ผมเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นเหยื่อของความไม่ยุติธรรมบ่อยๆ คือตอน ม.ต้น ทางห้องให้ผมพูดเรื่องมีสาระหน้าระดับ ผมเตรียมเรื่องพูดอย่างดี แต่วันจริงกลับเปลี่ยนคนพูด ทำให้เวลาที่ผมซ้อมพูดเสียเปล่า คำปลอบใจที่ดีที่สุด คืให้มาพูดแค่ที่บ้านก็ได้ อาจดูดีสำหรับหลายคนนะ แต่มันเหมือนเป็นการยิ่งทำให้ความรู้สึกผมยิ่งแย่ เพราะจริงๆตอนนั้น ผมชอบพูดให้เสียงออกจากลำโพง เพราะมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น ดูสง่างามกว่าพูดธรรมดาเยอะกว่าหลายเท่านัก ประกอบกับจินตนาการเสริมหลายๆอย่างที่ถ้าอธิบายไปคงใช้เวลาเล่านานมากๆ ยาวมากๆ เข้าใจยากมากๆ เวทีก็หาไม่ได้ง่ายๆ มีแค่ไม่กี่ครั้งในด้วย หายากกว่าการเห็นรถเมล์สาย126 มาบางเขน หรือรถเมล์สาย108 มารัชโยธินด้วยซ้ำ
ต่อมาช่วง ม.ปลาย เป็นยุคทองของการที่ผมได้พูดไมค์ ผมพยายามทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุดอย่างที่ผมพยายาม ม.4 ยังนับว่าไปได้ดี พอมา ม.5 ตอนนั้นเริ่มยุคตกต่ำ ผมพูดให้ทางคณะสี เนื่องจากพี่ประธานคนก่อนค่อนข้างจะเอ็นดูผม และแน่นอนว่าช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างจะศรัทธาและชื่นชมกะเทยด้วย เพราะรุ่นพี่ที่เอ็นดูผม และคนที่ให้การสนับสนุนผมช่วงนั้นส่วนใหญ่เป็นกะเทย และเคยพูดออกวิทยุชุมชนเรื่องสิทธิกลุ่มเพศที่สามด้วย ประกอบกับผมเองก็เป็นเกย์(แบบไม่แสดงออก)อยู่แล้วด้วย ส่วนประธานสีตอนนั้นเป็นเกย์ที่ออกสาวตัวเล็กๆ กับธีมงานที่เป็นผู้หญิง 4-5 คน กับกะเทยร่างใหญ่อีกคนนึง
แต่ความสุขมันอยู่กับผมได้ไม่นาน พอผมได้รับตำแหน่งประชาสัมพันธ์สี ผมทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่พอผ่านไปไม่นาน ผมเริ่มโดนหมั่นไส้โดยทีมงานของประธาน และเริ่มโดนเขม่น ยังดีที่ประธานคอยช่วยปรามๆพวกนั้นบ้าง แต่ผมก็อดทนเพราะผมยึดมั่นในสิ่งที่ผมรัก คือการได้พูดไมค์ให้เสียงออกทางลำโพง และการได้ทำหน้าที่ต่อส่วนรวม จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่เครื่องเสียงขัดข้อง แน่นอนว่าทุกคนโบ้ยความผิดมาทางผม ประธานแทนที่จะเป็นกลาง กลับเล่นพรรคเล่นพวกไล่ผมออกจากตำแหน่ง และยังไล่ออกต่อหน้าทุกคนในคณะสีด้วย ตอนนั้นผมเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัวใจ เป็นความอับอายที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่ต้องมาโดนทำลายศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้คนแบบนี้ ตอนนั้นผมไม่เข้าคณะสี ผมหลบหนีไปซ่อนในห้องเรียนที่ไม่ได้ล็อก ที่ไม่มีคนอยู่ ตอนนั้นผมทั้งเจ็บ ทั้งอายที่โดนทรยศ ตอนนั้นผมเกลียดพวกมันทุกคน ผมระบายแค่ไม่กี่คำ คือ "ทำไมถึงจบลงแบบนี้"
