ทันทีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. งัด ม.44 ล้างบางบอร์ดรถไฟและปลดผู้ว่าการรถไฟฯ นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร พ้นตำแหน่งเซ่นสังเวยโครงการประมูลก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายทาง มูลค่ากว่า 1.36 แสนล้านที่มีความล่าช้าและมีกระแสข่าวว่า ล็อกสเปคเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนรับเหมาบางราย
ก่อนที่นายกฯจะใช้อำนาจตาม ม.44 ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษหรือ “ซุปเปอร์บอร์ด” ขึ้นกำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการรัฐที่มีมูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาทอีกชุด โดยมี นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธานมอบหมายให้คณะกรรมการชุดพิเศษนี้เข้าไปดูขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ ให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการทุจริต ประเดิมด้วยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายทางข้างต้นนั่นแหล่ะ
เห็นนายกฯงัด “โอสถทิพย์” ม.44 ขึ้นมาใช้ถี่ๆ ในช่วงนี้ โดยเฉพาะการรื้อล้างบางบอร์ดและผู้บริหารหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจไปเป็นกุรุดแล้ว เลยทำให้นึกย้อนไปถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)หน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระที่แม้จะโชว์ผลงาน “ชิ้นโบว์แดง” ในการนำส่งเงินรายได้เข้ารัฐในปี 2559 ไปกว่า 3,600 ล้านบาท แต่ก่อนหน้าหน่วยงานดังกล่าวก็ทำเอานายกฯ ต้องหงุดหงิดมาหลายต่อหลายครั้งกับการที่ต้อง งัด ม.44 เข้ามาแก้ไขปัญหาที่หน่วยงานรังสรรค์กันเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประมูลคลื่นความถี่ 900 เพื่อออกใบอนุญาต 4 จีที่ปล่อยให้ผู้ประมูลบางรายเล่นเอาเถิดกับการเคาะราคาประมูลสุดเลยเถิดก่อนจะทิ้งการประมูลไปจนเกือบทำเอาเส้นทางการประมูล 4 จีต้องเผชิญทางตัน สุดท้ายต้องให้นายกฯต้องงัด ม.44 แก้ไขปัญหาให้
ถัดมาก็ต้องให้นายกฯงัด ม.44 ผ่าทางตันปัญหาของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลให้อีก เพราะผลพวงจากการประมูลเพื่อออกใบอนุญาตทีวีดิจิทัลที่ กสทช.ดำเนินการไปก่อนหน้าที่แจกใบอนุญาตออกไปเป็นกุรุดและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประมูลสูงลิ่วโดยไม่ดูสภาพตลาด ได้ทำให้ผู้ประกอบการน้อยใหญ่หืดจับหายใจไม่ทั่วท้องกันเป็นทิวแถว สุดท้ายจึงไม่พ้นต้องให้นายกฯ งัด ม.44 ออกมาตรการเยียวยาให้ผู้ประกอบการเลื่อนจ่ายค่าธรรมเนียมประมูลออกไป
ล่าสุดนี่ก็มีวี่แววว่าองค์กร กสทช.กำลังก่อปัญหาจ่อจะเรียกแขกให้งาน จากกรณีที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ใน กสทช.ไม่สามารถปิดบัญชีเงินรายได้จากการให้บริการมือถือคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานได้ ทั้งที่กรณีแรกนั้นผ่านมากว่า 2 ปีแล้วยังปิดบัญชีไม่ลง แถมยังมีกระแสข่าวว่ามีความพยายามจะอุ้มสมเอื้อประโยชน์เอกชนด้วยอีก จนถูกเครือข่ายสื่อมวลชนสององค์กรร้องเรียนพฤติกรรมอุ้มสมเอกชนที่ว่านี้ไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบกราวรูดกันไปแล้ว
