สวัสดีครับ ผม Yod หรือ Yodster จาก Chinchilla ถ้าจะพูดถึง Segment รถยอดนิยมในเมืองไทยนอกจากรถกระบะและ SUV แล้วก็คงจะเป็น City Car นี่แหละครับที่เห็นวิ่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง รถ City Car คันนี้ถือเป็นรถยอดนิยมเลยครับนั่นก็คือ Honda City ที่พึ่งมีการแต่งหน้าทาปากหรือ Minorchange ไปเมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมาซึ่งคนที่ซื้อรุ่นก่อน Minorchange ไปไม่เกิน 6 เดือนอาจน้ำตาตกได้ (สำหรับคนที่ซีเรียสเรื่องนี้) เพราะมันให้ไฟ Daytime Running Lights มาทุกรุ่นย่อยเลย
ไปดูกันดีกว่าครับว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ภายนอก



ดีไซน์ภายนอกแทบจะไม่ต่างจากเดิมเลยครับ มีเปลี่ยนแค่ดีไซน์กระจังหน้าและไฟหน้าใหม่ซึ่งดูหรูและโดดเด่นขึ้นกว่าเดิม ทีแรกผมนึกว่าจะได้ไฟท้าย LED ด้วยแต่ทาง Honda ก็กั๊กไว้ไม่ยอมปล่อยมาให้ใช้ซะที แต่ล้อดีไซน์ใหม่ผมว่ามันดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก คือมันให้อารมณ์แบบสปอร์ตขึ้นอ่ะ
ออพชั่นภายนอกจะมีไฟหน้า LED ซึ่งถือว่าเป็นรถรุ่นเดียวใน Segment ที่ให้ไฟหน้าแบบนี้มาแต่น่าเสียดายที่ไม่มีระบบเปิด-ปิด Auto มาให้, ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้า LED, ไฟท้ายหลอดไส้ (มันมาตกม้าตายตรงนี้แหละ อุตส่าห์เป็น LED มาทั้งคันและ), ที่ปัดน้ำฝนหน่วงเวลา, ระบบ Smart Keyless Entry, เสาอากาศครีบฉลาม, และกล้องมองหลังแบบปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (แต่ไม่มีเซนเซอร์หลังนะ)
ภายใน



ภายในก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน ที่เปลี่ยนไปก็จะมีจอกลางที่ปรับดีไซน์เล็กน้อย คอนโซลใช้สี Gun Metallic ทำให้ดูสปอร์ตขึ้น ที่เหลือแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง ตอนแรกสีภายในจะมีสองสีซึ่งก็คือสีเบจและสีดำ แต่ในตัว Minorchange จะถูกตัดเหลือแค่สีดำ ที่ผมไม่ค่อยชอบคือแผงควบคุมแอร์ คือมันก็ดูไฮเทคนะแต่ระบบ Touch Screen มันใช้งานยากไปนิดนึง เอาง่ายๆ คือให้แบบธรรมดาๆ มายังใช้ง่ายกว่าหว่ะ งานประกอบภายในไม่ค่อนเนี๊ยบเท่าไหร่ (เมื่อไหร่ Honda จะแก้เรื่องนี้ได้หว่า เป็นทุกรุ่นเลย)
ออพชั่นภายในจะมีพวงมาลัย Multi-Function, แอร์ Auto โซนเดียวแบบ Touch Screen, ปุ่ม Push Start, ระบบ Cruise Control, Paddle Shift, เบาะผ้าปรับมือ, มาตรวัดเรืองแสง, ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด Eco Coaching, ไฟส่องสว่างภายในแบบ LED, ปุ่ม Econ, กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า, และกระจกมองหลังตัดแสง
ระบบ Infotainment

ระบบ Infotainment ใน Honda City Minorchange จะควบคุมผ่านหน้าจอสัมผัสตรงกลาง รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth, USB, HDMI, AUX, และ Smart Phone พร้อมลำโพง 8 ตำแหน่ง ฟีลลิ่งลำโพงถือว่าดีเลยครับ เสียง Surround ให้ความมันส์ได้ระดับนึงเลย ระบบ Infotainment ถือว่าเล่นง่าย ไม่ซับซ้อน แต่อย่าไปแตะหน้าจอตอนขับรถมาก วันก่อนเห็นเลยมัวแต่เล่นระบบแล้วลืมเบรก ชนท้ายคันหน้าเลยครับ แต่ยังดีที่คอนโซลมันหันเข้าหาคนขับเลยเล่นง่ายหน่อย
เครื่องยนต์และสมรรถนะ

