การสอบเข้ารับราชการสำหรับบางคนอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก...แต่สำหรับบางคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!!
อาจจะเรียกโพสต์นี้ว่าเป็นโพสต์เพื่อนระบายความรู้สึกของ จขกท. ก็ได้นะคะ😓😓
เราเป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่เป็นเกษตรกร....แต่เค้าพยายามเขียนเส้นทางให้เราเรียนสูงๆเพื่อจะได้เป็นข้าราชการ
ที่ผ่านมา....
ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่อยากให้เรียน เราตั้งใจเรียนมาตลอด อยากให้เรียนสายวิทย์-คณิต ก็เรียน ((แม้จะเกลียดวิชาคณิต ฟิสิกส์แค่ไหนก็ยอมเรียน))
จนเข้ามหาวิทยาลัย....
ตอนนั้นเค้าก็ให้เลือกเองว่าจะเรียนอะไร เราเลือกเรียนสายอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยางพารา เราก็พยายามอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียน ก็เป็นลำดับต้นๆของรุ่น เพื่อให้พ่อแม่มีกำลังใจ เป็นของขวัญตอบแทนค่าเหนื่อยที่เค้าทำงานส่งเราเรียน
จนเราเรียนใกล้จบ...ใจนึงเราอยากทำงาน อยากมีเงินใช้เองไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ แต่ใจนึงก็อยากเรียนต่อ แต่พ่อแม่ก็อยากให้เรียนต่อ เพื่อที่เราจะได้ทำงานสบายๆเมื่อจบมา
เราก็เข้าใจ และอยากเรียนต่ออยู่แล้ว.เลยตัดสินใจเรียนต่อสายเกษตร (เปลี่ยยสายที่เรียนตอนปริญญาตรี เพราะเราไม่ชอบสารเคมี) ตอนเราเรียน ป.โท เราก็ไม่ได้เรียนเพียงอย่างเดียว เราหางานพาร์ททามทำไปเรื่อยๆด้วย เพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เราเรียนกับทำงานเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็ไม่เคยทิ้งเรื่องเรียน พยายามอ่านหนังสือล่วงหน้าก่อนสอบ พยายามทำความเข้าใจบ่อยๆ ทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาพูดคุย สังสรรค์กับเพื่อนที่เรียนโทด้วยกันเท่าไหร่ จนเพื่อนบอกว่าเราเครียดเกินไป เรามาเรียนเอาสังคม ทำไมต้องจริงจังกับการเรียนขนาดนั้น
ทำไมหน่ะเหรอ??
จริงๆตอนนั้นเราอยากตอบเพื่อนว่า เพื่อนเอย เราอยากไปนั่งเม้ามอยกับพวกเธอนั่นแหละ แต่ว่า..ด้วยเหตุผลที่ทุกคนต่างก็มีทั้งนั้น เราไม่สามารถไปนั่งอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ว่า พ่อเราบอกว่ารีบๆเรียนให้จบนะ คนอื่นๆไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เรียนจบรีบสอบข้าราชการให้ได้นะ แล้วที่สำคัญพ่อย้ำเสมอ อย่าใช้ตังค์เปลืองนะ....แค่คำนี้ เราจะไปนั่งชิว กินโน่น กินนี่ จ่ายตังค์เหมือนเพื่อนไม่ได้ เพราะต้นทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน และแรงกดดันที่แต่ละคนได้รับก็ต่างกัน
จนเราสุดท้ายเราก็เรียนจบภายใน 2 ปี โดยไม่ต่อซัมเมอร์ เพราะไม่อยากเสียค่าเทอมเพิ่ม เราจบในเกรดที่ค่อนข้างสูง เป็นนิสิตดีเด่น เรียนจบปุ๊บ!! เราก็ได้ทำงานในหน่วยงานรัฐฯ
แต่....การทำงานมาสักระยะ มันทำให้เรารู้ตัวเองว่าเราไม่ชอบการทำงานแค่ในห้องแอร์ หรือนั่งที่โต๊ะเพียงอย่างเดียว ไม่ชอบงานที่ซ้ำซาก เราชอบงานที่ต้องแอคทีฟตลอดเวลา ชอบคิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ
จนวันนึง...เราสมัครทุนในโครงการของกระทรวงเกษตรฯ มาฝึกงานด้านเกษตรที่ญี่ปุ่น เราคิดว่าเราแค่อยากได้ภาษา แต่ถ้าเราเรียนในห้องเรียนแล้วเราไม่ได้ใช้จริง เดียวเราก็ลืมอีก แต่การที่เราได้ไปฝึกงาน ได้ใช้ภาษาสัก 11 เดือน มันคงซึมซับลงไปอยู่สมองเราได้มากกว่า เลยตัดสินใจสมัคร
ตอนสมัคร!!!
