทย ผมไม่เคยถูกฝึกแบบนี้เลย ตอนเริ่มใหม่ก็หนักอะครับ แต่พอเราเรียนรู้และผ่านมาได้ skills เราก็มากขึ้นจริงๆ.

พูดเรื่องเวลาว่างบ้างดีกว่าว่ามีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง?
จริงๆกิจกรรมน่าจะมีเยอะ เราต้องถามตัวเองว่า เราชอบกิจกรรมอะไรเเล้วก็ google เอาว่ามหาลัยมีไหม ขอพูดตรงๆว่า การประชาสัมพันธ์กิจกรรมในมหาลัยที่ผมอยู่นั้นแย่มาก คือถ้าไปเรียนเเล้วกลับบ้าน เราจะไม่รู้เลยว่ามีอะไรให้ทำบ้าง มันจะไม่มีเลขาของคณะส่งสารมาเชิญว่า เฮ้ย อาทิตย์นี้เรามีกิจกรรมนะ หรืออะไรอย่างงั้น.
กิจกรรมที่ผมชอบที่สุดคือ การเล่นเทนนิส ชอบ clay court เพราะเมืองไทยไม่ค่อยมีให้เล่น ผมว่ามันเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้เจอเพื่อนใหม่ๆด้วย ทั้งคนเยอรมัน และคนต่างชาติ ผมคงคิดถึงเทนนิสที่สุด 555
เสาร์-อาทิตย์ ของผมก็มักจะเป็น routine อะครับ ไม่มีอะไรแปลกใหม่เริ่มที่วันเสาร์ ก็ตื่นสายๆอ่านข่าวในเน็ตสักพักก็กินอาหารเช้า ออกไปซื้อ groceries มาตุ้นไว้ เพราะวันอาทิตย์ทุกอย่างปิด จากนั้นก็กลับหอ มาดูหนังบ้าง อ่านหนังสือบ้าง นอนกลางวันบ้าง เเล้วก็ทำอาหาร ส่วนวันอาทิตย์ก็ไปฟิตเนส ทำงาน อ่านหนังสือ ทำอาหาร จะมีตื่นเต้นหน่อยถ้าเพื่อนๆชวนไปกินข้าวข้างนอกอะไรแบบนี้ แต่นานๆจะไปสักครั้ง.

เรื่องตื่นเต้นอื่นๆคือ ช่วงปิดเทอม หรือวันหยุดยาวๆก็จะจองตั๋วไปเที่ยวต่างประเทศในยุโรป ต้องขอบคุณ eurowings และ deutsche bahn สำหรับตั๋วเครื่องบินและรถไฟ ราคาถูกๆ
เช่นไปตั๋วไป london 800 บาท
ไป edinburgh 1200 บาท
ไป amsterdam 800 บาท

และอีกมากมายครับ

ขอขอบคุณ ครอบครัวสำหรับเงินสนับสนุน ซุปเปอร์ไวเซอร์สำหรับโอกาส และเพื่อนๆที่เยอรมันทุกคนที่คอยช่วยเหลือกันและกันตลอดเวลา
ขอบคุณคนอ่านด้วยครับ ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังคิดจะมาเรียนต่อเยอรมัน.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่