วันต่อมาผมโดนประธานพวกนั้นมาด่าทอผม เรื่องโพสต์นั้น ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นเพื่อนกับประธานคนนั้นในเฟซ และก็เกือบๆจะทำร้ายร่างกายผม ยังดีที่ผมตัวค่อนข้างใหญ่กว่าประธานงี่เง่าคนนั้นพอสมควร(ตอนนั้นผมสูงประมาณ 174 ซม. ส่วนประธานคนนั้นความสูงประมาณไหล่ผม) เลยพอจะสู้ได้ ประกอบกับความแค้น ผมเกือบจะทำร้ายประธานคนนั้น แต่โดนเพื่อนประธาน ที่เป็นกะเทยตัวใหญ่ๆ ออกตัวแรงปกป้องมัน แล้วผมโดนตบแรงมาก มากจนหน้าผมชา แถมด้วยเลือดไหลทางจมูกเล็กน้อย ตอนนั้นผมยังไม่ได้เคลียร์กับประธาน เป็นครั้งที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง ผมวิ่งไปแอบร้องไห้ที่มุมอับบริเวณหลังโรงเรียน ยังดีที่ช่วงเช้าเป็นคาบว่าง เลยมีเวลาร้องไห้เพื่อระบายความเจ็บปวดนั้น ก่อนที่จะไปเรียน
เมื่อผมเข้าเรียน มีเพื่อนคนนึงสังเกตความผิดปกติของผม เลยถาม ช่วงแรกผมไม่เล่า เพราะความรู้สึกมันพังไปหมดแล้ว จนคาบเที่ยงผมยอมเล่าให้เพื่อนฟัง แต่ประธานคนนั้นก็มาก่อน และเริ่มเค้นผม ผมไม่พูดอะไรเพราะตอนนี้ผมรู้สึกรังเกียจประธานคนนี้มากๆ รวมไปถึงพวกของมันทุกคนด้วย ผมเงียบตามคำสอนของพ่อแม่ที่ว่า "ถ้าเราเงียบเขาก็หยุดเอง" แต่ไม่เป็นผล ประธานยิ่งรุกหนักขึ้นถึงขั้นลงมือ เพื่อนผมที่นั่งก็บอก "เรื่องนี้เราจะไม่ยุ่ง" เป็นคำที่ผมจำไม่มีวันลืมได้ ตอนนั้นอุดมการณ์ต่างๆเริ่มมอดลง ตอนนั้นผมแทบจะแอนตี้กะเทยไปเลย แต่ก็ยังคุยกับกะเทยคนอื่นๆได้ตามปกติ แต่คุยนานก็ไม่ไหว เพราะเหตุการณ์ที่ผมโดนครั้งนั้นมันหลอกหลอนผมตลอด จากที่ผมเคยชื่นชมกะเทยมากๆ ก็แทบไม่เหลือแล้ว ชนิดที่ช่วงนั้นเวลาที่บ้านมีเปิดรายการที่มีกะเทยอยู่ในจอผมฟิวส์ขาดอาละวาดทุกครั้งอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงจะพยายามนึกถึงสิ่งดีๆกับกะเทยคนอื่นๆก่อนหน้า รวมถึงอาจารย์คนสอนที่เป็นกะเทยคนหนึ่ง ผมรู้สึกทรมานมากที่พยายามจะลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมถึงเพื่อนที่ไม่คิดจะช่วยผมด้วย เสียแรงที่คบมาเป็นปีๆ ซ้ำยังโดนเพื่อนคนอื่นๆออกแนวเข้าข้างประธานคนนั้น โดยไม่ฟังความเห็นผมเลย แถมยังให้ผมไปขอโทษพวกมันด้วย เป็นอะไรที่ทำให้ผมเข้าใจถึงจิตใจคนที่โดนข่มขืนอย่างดีว่า การโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำมันทรมานแค่ไหน พอไประบายกับอาจารย์ประจำสี อาจารย์ก็บอกประมาณว่าผมทำเกินหน้าที่ ทั้งที่ผมก็ทำหน้าที่อย่างดี อยู่ในขอบเขตทุกอย่าง ผมอธิบาย อาจารย์ก็ทำเป็นฟังๆแต่ก็ไม่มีทีท่าจะเห็นด้วยต่อคำพูดผม