ขอให้พ่อเซ็นต์เอกสารให้ พ่อไม่เซ็นต์ พ่อไม่อยากให้มาฝึก ท่านให้เหตุผลว่า"มันเสียเวลาในการสอบข้าราชการ สอบ กพ." เราเลยอธิบายเชิงขอร้องว่า "ให้เราได้ทำตามฝันของเรา เพราะโครงการนี้จำกัดอายุ อีก 2 ปี เราก็ไม่สามารถสมัครได้ แต่...กพ. ข้าราชการ มันมีอายุที่เราจะสมัครสอบได้นานกว่า เมื่อเราทำตามฝันเราเสร็จแล้ว เราจะพยายามสอบเป็นข้าราชการให้ได้" ตอนแรกพ่อก็ให้เราคิดแล้วตัดสินใจเอง แต่พอเรายืนยัน จะสมัคร....พ่อไม่เซ็นต์เอกสารให้ คืออะไร? แล้วจะให้ตัดสินเองทำเพื่อ?
เราเลยตัดสินใจให้แม่เป็นคนเซ็นต์เอกสารแทน.....ให้ลุงเป็นคนค้ำประกันให้ เลยได้สมัครก่อนวันปิดรับสมัครประมาน 3 วัน ซึ่งต้องส่งจากหน่วยงานล่างๆ ส่งถึงหน่วยงานต้นสังกัดที่ กทม. ตอนนั้นก็แอบกังวลว่าจะส่งทันป่าว.....
แต่...สุดท้ายก็มีชื่อไปคัดตัวและสอบสัมภาษณ์ จนต้องเรียนภาษาก่อนไปฝึก เลยตัดสินใจลาออกจากงาน ตอนนั้นก็ยังไม่บอกพ่อ จนถึงวันสัมภาษณ์เพื่อคัดตัวรอบที่ 2 !! กรรมการจะไม่ให้ไป ถ้าผู้ปกครองไม่เห็นชอบให้ไป และกลับมาต้องทำงานเกษตร พ่อก็อึกอัก จะไม่ยอมอีก เกือบไม่ผ่านรอบ 2 และเกือบไม่ได้มาฝึกงานที่ญี่ปุ่น แต่สุดท้าย..เราก็ได้มาฝึก จนเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ชีวิตโตขึ้นกว่าเดิม รู้จักคิด วางแผนอนาคตมากขึ้น มีวินัยมากขึ้น....แต่ยังไง ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เรื่องของเรื่องคือ!
ปกติเราก็โทรไลน์หาพ่อ คุยกับทุกคน (พ่อ แม่ ยาย) เวลาเราคิดถึงบ้าน และทุกครั้งพ่อก็พูดแต่เรื่องสอบข้าราชการ เอาเราไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น เราเข้าใจเค้าอยากให้มองตัวอย่างที่ดี...แต่ ต้องอย่าลืมว่าดวงชีวิตแต่ละคนต่างกัน บางคนโชคดี สอบได้ไว ก็ดีไป...บางคนรอถึงอายุ 35-40 ปี กว่าจะได้ข้าราชการก็เยอะแยะ
แต่คราวนี้....เราบอกว่าเราขอกลับไปช่วยงานเกษตรที่บ้านสักพัก ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือเตรียมสอบข้าราชการไปด้วย ที่ไหนเปิดเราก็จะไปสมัครสอบ พูดกันหลายรอบมาก จนมาถึงต้นเดือนนี้ก็พูดอีกเราเลยบอกว่าเบื่อจะพูดละ...เลยโดนพ่อว่ามา นี่แหละคนเรียนจบสูงก็เป็นแบบนี้ คุยไม่รู้เรื่อง.....โครตเสียใจ เราเลยขอวางสาย และพ่อก็ส่งไลน์มาอีกว่า ต่อไปจะไม่ยุ่งกับชีวิตเราอีก
#สรุป#
เราเป็นลูกที่แย่ใช่มั้ย อกตัญญูใช่มั้ย ?