เรื่องของเรื่องนั้นก็เพราะขณะที่ กทค.มีคำสั่งให้บริษัทเอกชนผู้ให้บริการ 2 จีคือบริษัททรูมูฟและดีพีซีนำส่งเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ในช่วงสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่างวันที่ 16 ก.ย. 56-3 ธ.ค. 58 ที่กินเวลากว่า 2 ปีวงเงินกว่า 14,868 ล้านบาทแยกเป็นรายได้ของบริษัททรูมูฟ 13,989 ล้านบาทที่เหลือ 879.59 ล้านบาทเป็นส่วนของบริษัทดีพีซี จำกัด แต่เมื่อบริษัทเอกชนทักท้วงอ้างว่าขาดทุนจากการให้บริการ สำนักงาน กสทช.ได้ตั้งคณะทำงานกลั่นกรองตัวเลขดังกล่าวใหม่ ก่อนจะปรับลดลงมาเหลืออยู่เพียง 3,967.81 ล้านบาทเท่านั้น
ท่ามกลางความกังขาของวงการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะขณะที่ กทค.มีคำสั่งให้บริษัทเอไอเอสนำส่งเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ 900 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 58-30 มิถุนายน 59 ที่กินเวลาเพียง 9 เดือนนั้นมีวงเงินสูงกว่า 7,221 ล้านบาท แต่กลับเงินรายได้นำส่งรัฐของอีกค่ายที่เวลาร่วม 2 ปีกลับมียอดเงินอยู่แค่ 3,900 ล้านบาทเศษเท่านั้น ทั้งที่ฐานลูกค้าอยู่ในระดับใกล้เคียง
ก็เพราะเหตุข้างต้นจึงทำให้ทั้ง กทค.และ กสทช.มีหนังสือสอบถามความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งคลังและสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อขอความเห็นว่าควรจะยึดฐานตัวเลขใดกันให้วุ่น ทั้งที่หน่วยงานเหล่านี้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรด้วยแม้แต่น้อย และมีแนวโน้มว่าท้ายที่สุดแล้ว กสทช.ก็อาจเสนอให้นายกฯงัด ม.44 ผ่าทางตันปัญหาให้อีก!
ก็ต้องเตือนไปยังท่านประธาน กสทช.ด้วยความปรารถนาดีเอาไว้ วันนี้แค่การใช้ ม.44 เร่งเครื่องขับเคลื่อนโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐพร้อมวางมาตรการสกัดโกงให้เกิดความโปร่งใสนั้น นายกฯก็ปวดขมับมึนตึ๊บอยู่แล้ว หากยังต้องมาแก้ไขปัญหาที่ กสทช.วางยาให้ด้วยอีก
ก็ให้ระวัง ม.44 จะผ่าเปรี้ยงลงมายัง กสทช.ยกชุดจนถึงขั้นไม่มีการสรรหาเอาทำเป็นเล่นไป!!!
จาก ม.44 ล้างบางรถไฟ...ระวังไฟลามทุ่งถึง กสทช.
ก่อนที่นายกฯจะใช้อำนาจตาม ม.44 ตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษหรือ “ซุปเปอร์บอร์ด” ขึ้นกำกับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างโครงการรัฐที่มีมูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาทอีกชุด โดยมี นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธานมอบหมายให้คณะกรรมการชุดพิเศษนี้เข้าไปดูขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ ให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการทุจริต ประเดิมด้วยโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ 7 สายทางข้างต้นนั่นแหล่ะ
เห็นนายกฯงัด “โอสถทิพย์” ม.44 ขึ้นมาใช้ถี่ๆ ในช่วงนี้ โดยเฉพาะการรื้อล้างบางบอร์ดและผู้บริหารหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจไปเป็นกุรุดแล้ว เลยทำให้นึกย้อนไปถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)หน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระที่แม้จะโชว์ผลงาน “ชิ้นโบว์แดง” ในการนำส่งเงินรายได้เข้ารัฐในปี 2559 ไปกว่า 3,600 ล้านบาท แต่ก่อนหน้าหน่วยงานดังกล่าวก็ทำเอานายกฯ ต้องหงุดหงิดมาหลายต่อหลายครั้งกับการที่ต้อง งัด ม.44 เข้ามาแก้ไขปัญหาที่หน่วยงานรังสรรค์กันเอาไว้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประมูลคลื่นความถี่ 900 เพื่อออกใบอนุญาต 4 จีที่ปล่อยให้ผู้ประมูลบางรายเล่นเอาเถิดกับการเคาะราคาประมูลสุดเลยเถิดก่อนจะทิ้งการประมูลไปจนเกือบทำเอาเส้นทางการประมูล 4 จีต้องเผชิญทางตัน สุดท้ายต้องให้นายกฯต้องงัด ม.44 แก้ไขปัญหาให้