ตอนแรกผมจะให้นัดวันใกล่เกลี่ยผม ประธานและทีมงานมาคุย แต่ก็ล้มเลิก เพราะผมไม่อยากมีปัญหาเพิ่ม เพื่อนร่วมห้องก็เป็นพวกประธานนั้นหลายคน กลายเป็นว่า นี่หรือสิ่งที่ผมสมควรโดน ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมรัก คืองานต่อสาธารณะ การพูดไมค์ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผมทำโดยไม่หวังผลอะไร คือทำแล้วมีความสุข ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ได้ช่วยแบ่งเบางานสาธารณะ แต่ต้อมาเจอชะตากรรมแบบนี้มันเป็นแผลในใจของผมไปแล้ว ตอนนี้ผมกลายเป็นคนกลัวการเข้าสังคมอย่างมาก ก่อนนอน บางคืนผมก็ร้องไห้ บางคืนก็โวยวาย บางครั้งเผลอทำลายสิ่งของไปด้วย ยิ่งนั่งสมาธิยิ่งไม่ช่วย จนครั้งหนึ่งผมไปนั่งสมาธิที่วัด ตอนนั้นมีแต่หน้าพวกนั้นมันวนเข้ามาในหัว จนผมเผลออาละวาดออกมา เรียกได้ว่าต่อหน้าพระเลย ยังโชคดีที่ผมพอคุมสติได้ระดับนึง เลยหยุดไม่ให้อาละวาดไปมากกว่านี้
ต่อมาผมเอาดีด้านการเรียน นำจินตนาการส่วนตัวประยุกต์เข้ากับการเรียนเต็มที่ แต่มักมีปัญหาเรื่องงานกลุ่ม ที่หลายๆคนมักเอาเปรียบผมโดยการให้ผมทำคนเดียว ซ้ำร้ายตอนปีสุดท้าย ผมโดนให้เป็นหัวหน้าห้องทั้งหมดไฟแล้ว แต่ก็ไม่ให้อำนาจใดๆผมมา คนทั้งห้องมีแต่คนเห็นแก่ตัวเต็มไปหมด ผมอยู่เหมือนตายทั้งเป็น พอมีปัญหาจะระบายให้เพื่อนในกลุ่ม ก็โดนบอกไม่อยากฟัง ตอนที่ผมโดนกลุ่มอิทธิพลห้องรังแก บีบให้ขัดคำสั่งอาจารย์ ก็ไม่มีใครช่วยค้าน ตอนนี้ผมไม่อยากมีปัญหากับใคร เลยจำเป็นต้องทำ ผมต้องโดนบีบให้ทำสิ่งที่สวนทางกับความต้องการ คือทำหน้าที่ให้ดี รายงานผลตามความจริง และผมยังเคยโดนบังคับให้แต่งหญิงขึ้นแสดงเพื่อห้องโดยกลุ่มอิทธิพลห้อง และไม่ได้ใช้เวลาออกแบบชุดหลายวัน แต่ออกแบบให้วันสุดท้ายก่อนขึ้นแสดง และออกแบบให้ทั้งหยาบ+ชุ่ย แถมแทบไม่ลงทุนให้สมกับที่ลงทุนทำบาปที่บังคับจิตใจให้ผม ที่ปกติไม่ชอบแต่งหญิงอยู่แล้ว ประกอบกับการโดนกะเทยทำร้ายจิตใจ ตอนนี้ผมยิ่งเข้าใจหัวอกของคนโดนข่มขืนเข้าไปอีก ที่ต้องทำในสิ่งที่เกลียดเพราะโดนบังคับ จากที่ผมกำลังจะลืมได้ กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ครั้งนั้นกลับมาหลอนอีกครั้ง และพอเสร็จก็ไม่มีใครไปดูผมด้วย ไม่มีใครเลยในห้องที่มาดูผม ตอนนั้นผมทั้งเจ็บ ทั้งอายอย่างมาก พอมาระบายกับพี่ ที่เป็นลูกของลุง คำพูดของพี่คนนั้นกลับมีแต่แย่ลง คือนางตอบไม่ตรงประเด็น แถมเปรียบเทียบกับช่วงที่นางแสดงแล้วเพื่อนๆมาชูป้ายไฟ ตอนนั้นผมโกรธจนแทบตัดขาดเลยก็ว่าได้
