[รีวิว] Split - น.นมนำพล็อต by ตั๋วหนังมันแพง


[หนังโรงเรื่องที่ 175] Split - น.นมนำพล็อต ; (M. Night Shyamalan, 2017)
by ตั๋วหนังมันแพง

คะแนนความชอบ : A- (จากสเกล D-A)

**มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญเล็กน๊อยส์

เรื่องย่อ : "เคซี่" (Anya Taylor-Joy) และเพื่อนสาวสองนางถูกชายลึกลับใส่แว่น "เดนนิส" (James McAvoy) บุกมาลักพาตัวและจับมาขังไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง รู้ภายหลังว่าภายใต้โฉมหน้าของผู้ชายคนนี้ยังมีอีก 22 บุคลิกซ่อนอยู่! ... ย่อได้แค่นี้ล่ะ เรื่องมันมีแค่นี้

อาจจะถือว่าเป็นหนังที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ตีคู่กับ Mr.Hurt ได้เลยมั้ง ด้วยพล็อตที่น่าสนใจแปลกใหม่บวกกับดาราระดับเชื่อถือฝีมือได้ ก็ไม่แปลกที่แม้แต่คนที่ไม่ใช่คอหนังขาประจำก็ยังพูดถึงกัน

ถ้าให้นิยามหนังก็ต้องบอกสั้นๆว่า "หนังแม่มโคตรเอ็มไนท์เลย" คือลีลาที่ผ่านมาเป็นยังไง บังมาโนชแกก็ยังทำหนังเหมือนเดิม คือเป็นหนังที่สอบผ่านในความเป็น Thriller ได้ดีพอสมควร ฉากลุ้นเสียวซี้ดมีเยอะ+การคุมบรรยากาศโทนหนังก็ยังทำได้เยี่ยม .. หนังหยิบเอา "ความคาดเดาไม่ได้" ของตัวร้าย(พระเอก)ที่มีหลากหลายบุคลิกมาใช้ได้คุ้มค่าในอารมณ์ที่ว่า "เฮ้ย ถ้าคุยๆอยู่มันจะเปลี่ยนเป็นบุคลิกอื่นที่เรายังไม่รู้จักรึเปล่า?"

และก็เป็นครั้งแรกที่พี่แกได้ทำหนังที่มีตัวละครเอกเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่น ก็เลยดูเหมือนว่าแกจะใส่ 'ความมุ่งมั่น' หนักมือไปหน่อยกับการโชว์ 'เนื้อหนังมังสา' ของอิหนูพวกนี้ ... คือไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ แต่พอมันใส่เข้ามาเยอะไปมันก็จะทำให้ธีมหนังมันเป๋ไปพอสมควร กลายเป็นว่าความวาบหวิวที่ควรจะเป็นแค่ซีอิ๊วมาเหยาะๆให้เป็นสีสันของหนังกลับกลายเป็นหกท่วมจนเค็มไปทั้งจานแทน ... ไม่เชื่อลองไปถามความเห็นสุภาพบุรุษท่านอื่นได้เลยว่ามันเสียสมาธิขนาดไหน เผลอๆนี่อาจจะเป็นการค้นพบแนวที่ตัวเองชอบของผู้กำกับก็ได้นะ (หัวเราะ)

เจมส์ แม็กอะวอยเล่นใหญ่ชนิดจ้างร้อยเล่นล้านจริงๆกับบทบาทมนุษย์หลายบุคลิกคนนี้ (เอาจริงๆออกฉากไม่ถึงสิบบุคลิกหรอก) ซึ่งมีความท้าทายอยู่ที่ การใช้นำเสียง-ท่าทาง-การแสดงออกทางใบหน้า ให้สอดคล้องกับบุคลิกนั้นๆ ซึ่งมีตั้งแต่บุคลิกของผู้หญิง, เด็กน้อยเก้าขวบ, หนุ่มเนี้ยบ, เกย์แฟชั่น, ขี้ยา และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งพ่อเจมส์ของเราก็ตีฉลุยแบบไม่เหลือข้อกังขา นี่กล้าพูดเลยว่าถ้าเจมส์ไม่เล่นใหญ่แบบนี้ หนังอาจจะไปไม่รอดจากพล็อตที่อ่อนยวบยาบก็ได้

สำหรับตัวละครเอกสาวน้อยอย่าง อันย่า เทเลอร์-จอย จากหนังเรื่องล่าสุดอย่าง The VVitch ก็ยึดสป็อตไลท์ของเรื่องไว้ครองคนเดียวอีกแล้ว คือน้องมีหน้าที่แค่นั่งอยู่เฉยๆโชว์หน้าจิ้มลิ้มให้ผู้ชมเอ็นดูไปพลาง ทำตัวมี trauma จากปมในอดีตไปพลาง แค่นี้คนดูก็หลงรักหัวปักหัวปำแล้ว! (จริงจัง) คือเหมือนน้องจะเข้าทางกับบทแนวนี้จริงๆ คือไม่ต้องมีไดอะล็อกพูดเยอะ แค่ใช้สายตาดีๆก็สามารถมีเสน่ห์ได้ อยากจะขอสมัครเป็นแฟนคลับจริงๆ

สิ่งที่ไม่ถูกใจก็คือแก่นใหญ่ใจความของหนังมันก็ยังวนเวียนอยู่กับประเด็นเดิมๆที่ผู้กำกับชอบใช้ นั่นก็คือ "ความงมงาย" (superstitious) หรือเรียกสวยๆว่า "ความเชื่อ" (belief) ก็ได้ คือในขณะที่หนังเรื่องอื่นชอบหยิบจับเอาศาสนามาอธิบายวิทยาศาสตร์, ตาเอ็มไนท์แกก็จะหยิบเอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายศาสนาแทนจะสังเกตเห็นได้จากบุคลิกสุดท้ายของพระเอกที่คนอื่นๆนิยามมันว่า "สัตว์อสูร" (The Beast) ซึ่งปรากฏกายมาในรูปแบบของ "คนคลั่งศาสนา" (fanatic) อันเป็นต้นตอของพลังเหนือมนุษย์และแนวคิดที่ผิดแผกจากปกติชน

ซึ่งมันก็ไม่ผิดอะไรหรอกที่จะชอบเล่าเรื่องแบบนี้ แต่พอทุกๆครั้งที่เฮียแก 'พยายามมากไป' ที่จะใส่ข้อความทำนองนี้ลงไปในหนัง มันดันทำให้ 'ความสนุก' มันลดลงน่ะสิ ขนาดที่ว่า Split นี่ถือว่าทำออกมาได้แมสมากๆแล้วมันยังให้ความรู้สึกเฉยๆอยู่เลย คือการหยิบเอาทฤษฏีทางจิตวิทยามาอธิบายที่มาของ "พฤติกรรมหลากบุคลิก" มันก็ดูน่าสนใจดี แต่พอเป็นองค์รวมแล้วมันก็ยังไม่พีคอยู่ดี คลอดออกมาเป็นหนังที่แบบ เฉยๆ-งั้นๆ แทน

.. ส่วนตัวนี่คิดว่าคงยากแล้วที่จะหวังให้มีผลงานระดับยุคทองของผู้กำกับคนนี้โผล่มาอีกซักเรื่อง คือมันริบหรี่จริงๆให้ดิ้นตาย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่