ตอนเราบอกอยากกลับไปช่วยทำเกษตร โดนพ่อว่ามา..เรียนจบตั้งสูง แต่กลับมาทำเกษตร! อายคน
เราเลยบอกว่าว่า ทำไมต้องเอาความสุขของเราไปแขวนที่ปากของคนอื่น...
และที่ผ่านมา พ่อคงไม่รู้ว่าเราเหนื่อยแค่ไหน ที่ต้องพยายามบินให้สูงๆ เค้าคอยดูอยู่ว่าเราจะบินสูงแค่ไหน...แต่เค้าไม่เคยถามว่าเราบินไหวมั้ย เราเหนื่อยมั้ย...และที่ผ่านมา เราถามตัวเองมาตลอด ความสุขของเราคืออะไร ?
ความสุขของเราคืออะไร??
ตอบเลย มันคือการได้กลับบ้าน อยู่กับครอบครัว ได้ดูแลคนที่รักเรามากที่สุด เรามียายที่ต้องห่วง ยายเรา 87 ปีแล้ว ท่านคงอยู่กับเราอีกไม่ถึง 30 ปีหรอก.....เราอยากดูเค้าให้ดูที่สุด ไม่ใช่รอเค้าเป็นอะไร แล้วมานั่งนึกเสียใจที่ไม่ได้ดูแลเค้าให้ดีกว่านี้
แล้วเราก็ไม่เห็นว่าการทำเกษตร การเป็นเกษตรกรน่าอายตรงไหน!
ถ้าเราอยู่บ้าน เราได้ทำสิ่งที่รัก ได้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ ได้ดูแลยาย...แม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่าเดิม แต่เราก็จ่ายน้อยกว่าเดิมเช่นกัน เพราะไม่ต้องเช่าบ้าน ค่าเนทางก็จ่ายน้อยลง อาหารก็หาได้จากข้างบ้านบางส่วน ลดการจ่ายเงินไปเยอะ ไม่ต้งซื้อเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง.....เพราะอยู่บ้านนอก ไม่ต้องแต่งมาก ไม่ค่อยมีใครเห็น
ลองคิดดูว่า????
เราอยู่ กทม. เงินเดือนสัก 18000
ค่าหอ 6000 ค่าน้ำไฟอีก ค่าอาหารทั้งเดือน ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้าหน้าผม อื่นๆ ....แล้วทำงานทั้งเดือนมาเพื่อจ่ายค่าห้องให้คนอื่นรวย จ่ายค่าเดินทาง เสียเวลาไปกับการเดินทางที่ยาวนาน แทนที่จะมีเวลาพักผ่อนนานขึ้น กลับมาห้องพักเจอแต่ห้องสี่เหลี่ยม....อยู่บ้านนอกได้เห็นธรรมชาติ อยู่กับญาติพี่น้อง คนที่รักทั้งหลาย
ดังนั้น....เลยเกิดคำถาม ความสุขคืออะไร และถามต่อว่าต้องทำอย่างไร
เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะทำ คือกลับไปช่วยงานเกษตรที่บ้าน อ่านหนังสือ รองานราชการแถวบ้านเปิดสอบ เราทำถูกหรือผิด เราไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวัง แต่เราก็ไม่อยากอยู่แบบทุกข์ใจอีกแล้ว
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
สุดท้ายก็ขอความเห็นหน่อยว่าเราควรทำไงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะเดือนนี้เราก็จะกลับจากญี่ปุ่นแล้ว
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏
ความหวังของพ่อแม่ กับความสุขของเรา! เลือกอะไรดี
อาจจะเรียกโพสต์นี้ว่าเป็นโพสต์เพื่อนระบายความรู้สึกของ จขกท. ก็ได้นะคะ😓😓
เราเป็นเด็กบ้านนอก พ่อแม่เป็นเกษตรกร....แต่เค้าพยายามเขียนเส้นทางให้เราเรียนสูงๆเพื่อจะได้เป็นข้าราชการ
ที่ผ่านมา....