สมควรแล้วหรอ ที่ผมแค่ทำตัวเด่นในช่วงแรก แต่มาโดนตัดบทจนปีกหัก โดนคนทั้งห้องสมน้ำหน้า จนผมไปไฝ่เรียน เอาดีเรื่องเรียน แต่ก็โดนบังคับให้มาโดดเด่นอีกทั้งที่ผมตอนนั้นแอนตี้มาก เข็ดขยาดต่อการเป็นตัวเด่นอย่างมาก แต่แทนที่จะชวนดีๆ ถึงผมจะไม่ยอมก็จะฟังเหตุผล กลับบังคับขืนใจให้ผมมาเป็นตัวเด่น แถมยังเป็นตัวเด่นแบบที่ว่า แทนที่จะดูดี สง่างาม กลับให้มาเป็นตัวตลกมากกว่า และยังเป็นการขยี้ปมด้วยการบังคับให้แต่งหญิง ทั้งที่ผมยืนยันว่าไม่ยอมหลายครั้ง แต่ก็ใช้การบีบบังคับมาให้ผมจำต้องทำ มันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าเผด็จการมาก ผมแทบไม่ได้รับความยุติธรรมเลยในโรงเรียน จวบจนปัจจุบัน ผมกลายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม ผมค้นพบแล้วว่าหาความยุติธรรมในสังคมเป็นสิ่งที่ยาก ผมไม่อยากรู้สึกพังอีกแล้ว ผมกลัวว่าภาพหลอนในอดีตจะกลับมาอีกครั้ง บางคืนผมก็ฝันร้าย ทั้งที่ผมพยายามลืมหลายครั้งแล้ว ก็ยังลืมไม่ได้ บางครั้งผมก็จะโวยวายออกมาแบบไม่มีสาเหตุจากการหลอนต่อเหตุการณ์นั้น และยังส่งผลให้ผมเป็นคนสมาธิสั้นอีกด้วย คือพยายามอะไรได้ไม่นานก็สมาธิหลุด ทั้งที่ผมพยายามจะปรับปรุงแล้ว ก็ยังแก้ไม่ได้ซะที
เชื่อว่าคงมีคนสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับรถเมล์สาย126??? ในส่วนนี้ผมขออธิบายว่า จากการที่รถเมล์สายนี้เป็นหนึ่งในสายที่ค่อนข้างหายากมาก และตัดเสริมบ่อยมากเช่นกัน คือสายนี้มักตัดเสริมช่วงกลับจาก ม.ราม มาหมดระยะแค่ศาลอาญาจันทรเกษมแทบทุกคัน คันที่ไปถึงบางเขนนั้นหายากมากๆ ส่วนขาไป ม.รามบางเที่ยวก็ตัดเสริมเดอะมอลล์บางกะปิอีกด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าคงพอจะเทียบกันได้อยู่ ถึงโอกาสอันยากยิ่งที่จะได้พบกันของสองอย่างนี้
การได้รับความยุติธรรม กับการได้ขึ้นรถเมล์สาย126 ที่บางเขนอันไหนยากกว่ากันครับ
ต่อมาช่วง ม.ปลาย เป็นยุคทองของการที่ผมได้พูดไมค์ ผมพยายามทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุดอย่างที่ผมพยายาม ม.4 ยังนับว่าไปได้ดี พอมา ม.5 ตอนนั้นเริ่มยุคตกต่ำ ผมพูดให้ทางคณะสี เนื่องจากพี่ประธานคนก่อนค่อนข้างจะเอ็นดูผม และแน่นอนว่าช่วงเวลานั้นผมค่อนข้างจะศรัทธาและชื่นชมกะเทยด้วย เพราะรุ่นพี่ที่เอ็นดูผม และคนที่ให้การสนับสนุนผมช่วงนั้นส่วนใหญ่เป็นกะเทย และเคยพูดออกวิทยุชุมชนเรื่องสิทธิกลุ่มเพศที่สามด้วย ประกอบกับผมเองก็เป็นเกย์(แบบไม่แสดงออก)อยู่แล้วด้วย ส่วนประธานสีตอนนั้นเป็นเกย์ที่ออกสาวตัวเล็กๆ กับธีมงานที่เป็นผู้หญิง 4-5 คน กับกะเทยร่างใหญ่อีกคนนึง