ถัดมาก็ต้องให้นายกฯงัด ม.44 ผ่าทางตันปัญหาของผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลให้อีก เพราะผลพวงจากการประมูลเพื่อออกใบอนุญาตทีวีดิจิทัลที่ กสทช.ดำเนินการไปก่อนหน้าที่แจกใบอนุญาตออกไปเป็นกุรุดและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมประมูลสูงลิ่วโดยไม่ดูสภาพตลาด ได้ทำให้ผู้ประกอบการน้อยใหญ่หืดจับหายใจไม่ทั่วท้องกันเป็นทิวแถว สุดท้ายจึงไม่พ้นต้องให้นายกฯ งัด ม.44 ออกมาตรการเยียวยาให้ผู้ประกอบการเลื่อนจ่ายค่าธรรมเนียมประมูลออกไป
ล่าสุดนี่ก็มีวี่แววว่าองค์กร กสทช.กำลังก่อปัญหาจ่อจะเรียกแขกให้งาน จากกรณีที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ใน กสทช.ไม่สามารถปิดบัญชีเงินรายได้จากการให้บริการมือถือคลื่น 1800 MHz และ 900 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานได้ ทั้งที่กรณีแรกนั้นผ่านมากว่า 2 ปีแล้วยังปิดบัญชีไม่ลง แถมยังมีกระแสข่าวว่ามีความพยายามจะอุ้มสมเอื้อประโยชน์เอกชนด้วยอีก จนถูกเครือข่ายสื่อมวลชนสององค์กรร้องเรียนพฤติกรรมอุ้มสมเอกชนที่ว่านี้ไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.สอบกราวรูดกันไปแล้ว
เรื่องของเรื่องนั้นก็เพราะขณะที่ กทค.มีคำสั่งให้บริษัทเอกชนผู้ให้บริการ 2 จีคือบริษัททรูมูฟและดีพีซีนำส่งเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ในช่วงสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่างวันที่ 16 ก.ย. 56-3 ธ.ค. 58 ที่กินเวลากว่า 2 ปีวงเงินกว่า 14,868 ล้านบาทแยกเป็นรายได้ของบริษัททรูมูฟ 13,989 ล้านบาทที่เหลือ 879.59 ล้านบาทเป็นส่วนของบริษัทดีพีซี จำกัด แต่เมื่อบริษัทเอกชนทักท้วงอ้างว่าขาดทุนจากการให้บริการ สำนักงาน กสทช.ได้ตั้งคณะทำงานกลั่นกรองตัวเลขดังกล่าวใหม่ ก่อนจะปรับลดลงมาเหลืออยู่เพียง 3,967.81 ล้านบาทเท่านั้น
ท่ามกลางความกังขาของวงการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะขณะที่ กทค.มีคำสั่งให้บริษัทเอไอเอสนำส่งเงินรายได้จากการใช้งานคลื่นความถี่ 900 MHz ในช่วงมาตรการเยียวยาหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทานระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 58-30 มิถุนายน 59 ที่กินเวลาเพียง 9 เดือนนั้นมีวงเงินสูงกว่า 7,221 ล้านบาท แต่กลับเงินรายได้นำส่งรัฐของอีกค่ายที่เวลาร่วม 2 ปีกลับมียอดเงินอยู่แค่ 3,900 ล้านบาทเศษเท่านั้น ทั้งที่ฐานลูกค้าอยู่ในระดับใกล้เคียง
ก็เพราะเหตุข้างต้นจึงทำให้ทั้ง กทค.และ กสทช.มีหนังสือสอบถามความเห็นไปยังหน่วยงานต่างๆ ทั้งคลังและสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อขอความเห็นว่าควรจะยึดฐานตัวเลขใดกันให้วุ่น ทั้งที่หน่วยงานเหล่านี้ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรด้วยแม้แต่น้อย และมีแนวโน้มว่าท้ายที่สุดแล้ว กสทช.ก็อาจเสนอให้นายกฯงัด ม.44 ผ่าทางตันปัญหาให้อีก!
ก็ต้องเตือนไปยังท่านประธาน กสทช.ด้วยความปรารถนาดีเอาไว้ วันนี้แค่การใช้ ม.44 เร่งเครื่องขับเคลื่อนโครงการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐพร้อมวางมาตรการสกัดโกงให้เกิดความโปร่งใสนั้น นายกฯก็ปวดขมับมึนตึ๊บอยู่แล้ว หากยังต้องมาแก้ไขปัญหาที่ กสทช.วางยาให้ด้วยอีก
ก็ให้ระวัง ม.44 จะผ่าเปรี้ยงลงมายัง กสทช.ยกชุดจนถึงขั้นไม่มีการสรรหาเอาทำเป็นเล่นไป!!!