ตั้งแต่เล็กจนโต พ่อแม่อยากให้เรียน เราตั้งใจเรียนมาตลอด อยากให้เรียนสายวิทย์-คณิต ก็เรียน ((แม้จะเกลียดวิชาคณิต ฟิสิกส์แค่ไหนก็ยอมเรียน))
จนเข้ามหาวิทยาลัย....
ตอนนั้นเค้าก็ให้เลือกเองว่าจะเรียนอะไร เราเลือกเรียนสายอุตสาหกรรมเกี่ยวกับยางพารา เราก็พยายามอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียน ก็เป็นลำดับต้นๆของรุ่น เพื่อให้พ่อแม่มีกำลังใจ เป็นของขวัญตอบแทนค่าเหนื่อยที่เค้าทำงานส่งเราเรียน
จนเราเรียนใกล้จบ...ใจนึงเราอยากทำงาน อยากมีเงินใช้เองไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ แต่ใจนึงก็อยากเรียนต่อ แต่พ่อแม่ก็อยากให้เรียนต่อ เพื่อที่เราจะได้ทำงานสบายๆเมื่อจบมา
เราก็เข้าใจ และอยากเรียนต่ออยู่แล้ว.เลยตัดสินใจเรียนต่อสายเกษตร (เปลี่ยยสายที่เรียนตอนปริญญาตรี เพราะเราไม่ชอบสารเคมี) ตอนเราเรียน ป.โท เราก็ไม่ได้เรียนเพียงอย่างเดียว เราหางานพาร์ททามทำไปเรื่อยๆด้วย เพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ เราเรียนกับทำงานเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็ไม่เคยทิ้งเรื่องเรียน พยายามอ่านหนังสือล่วงหน้าก่อนสอบ พยายามทำความเข้าใจบ่อยๆ ทำให้เราไม่ค่อยมีเวลาพูดคุย สังสรรค์กับเพื่อนที่เรียนโทด้วยกันเท่าไหร่ จนเพื่อนบอกว่าเราเครียดเกินไป เรามาเรียนเอาสังคม ทำไมต้องจริงจังกับการเรียนขนาดนั้น
ทำไมหน่ะเหรอ??
จริงๆตอนนั้นเราอยากตอบเพื่อนว่า เพื่อนเอย เราอยากไปนั่งเม้ามอยกับพวกเธอนั่นแหละ แต่ว่า..ด้วยเหตุผลที่ทุกคนต่างก็มีทั้งนั้น เราไม่สามารถไปนั่งอธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ว่า พ่อเราบอกว่ารีบๆเรียนให้จบนะ คนอื่นๆไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เรียนจบรีบสอบข้าราชการให้ได้นะ แล้วที่สำคัญพ่อย้ำเสมอ อย่าใช้ตังค์เปลืองนะ....แค่คำนี้ เราจะไปนั่งชิว กินโน่น กินนี่ จ่ายตังค์เหมือนเพื่อนไม่ได้ เพราะต้นทุนแต่ละคนไม่เท่ากัน และแรงกดดันที่แต่ละคนได้รับก็ต่างกัน
จนเราสุดท้ายเราก็เรียนจบภายใน 2 ปี โดยไม่ต่อซัมเมอร์ เพราะไม่อยากเสียค่าเทอมเพิ่ม เราจบในเกรดที่ค่อนข้างสูง เป็นนิสิตดีเด่น เรียนจบปุ๊บ!! เราก็ได้ทำงานในหน่วยงานรัฐฯ
แต่....การทำงานมาสักระยะ มันทำให้เรารู้ตัวเองว่าเราไม่ชอบการทำงานแค่ในห้องแอร์ หรือนั่งที่โต๊ะเพียงอย่างเดียว ไม่ชอบงานที่ซ้ำซาก เราชอบงานที่ต้องแอคทีฟตลอดเวลา ชอบคิดอะไรใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเสมอ
จนวันนึง...เราสมัครทุนในโครงการของกระทรวงเกษตรฯ มาฝึกงานด้านเกษตรที่ญี่ปุ่น เราคิดว่าเราแค่อยากได้ภาษา แต่ถ้าเราเรียนในห้องเรียนแล้วเราไม่ได้ใช้จริง เดียวเราก็ลืมอีก แต่การที่เราได้ไปฝึกงาน ได้ใช้ภาษาสัก 11 เดือน มันคงซึมซับลงไปอยู่สมองเราได้มากกว่า เลยตัดสินใจสมัคร
ตอนสมัคร!!!