แต่ความสุขมันอยู่กับผมได้ไม่นาน พอผมได้รับตำแหน่งประชาสัมพันธ์สี ผมทำตามหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่พอผ่านไปไม่นาน ผมเริ่มโดนหมั่นไส้โดยทีมงานของประธาน และเริ่มโดนเขม่น ยังดีที่ประธานคอยช่วยปรามๆพวกนั้นบ้าง แต่ผมก็อดทนเพราะผมยึดมั่นในสิ่งที่ผมรัก คือการได้พูดไมค์ให้เสียงออกทางลำโพง และการได้ทำหน้าที่ต่อส่วนรวม จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่เครื่องเสียงขัดข้อง แน่นอนว่าทุกคนโบ้ยความผิดมาทางผม ประธานแทนที่จะเป็นกลาง กลับเล่นพรรคเล่นพวกไล่ผมออกจากตำแหน่ง และยังไล่ออกต่อหน้าทุกคนในคณะสีด้วย ตอนนั้นผมเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางหัวใจ เป็นความอับอายที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่ต้องมาโดนทำลายศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้คนแบบนี้ ตอนนั้นผมไม่เข้าคณะสี ผมหลบหนีไปซ่อนในห้องเรียนที่ไม่ได้ล็อก ที่ไม่มีคนอยู่ ตอนนั้นผมทั้งเจ็บ ทั้งอายที่โดนทรยศ ตอนนั้นผมเกลียดพวกมันทุกคน ผมระบายแค่ไม่กี่คำ คือ "ทำไมถึงจบลงแบบนี้"
วันต่อมาผมโดนประธานพวกนั้นมาด่าทอผม เรื่องโพสต์นั้น ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นเพื่อนกับประธานคนนั้นในเฟซ และก็เกือบๆจะทำร้ายร่างกายผม ยังดีที่ผมตัวค่อนข้างใหญ่กว่าประธานงี่เง่าคนนั้นพอสมควร(ตอนนั้นผมสูงประมาณ 174 ซม. ส่วนประธานคนนั้นความสูงประมาณไหล่ผม) เลยพอจะสู้ได้ ประกอบกับความแค้น ผมเกือบจะทำร้ายประธานคนนั้น แต่โดนเพื่อนประธาน ที่เป็นกะเทยตัวใหญ่ๆ ออกตัวแรงปกป้องมัน แล้วผมโดนตบแรงมาก มากจนหน้าผมชา แถมด้วยเลือดไหลทางจมูกเล็กน้อย ตอนนั้นผมยังไม่ได้เคลียร์กับประธาน เป็นครั้งที่ผมเจ็บปวดที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง ผมวิ่งไปแอบร้องไห้ที่มุมอับบริเวณหลังโรงเรียน ยังดีที่ช่วงเช้าเป็นคาบว่าง เลยมีเวลาร้องไห้เพื่อระบายความเจ็บปวดนั้น ก่อนที่จะไปเรียน
เมื่อผมเข้าเรียน มีเพื่อนคนนึงสังเกตความผิดปกติของผม เลยถาม ช่วงแรกผมไม่เล่า เพราะความรู้สึกมันพังไปหมดแล้ว จนคาบเที่ยงผมยอมเล่าให้เพื่อนฟัง แต่ประธานคนนั้นก็มาก่อน และเริ่มเค้นผม ผมไม่พูดอะไรเพราะตอนนี้ผมรู้สึกรังเกียจประธานคนนี้มากๆ รวมไปถึงพวกของมันทุกคนด้วย ผมเงียบตามคำสอนของพ่อแม่ที่ว่า "ถ้าเราเงียบเขาก็หยุดเอง" แต่ไม่เป็นผล ประธานยิ่งรุกหนักขึ้นถึงขั้นลงมือ เพื่อนผมที่นั่งก็บอก "เรื่องนี้เราจะไม่ยุ่ง" เป็นคำที่ผมจำไม่มีวันลืมได้ ตอนนั้นอุดมการณ์ต่างๆเริ่มมอดลง ตอนนั้นผมแทบจะแอนตี้กะเทยไปเลย แต่ก็ยังคุยกับกะเทยคนอื่นๆได้ตามปกติ แต่คุยนานก็ไม่ไหว เพราะเหตุการณ์ที่ผมโดนครั้งนั้นมันหลอกหลอนผมตลอด