เรื่องความปรองดอง หนีไม่พ้นครับ ที่จะกล่าวถึงสถานการณ์เปรียบเทียบ
ระหว่างเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 กับ เหตุการณ์ เมษายน - พฤษภาคม 2553
เหตุการณ์หนึ่ง มีบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี โดนข้อกล่าวหา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
เหตุการณ์หนึ่ง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐ เหมือนไม่มีใครต้องรับผิดชอบ แต่ประชาชนผู้เกี่ยวข้องโดนหนัก ๆ กันเป็นตับ
ทั้งที่ความแตกต่างของเหตุการณ์ ต่างกันชนิดสุดกู่
ทั้งด้านระยะเวลา ด้านความรุนแรง ด้านความสูญเสีย
และดูเหมือน มีความพยายามให้จดจำ และดำเนินการหาคนผิดให้ได้ในเหตุการณ์ปี 51
แต่ให้ลืม ให้เลิกราเกี่ยวกับเรื่องความสูญเสีย ให้ยุติทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์ปี 53
การปรองดอง ก็คือการสมานบาดแผล
หากบาดแผลไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งก็คือความเป็นธรรม ความยุติธรรม
บาดแผลจะหายได้อย่างไร ?
จะให้ฝ่ายหนึ่งต้องทน ขณะที่อีกฝ่ายได้รับการอุ้มชู และยังมีการไล่ล่ากระทืบซ้ำอยู่ไม่เลิกรา
ความปรองดองจะเกิดอย่างไร จะบังคับให้สงบราบคาบนั้นก็ย่อมทำได้
แต่ในจิตใจนั้น ก็แค่รอวันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อทวงถามความเป็นธรรม ความยุติธรรมอีกครั้งเท่านั้นเอง
และเมื่อถึงวันนั้น จะเข่นฆ่าอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ?
ไม่นับกรณีอื่น ๆ อีกมากมาย
ปฏิกิริยาภาครัฐต่อเหตุการณ์ในบ้านเมือง
การที่ชาวบ้านประชดประชันเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการนุ่งกระโจมอกอาบน้ำกลางถนน
ปฏิกิริยาของภาครัฐก็คือ ประชาชนผู้กระทำอย่างนั้น คือความขายหน้า ไม่รักชาติ สร้างความเสื่อมเสียให้บ้านเมือง
แต่เรื่องเกี่ยวกับข้าราชการระดับรองอธิบดีคนหนึ่ง
ปฏิกิริยาของภาครัฐคือ ความอบอุ่ม ปกป้อง ร้องขอความเป็นธรรม
เล่นเอาชาวบ้านอย่างผม มึนตึ๊บ
คิดไม่ยาก แต่เขียนยากชะมัด
กัวทู้หาย
จบดีกั่ว
ความปรองดอง กับ ความเป็นธรรม ปฏิกิริยาภาครัฐ กับ เหตุการณ์ในบ้านเมือง เหมือนตาชั่งยังเอนเอียงอยู่อย่างนั้น
ระหว่างเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 กับ เหตุการณ์ เมษายน - พฤษภาคม 2553
เหตุการณ์หนึ่ง มีบุคคลระดับนายกรัฐมนตรี โดนข้อกล่าวหา คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล
เหตุการณ์หนึ่ง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐ เหมือนไม่มีใครต้องรับผิดชอบ แต่ประชาชนผู้เกี่ยวข้องโดนหนัก ๆ กันเป็นตับ
ทั้งที่ความแตกต่างของเหตุการณ์ ต่างกันชนิดสุดกู่
ทั้งด้านระยะเวลา ด้านความรุนแรง ด้านความสูญเสีย
และดูเหมือน มีความพยายามให้จดจำ และดำเนินการหาคนผิดให้ได้ในเหตุการณ์ปี 51
แต่ให้ลืม ให้เลิกราเกี่ยวกับเรื่องความสูญเสีย ให้ยุติทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์ปี 53
การปรองดอง ก็คือการสมานบาดแผล
หากบาดแผลไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งก็คือความเป็นธรรม ความยุติธรรม
บาดแผลจะหายได้อย่างไร ?
จะให้ฝ่ายหนึ่งต้องทน ขณะที่อีกฝ่ายได้รับการอุ้มชู และยังมีการไล่ล่ากระทืบซ้ำอยู่ไม่เลิกรา
ความปรองดองจะเกิดอย่างไร จะบังคับให้สงบราบคาบนั้นก็ย่อมทำได้
แต่ในจิตใจนั้น ก็แค่รอวันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อทวงถามความเป็นธรรม ความยุติธรรมอีกครั้งเท่านั้นเอง
และเมื่อถึงวันนั้น จะเข่นฆ่าอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ?
ไม่นับกรณีอื่น ๆ อีกมากมาย
ปฏิกิริยาภาครัฐต่อเหตุการณ์ในบ้านเมือง
การที่ชาวบ้านประชดประชันเจ้าหน้าที่รัฐ ด้วยการนุ่งกระโจมอกอาบน้ำกลางถนน
ปฏิกิริยาของภาครัฐก็คือ ประชาชนผู้กระทำอย่างนั้น คือความขายหน้า ไม่รักชาติ สร้างความเสื่อมเสียให้บ้านเมือง
แต่เรื่องเกี่ยวกับข้าราชการระดับรองอธิบดีคนหนึ่ง
ปฏิกิริยาของภาครัฐคือ ความอบอุ่ม ปกป้อง ร้องขอความเป็นธรรม
เล่นเอาชาวบ้านอย่างผม มึนตึ๊บ
คิดไม่ยาก แต่เขียนยากชะมัด
กัวทู้หาย
จบดีกั่ว