ต้นตอดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นไทยไหลรูด!

กระทู้ข่าว

ขณะที่สังคมกำลังตั้งข้อกังขาต่อการดำเนินนโยบายปราบโกงของรัฐบาลคสช.ชุดนี้ ที่แม้นายกฯและหัวหน้า คสช.จะประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ในการปราบปรามการทุจริต คนโกงต้องไม่มีที่ยืนในสังคม และถึงขั้นใช้กลไกพิเศษอย่างโอสถทิพย์ ม.44 แก้ไขปัญหาทุจริตแบบเร่งด่วน พร้อมจะสั่งย้ายข้าราชการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ถูกตั้งข้อสงสัยออกจากตำแหน่งในทันที

ยิ่งเมื่อ "องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ” ออกมาเผยแพร่ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) ประจำปี 2559 (2016) ที่ผลปรากฏว่าอันดับของประเทศไทยไหลรูดลงจากที่ 76 ในปี 2558 ลงไปอยู่ในอันดับที่ 101 จาก 175 ประเทศในปี 59 ได้คะแนนความโปร่งใสแค่ 35 คะแนนจาก 100 ตกลงจาก 38 คะแนนในปีก่อน กลายเป็นเครื่องตอกย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์คอร์รัปชั่นในประเทศที่ยังคงรุนแรง สวนนโยบายรัฐบาลชุดนี้โดยสิ้นเชิง!

ล่าสุด ยังมีกรณีที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)ที่กำลังตั้งแท่นพิจารณาปรับลดเงินรายได้นำส่งแผ่นดินจากการให้บริการมือถือคลื่น 1800 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานเมื่อ 2 ปีก่อน ที่จ่อจะเป็นเผือกร้อนตอกย้ำพฤติกรรมการอุ้มสมเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับรัฐบาลอีกกรณี

เพราะในขณะที่กทค.มีคำสั่งให้บริษัทเอไอเอส นำส่งเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ในช่วง 9 เดือนของมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่างวันที่ 1 ต.ค.58-30 มิ.ย.59 จำนวนเงินกว่า 7,221 ล้านบาทเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน แต่ในส่วนของเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน ระหว่าง 16 ก.ย. 56-3 ธ.ค. 58 ที่กินเวลากว่า 2 ปีนั้น กทค.และกสทช.กลับปิดบัญชีไม่ลงทั้งยังคงมีความพยายามจะปรับลดรายได้ที่บริษัทสื่อสารที่ต้องนำส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินลงไปเสียอีก

เพราะตัวเลขเดิมที่คณะทำงานตรวจสอบรายได้ที่ กทค.ตั้งขึ้นได้สรุปตัวเลขเอาไว้ทั้งสิ้น 14,868.83 ล้านบาท แยกเป็นรายได้ที่บริษัททรูมูฟต้องนำส่งรัฐ 13,989 ล้านบาทที่เหลือ 879.59 ล้านบาทเป็นส่วนของบริษัทดีพีซี จำกัดแต่เมื่อบริษัทเอกชนทักท้วงอ้างว่าขาดทุนจากการให้บริการ สำนักงาน กสทช.ไม่เพียงจะยอมรับการอุทธรณ์ยังตั้งคณะทำงานกลั่นกรองตัวเลขดังกล่าว ก่อนจะปรับลดลงมาเหลืออยู่เพียง 3,967.81 ล้านบาทเท่านั้น

ท่ามกลางความงวยงงของวงการสื่อสารโทรคมนาคมที่รายได้จากการให้บริการที่กินเวลาร่วม 2 ปีกลับมียอดเงินอยู่แค่ 3,900 ล้านบาทเศษเท่านั้นเองหรือทั้งที่ฐานลูกค้าทั้งสองคลื่นต่างอยู่ในระดับใกล้เคียงกันคือ 17-18 ล้านเลขหมาย

แน่นอนว่าหากแผนอุ้มสมปรับลดเงินรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์มือถือในช่วงมาตรการเยียวยาคลื่น 1800 MHz เป็นไปตามเป้าหมาย ผลที่ตามมาคงจะยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงพฤติกรรมอุ้มสมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นอยู่กับรัฐบาลหนักเข้าไปอีกแน่ เพราะผู้บริหารบริษัทสื่อสารที่กำลังรอรับอานิสงส์จากการปรับลดเงินรายได้นำส่งแผ่นดินดังกล่าวก็นั่งอยู่ในคณะกรรมการสานพลังประชารัฐอยู่ด้วยนั่นเอง

และคงจะทำให้หนทางกอบกู้เครดิตของรัฐในสายตานานาชาติริบหรี่ลงไปอีก เผลอๆ ดัชนีคอร์รัปชั่นของประเทศไทยจะไหลรูดลงไปรั้งบ๊วยเอาเสียด้วยซ้ำ ทำเป็นเล่นไป!!!

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/738531
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่