จากที่ผมเคยชื่นชมกะเทยมากๆ ก็แทบไม่เหลือแล้ว ชนิดที่ช่วงนั้นเวลาที่บ้านมีเปิดรายการที่มีกะเทยอยู่ในจอผมฟิวส์ขาดอาละวาดทุกครั้งอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงจะพยายามนึกถึงสิ่งดีๆกับกะเทยคนอื่นๆก่อนหน้า รวมถึงอาจารย์คนสอนที่เป็นกะเทยคนหนึ่ง ผมรู้สึกทรมานมากที่พยายามจะลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมถึงเพื่อนที่ไม่คิดจะช่วยผมด้วย เสียแรงที่คบมาเป็นปีๆ ซ้ำยังโดนเพื่อนคนอื่นๆออกแนวเข้าข้างประธานคนนั้น โดยไม่ฟังความเห็นผมเลย แถมยังให้ผมไปขอโทษพวกมันด้วย เป็นอะไรที่ทำให้ผมเข้าใจถึงจิตใจคนที่โดนข่มขืนอย่างดีว่า การโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำมันทรมานแค่ไหน พอไประบายกับอาจารย์ประจำสี อาจารย์ก็บอกประมาณว่าผมทำเกินหน้าที่ ทั้งที่ผมก็ทำหน้าที่อย่างดี อยู่ในขอบเขตทุกอย่าง ผมอธิบาย อาจารย์ก็ทำเป็นฟังๆแต่ก็ไม่มีทีท่าจะเห็นด้วยต่อคำพูดผม ตอนแรกผมจะให้นัดวันใกล่เกลี่ยผม ประธานและทีมงานมาคุย แต่ก็ล้มเลิก เพราะผมไม่อยากมีปัญหาเพิ่ม เพื่อนร่วมห้องก็เป็นพวกประธานนั้นหลายคน กลายเป็นว่า นี่หรือสิ่งที่ผมสมควรโดน ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมรัก คืองานต่อสาธารณะ การพูดไมค์ ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผมทำโดยไม่หวังผลอะไร คือทำแล้วมีความสุข ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ได้ช่วยแบ่งเบางานสาธารณะ แต่ต้อมาเจอชะตากรรมแบบนี้มันเป็นแผลในใจของผมไปแล้ว ตอนนี้ผมกลายเป็นคนกลัวการเข้าสังคมอย่างมาก ก่อนนอน บางคืนผมก็ร้องไห้ บางคืนก็โวยวาย บางครั้งเผลอทำลายสิ่งของไปด้วย ยิ่งนั่งสมาธิยิ่งไม่ช่วย จนครั้งหนึ่งผมไปนั่งสมาธิที่วัด ตอนนั้นมีแต่หน้าพวกนั้นมันวนเข้ามาในหัว จนผมเผลออาละวาดออกมา เรียกได้ว่าต่อหน้าพระเลย ยังโชคดีที่ผมพอคุมสติได้ระดับนึง เลยหยุดไม่ให้อาละวาดไปมากกว่านี้
ต่อมาผมเอาดีด้านการเรียน นำจินตนาการส่วนตัวประยุกต์เข้ากับการเรียนเต็มที่ แต่มักมีปัญหาเรื่องงานกลุ่ม ที่หลายๆคนมักเอาเปรียบผมโดยการให้ผมทำคนเดียว ซ้ำร้ายตอนปีสุดท้าย ผมโดนให้เป็นหัวหน้าห้องทั้งหมดไฟแล้ว แต่ก็ไม่ให้อำนาจใดๆผมมา คนทั้งห้องมีแต่คนเห็นแก่ตัวเต็มไปหมด ผมอยู่เหมือนตายทั้งเป็น พอมีปัญหาจะระบายให้เพื่อนในกลุ่ม ก็โดนบอกไม่อยากฟัง ตอนที่ผมโดนกลุ่มอิทธิพลห้องรังแก บีบให้ขัดคำสั่งอาจารย์ ก็ไม่มีใครช่วยค้าน ตอนนี้ผมไม่อยากมีปัญหากับใคร เลยจำเป็นต้องทำ ผมต้องโดนบีบให้ทำสิ่งที่สวนทางกับความต้องการ คือทำหน้าที่ให้ดี รายงานผลตามความจริง