ขอให้พ่อเซ็นต์เอกสารให้ พ่อไม่เซ็นต์ พ่อไม่อยากให้มาฝึก ท่านให้เหตุผลว่า"มันเสียเวลาในการสอบข้าราชการ สอบ กพ." เราเลยอธิบายเชิงขอร้องว่า "ให้เราได้ทำตามฝันของเรา เพราะโครงการนี้จำกัดอายุ อีก 2 ปี เราก็ไม่สามารถสมัครได้ แต่...กพ. ข้าราชการ มันมีอายุที่เราจะสมัครสอบได้นานกว่า เมื่อเราทำตามฝันเราเสร็จแล้ว เราจะพยายามสอบเป็นข้าราชการให้ได้" ตอนแรกพ่อก็ให้เราคิดแล้วตัดสินใจเอง แต่พอเรายืนยัน จะสมัคร....พ่อไม่เซ็นต์เอกสารให้ คืออะไร? แล้วจะให้ตัดสินเองทำเพื่อ?
เราเลยตัดสินใจให้แม่เป็นคนเซ็นต์เอกสารแทน.....ให้ลุงเป็นคนค้ำประกันให้ เลยได้สมัครก่อนวันปิดรับสมัครประมาน 3 วัน ซึ่งต้องส่งจากหน่วยงานล่างๆ ส่งถึงหน่วยงานต้นสังกัดที่ กทม. ตอนนั้นก็แอบกังวลว่าจะส่งทันป่าว.....
แต่...สุดท้ายก็มีชื่อไปคัดตัวและสอบสัมภาษณ์ จนต้องเรียนภาษาก่อนไปฝึก เลยตัดสินใจลาออกจากงาน ตอนนั้นก็ยังไม่บอกพ่อ จนถึงวันสัมภาษณ์เพื่อคัดตัวรอบที่ 2 !! กรรมการจะไม่ให้ไป ถ้าผู้ปกครองไม่เห็นชอบให้ไป และกลับมาต้องทำงานเกษตร พ่อก็อึกอัก จะไม่ยอมอีก เกือบไม่ผ่านรอบ 2 และเกือบไม่ได้มาฝึกงานที่ญี่ปุ่น แต่สุดท้าย..เราก็ได้มาฝึก จนเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ชีวิตโตขึ้นกว่าเดิม รู้จักคิด วางแผนอนาคตมากขึ้น มีวินัยมากขึ้น....แต่ยังไง ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
เรื่องของเรื่องคือ!
ปกติเราก็โทรไลน์หาพ่อ คุยกับทุกคน (พ่อ แม่ ยาย) เวลาเราคิดถึงบ้าน และทุกครั้งพ่อก็พูดแต่เรื่องสอบข้าราชการ เอาเราไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น เราเข้าใจเค้าอยากให้มองตัวอย่างที่ดี...แต่ ต้องอย่าลืมว่าดวงชีวิตแต่ละคนต่างกัน บางคนโชคดี สอบได้ไว ก็ดีไป...บางคนรอถึงอายุ 35-40 ปี กว่าจะได้ข้าราชการก็เยอะแยะ
แต่คราวนี้....เราบอกว่าเราขอกลับไปช่วยงานเกษตรที่บ้านสักพัก ระหว่างนั้นก็อ่านหนังสือเตรียมสอบข้าราชการไปด้วย ที่ไหนเปิดเราก็จะไปสมัครสอบ พูดกันหลายรอบมาก จนมาถึงต้นเดือนนี้ก็พูดอีกเราเลยบอกว่าเบื่อจะพูดละ...เลยโดนพ่อว่ามา นี่แหละคนเรียนจบสูงก็เป็นแบบนี้ คุยไม่รู้เรื่อง.....โครตเสียใจ เราเลยขอวางสาย และพ่อก็ส่งไลน์มาอีกว่า ต่อไปจะไม่ยุ่งกับชีวิตเราอีก
#สรุป#
เราเป็นลูกที่แย่ใช่มั้ย อกตัญญูใช่มั้ย ?