เครื่องยนต์จะใช้บล็อกเดียวกับตัวก่อน Minorchange ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด นั่นก็คือเครื่องยนต์เบนซินแบบ SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตันเมตรที่ 4,700 รอบต่อนาที ตอนออกตัวถือว่าพุ่งใช้ได้ ความเร็วขึ้นเร็วกว่า Toyota Vios นิดนึง อัตราเร่ง 0-100 อยู่ที่ 11.8 วินาที ถ้าเทียบกับไซส์เครื่องยนต์ก็ถือว่าเร็วใช้ได้
เกียร์เป็นเกียร์ CVT 7 สปีดซึ่งก็ไหลลื่นอยู่ แต่ก็แอบมีอาการกระตุกนิดนึงแต่ก็ยังพอรับได้
อัตราสิ้นเปลืองทำได้ที่ 16.3 กม./ลิตร ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนักสำหรับรถไซส์นี้และเครื่องเท่านี้ น่าจะทำได้ดีกว่านี้หน่อย
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอื่นๆ
ระบบความปลอดภัยใน Honda City ถือว่าค่อนข้างจะจัดเต็มสุดใน Segment เลยครับ มันอุดมไปด้วยระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบควบคุมการทรงตัวตอนเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HSA, สัญญาณไฟเบรกฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS, Airbag คู่หน้า, Airbag ด้านข้าง, และม่านถุงลมแบบ Curtain ถือว่าดีเลยครับถ้าเทียบกับราคารถ
Test Drive