และผมยังเคยโดนบังคับให้แต่งหญิงขึ้นแสดงเพื่อห้องโดยกลุ่มอิทธิพลห้อง และไม่ได้ใช้เวลาออกแบบชุดหลายวัน แต่ออกแบบให้วันสุดท้ายก่อนขึ้นแสดง และออกแบบให้ทั้งหยาบ+ชุ่ย แถมแทบไม่ลงทุนให้สมกับที่ลงทุนทำบาปที่บังคับจิตใจให้ผม ที่ปกติไม่ชอบแต่งหญิงอยู่แล้ว ประกอบกับการโดนกะเทยทำร้ายจิตใจ ตอนนี้ผมยิ่งเข้าใจหัวอกของคนโดนข่มขืนเข้าไปอีก ที่ต้องทำในสิ่งที่เกลียดเพราะโดนบังคับ จากที่ผมกำลังจะลืมได้ กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ครั้งนั้นกลับมาหลอนอีกครั้ง และพอเสร็จก็ไม่มีใครไปดูผมด้วย ไม่มีใครเลยในห้องที่มาดูผม ตอนนั้นผมทั้งเจ็บ ทั้งอายอย่างมาก พอมาระบายกับพี่ ที่เป็นลูกของลุง คำพูดของพี่คนนั้นกลับมีแต่แย่ลง คือนางตอบไม่ตรงประเด็น แถมเปรียบเทียบกับช่วงที่นางแสดงแล้วเพื่อนๆมาชูป้ายไฟ ตอนนั้นผมโกรธจนแทบตัดขาดเลยก็ว่าได้
สมควรแล้วหรอ ที่ผมแค่ทำตัวเด่นในช่วงแรก แต่มาโดนตัดบทจนปีกหัก โดนคนทั้งห้องสมน้ำหน้า จนผมไปไฝ่เรียน เอาดีเรื่องเรียน แต่ก็โดนบังคับให้มาโดดเด่นอีกทั้งที่ผมตอนนั้นแอนตี้มาก เข็ดขยาดต่อการเป็นตัวเด่นอย่างมาก แต่แทนที่จะชวนดีๆ ถึงผมจะไม่ยอมก็จะฟังเหตุผล กลับบังคับขืนใจให้ผมมาเป็นตัวเด่น แถมยังเป็นตัวเด่นแบบที่ว่า แทนที่จะดูดี สง่างาม กลับให้มาเป็นตัวตลกมากกว่า และยังเป็นการขยี้ปมด้วยการบังคับให้แต่งหญิง ทั้งที่ผมยืนยันว่าไม่ยอมหลายครั้ง แต่ก็ใช้การบีบบังคับมาให้ผมจำต้องทำ มันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าเผด็จการมาก ผมแทบไม่ได้รับความยุติธรรมเลยในโรงเรียน จวบจนปัจจุบัน ผมกลายเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม ผมค้นพบแล้วว่าหาความยุติธรรมในสังคมเป็นสิ่งที่ยาก ผมไม่อยากรู้สึกพังอีกแล้ว ผมกลัวว่าภาพหลอนในอดีตจะกลับมาอีกครั้ง บางคืนผมก็ฝันร้าย ทั้งที่ผมพยายามลืมหลายครั้งแล้ว ก็ยังลืมไม่ได้ บางครั้งผมก็จะโวยวายออกมาแบบไม่มีสาเหตุจากการหลอนต่อเหตุการณ์นั้น และยังส่งผลให้ผมเป็นคนสมาธิสั้นอีกด้วย คือพยายามอะไรได้ไม่นานก็สมาธิหลุด ทั้งที่ผมพยายามจะปรับปรุงแล้ว ก็ยังแก้ไม่ได้ซะที
เชื่อว่าคงมีคนสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับรถเมล์สาย126??? ในส่วนนี้ผมขออธิบายว่า จากการที่รถเมล์สายนี้เป็นหนึ่งในสายที่ค่อนข้างหายากมาก และตัดเสริมบ่อยมากเช่นกัน คือสายนี้มักตัดเสริมช่วงกลับจาก ม.ราม มาหมดระยะแค่ศาลอาญาจันทรเกษมแทบทุกคัน คันที่ไปถึงบางเขนนั้นหายากมากๆ ส่วนขาไป ม.รามบางเที่ยวก็ตัดเสริมเดอะมอลล์บางกะปิอีกด้วย ดังนั้นผมจึงคิดว่าคงพอจะเทียบกันได้อยู่ ถึงโอกาสอันยากยิ่งที่จะได้พบกันของสองอย่างนี้