ตอนเราบอกอยากกลับไปช่วยทำเกษตร โดนพ่อว่ามา..เรียนจบตั้งสูง แต่กลับมาทำเกษตร! อายคน
เราเลยบอกว่าว่า ทำไมต้องเอาความสุขของเราไปแขวนที่ปากของคนอื่น...
และที่ผ่านมา พ่อคงไม่รู้ว่าเราเหนื่อยแค่ไหน ที่ต้องพยายามบินให้สูงๆ เค้าคอยดูอยู่ว่าเราจะบินสูงแค่ไหน...แต่เค้าไม่เคยถามว่าเราบินไหวมั้ย เราเหนื่อยมั้ย...และที่ผ่านมา เราถามตัวเองมาตลอด ความสุขของเราคืออะไร ?
ความสุขของเราคืออะไร??
ตอบเลย มันคือการได้กลับบ้าน อยู่กับครอบครัว ได้ดูแลคนที่รักเรามากที่สุด เรามียายที่ต้องห่วง ยายเรา 87 ปีแล้ว ท่านคงอยู่กับเราอีกไม่ถึง 30 ปีหรอก.....เราอยากดูเค้าให้ดูที่สุด ไม่ใช่รอเค้าเป็นอะไร แล้วมานั่งนึกเสียใจที่ไม่ได้ดูแลเค้าให้ดีกว่านี้
แล้วเราก็ไม่เห็นว่าการทำเกษตร การเป็นเกษตรกรน่าอายตรงไหน!
ถ้าเราอยู่บ้าน เราได้ทำสิ่งที่รัก ได้แบ่งเบาภาระพ่อแม่ ได้ดูแลยาย...แม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่าเดิม แต่เราก็จ่ายน้อยกว่าเดิมเช่นกัน เพราะไม่ต้องเช่าบ้าน ค่าเนทางก็จ่ายน้อยลง อาหารก็หาได้จากข้างบ้านบางส่วน ลดการจ่ายเงินไปเยอะ ไม่ต้งซื้อเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง.....เพราะอยู่บ้านนอก ไม่ต้องแต่งมาก ไม่ค่อยมีใครเห็น
ลองคิดดูว่า????
เราอยู่ กทม. เงินเดือนสัก 18000
ค่าหอ 6000 ค่าน้ำไฟอีก ค่าอาหารทั้งเดือน ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้าหน้าผม อื่นๆ ....แล้วทำงานทั้งเดือนมาเพื่อจ่ายค่าห้องให้คนอื่นรวย จ่ายค่าเดินทาง เสียเวลาไปกับการเดินทางที่ยาวนาน แทนที่จะมีเวลาพักผ่อนนานขึ้น กลับมาห้องพักเจอแต่ห้องสี่เหลี่ยม....อยู่บ้านนอกได้เห็นธรรมชาติ อยู่กับญาติพี่น้อง คนที่รักทั้งหลาย
ดังนั้น....เลยเกิดคำถาม ความสุขคืออะไร และถามต่อว่าต้องทำอย่างไร
เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะทำ คือกลับไปช่วยงานเกษตรที่บ้าน อ่านหนังสือ รองานราชการแถวบ้านเปิดสอบ เราทำถูกหรือผิด เราไม่อยากให้พ่อแม่ผิดหวัง แต่เราก็ไม่อยากอยู่แบบทุกข์ใจอีกแล้ว
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
สุดท้ายก็ขอความเห็นหน่อยว่าเราควรทำไงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะเดือนนี้เราก็จะกลับจากญี่ปุ่นแล้ว
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