เส้นทางทดสอบคราวนี้จะเป็นเส้นพระราม 3 ซึ่งก็โล่งพอที่จะทำให้รับรู้สมรรถนะรถ ตอนออกตัวถือว่าต้นจัดพอสมควร แต่ความเร็วปลายหลังจาก 100 จะเริ่มขึ้นช้า ช่วงล่างถือว่านิ่งตอนย่านความเร็วไม่เกิน 120 หลังจากนั้นรถจะเริ่มมีอาการโยนตัวแต่ยังไม่สั่น ซึ่งสู้ Mazda 2 ไม่ได้ในจุดนี้ ไอ้เจ้านั่นมันเด่นเรื่องช่วงล่างอยู่แล้วขับยังไงก็ไม่ส่าย (เคยลองขับตัวดีเซล) ตอนสาดโค้งทำได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้ คือผมสาดที่ความเร็ว 90 ก็ถือว่านิ่งอยู่ แต่ถ้าเร็วกว่านี้ผมว่ามีหลุดโค้งครับ ระยะเบรคทำได้ไม่ค่อยดีเนื่องจากแป้นเบรคมันต้านเท้าไปหน่อยและระบบ EBD ทำงานค่อนข้างช้าทำให้รถแอบมีอาการหน้าทิ่มเล็กน้อย การเก็บเสียงถือว่าพอใช้ได้ ไม่ดังเท่า Mazda 2 แต่ถ้าขับเร็วๆ ก็ดังเอาเรื่องเหมือนกัน โดยรวมแล้ว Honda City ก็ยังเป็นรถ City Car ที่น่าใช้คันนึงเหมือนกัน คือถ้าให้ผมเลือกระหว่าง Toyota Vios และ Honda City ผมก็คงจะเลือก City ครับ
สรุป
• ดีไซน์ภายนอกดูหรูขึ้นกว่าเดิม
• ออพชั่นภายนอกถือว่าให้มาเต็มเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะกั๊กไฟท้าย LED ไว้ทำไม
• ภายในดูดีตามสไตล์ Honda แต่งานประกอบภายในไม่ค่อยเนี๊ยบเท่าไหร่
• วัสดุภายในดู Cheap ไปหน่อย
• การวางตำแหน่งปุ่มถือว่าทำให้ใช้งานง่ายเลย
• ระบบ Infotainment เล่นง่าย ไม่ซับซ้อน
• ลำโพงดี คุณภาพเสียงใช้ได้
• เป็นเรื่องเครื่อง 1.5 ที่ค่อนข้างแรงในระดับของมัน
• จังหวะการเปลี่ยนเกียร์แอบกระตุกเล็กน้อย คือถ้าไม่สังเกตมันจะไม่รู้สึกอ่ะครับ
• ระบบความปลอดภัยพื้นฐานมาเต็ม
• ช่วงล่างนุ่มนวลที่ความเร็วไม่เกิน 120 หลังจากนั้นรถจะเริ่มโยนตัว
• สาดโค้งได้มั่นใจกว่าที่ผมคิดไว้
• แป้นเบรคต้านเท้าไปหน่อย
• การเก็บเสียงถือว่าพอรับได้
• เป็นรถที่เหมาะกับมือใหม่หัดขับ หรือไม่ก็เป็นรถที่พ่อแม่ซื้อให้ลูกขับไปเรียน
• ขับในเมืองคล่องมาก
Honda City Minorchange SV+ สนนราคาอยู่ที่ 751,000 บาท ราคาไม่มีการปรับขึ้นแต่ได้ออพชั่นเพิ่มก็ถือว่าน่าเล่นอยู่ แต่บางคนก็อาจจะเพิ่มเงินนิดนึงแล้วไปซื้อรถ C-Segment รุ่นถูกสุดเลยเพราะมันจะได้ขนาดที่ใหญ่กว่าและสมรรถนะที่เหนือกว่าครับ
คุณสามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ ยานยนต์ รีวิวรถใหม่ได้ที่ ID Pantip ผมครับ Yod Chinchilla
สำหรับใครที่สนใจเรื่องรถยนต์ ยานยนต์ รถแต่ง สามารถติดตามเราบน Instagram ได้ครับ Ig: Chinchilla_autoholic
รีวิว: 2017 Honda City Minorchange SV+ โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะไปดูกันดีกว่าครับว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ภายนอก
ออพชั่นภายนอกจะมีไฟหน้า LED ซึ่งถือว่าเป็นรถรุ่นเดียวใน Segment ที่ให้ไฟหน้าแบบนี้มาแต่น่าเสียดายที่ไม่มีระบบเปิด-ปิด Auto มาให้, ไฟ Daytime Running Lights แบบ LED, ไฟตัดหมอกคู่หน้า LED, ไฟท้ายหลอดไส้ (มันมาตกม้าตายตรงนี้แหละ อุตส่าห์เป็น LED มาทั้งคันและ), ที่ปัดน้ำฝนหน่วงเวลา, ระบบ Smart Keyless Entry, เสาอากาศครีบฉลาม, และกล้องมองหลังแบบปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (แต่ไม่มีเซนเซอร์หลังนะ)
ภายใน
ออพชั่นภายในจะมีพวงมาลัย Multi-Function, แอร์ Auto โซนเดียวแบบ Touch Screen, ปุ่ม Push Start, ระบบ Cruise Control, Paddle Shift, เบาะผ้าปรับมือ, มาตรวัดเรืองแสง, ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด Eco Coaching, ไฟส่องสว่างภายในแบบ LED, ปุ่ม Econ, กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า, และกระจกมองหลังตัดแสง
ระบบ Infotainment
เครื่องยนต์และสมรรถนะ
เกียร์เป็นเกียร์ CVT 7 สปีดซึ่งก็ไหลลื่นอยู่ แต่ก็แอบมีอาการกระตุกนิดนึงแต่ก็ยังพอรับได้
อัตราสิ้นเปลืองทำได้ที่ 16.3 กม./ลิตร ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่น่าพอใจนักสำหรับรถไซส์นี้และเครื่องเท่านี้ น่าจะทำได้ดีกว่านี้หน่อย
ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีอื่นๆ
ระบบความปลอดภัยใน Honda City ถือว่าค่อนข้างจะจัดเต็มสุดใน Segment เลยครับ มันอุดมไปด้วยระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบควบคุมการทรงตัวตอนเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HSA, สัญญาณไฟเบรกฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS, Airbag คู่หน้า, Airbag ด้านข้าง, และม่านถุงลมแบบ Curtain ถือว่าดีเลยครับถ้าเทียบกับราคารถ
Test Drive
สรุป
• ดีไซน์ภายนอกดูหรูขึ้นกว่าเดิม
• ออพชั่นภายนอกถือว่าให้มาเต็มเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะกั๊กไฟท้าย LED ไว้ทำไม
• ภายในดูดีตามสไตล์ Honda แต่งานประกอบภายในไม่ค่อยเนี๊ยบเท่าไหร่
• วัสดุภายในดู Cheap ไปหน่อย
• การวางตำแหน่งปุ่มถือว่าทำให้ใช้งานง่ายเลย
• ระบบ Infotainment เล่นง่าย ไม่ซับซ้อน
• ลำโพงดี คุณภาพเสียงใช้ได้
• เป็นเรื่องเครื่อง 1.5 ที่ค่อนข้างแรงในระดับของมัน
• จังหวะการเปลี่ยนเกียร์แอบกระตุกเล็กน้อย คือถ้าไม่สังเกตมันจะไม่รู้สึกอ่ะครับ
• ระบบความปลอดภัยพื้นฐานมาเต็ม
• ช่วงล่างนุ่มนวลที่ความเร็วไม่เกิน 120 หลังจากนั้นรถจะเริ่มโยนตัว
• สาดโค้งได้มั่นใจกว่าที่ผมคิดไว้
• แป้นเบรคต้านเท้าไปหน่อย
• การเก็บเสียงถือว่าพอรับได้
• เป็นรถที่เหมาะกับมือใหม่หัดขับ หรือไม่ก็เป็นรถที่พ่อแม่ซื้อให้ลูกขับไปเรียน
• ขับในเมืองคล่องมาก
Honda City Minorchange SV+ สนนราคาอยู่ที่ 751,000 บาท ราคาไม่มีการปรับขึ้นแต่ได้ออพชั่นเพิ่มก็ถือว่าน่าเล่นอยู่ แต่บางคนก็อาจจะเพิ่มเงินนิดนึงแล้วไปซื้อรถ C-Segment รุ่นถูกสุดเลยเพราะมันจะได้ขนาดที่ใหญ่กว่าและสมรรถนะที่เหนือกว่าครับ
คุณสามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับรถยนต์ ยานยนต์ รีวิวรถใหม่ได้ที่ ID Pantip ผมครับ Yod Chinchilla
สำหรับใครที่สนใจเรื่องรถยนต์ ยานยนต์ รถแต่ง สามารถติดตามเราบน Instagram ได้ครับ Ig: Chinchilla_autoholic