“บาหลี” เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในประเทศอินโดนีเซีย เมืองที่ไม่มีแสงสีเสียง มีแต่ธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นสถานที่ ที่เราใฝ่ฝันว่าอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต และนั่นคือเหตุผล ที่ทำให้เราออกเดินทางในครั้งนี้....
การเดินทางไปเกาะบาหลี ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องขอวีซ่า ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง จากประเทศไทย เราออกเดินทางกันแต่เช้า เดินทางคนเดียว ทำให้รู้สึกคล่องตัว สบายๆ ไม่รีบร้อน เท่าไหร่นัก เราไม่ได้วางแผนอะไรมาก มีแค่ตั๋วเครื่องบิน หนังสือคู่มือการท่องเที่ยว กล้องถ่ายรูป แบตสำรอง ขาตั้งกล้อง .... เยอะเหมือนกันนี่หว่า +_+”
11.25 น. เครื่องลงจอด ที่สนามบิน นานาชาติ งูราห์ราย ในเมืองเดนปาซาร์ เกาะบาหลี เราเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแบบสบายๆ คือ ทุกครั้งที่เดินทาง จะบอกตัวเองเสมอ ว่า ยิ้มเข้าไว้นะ ยิ้มรับมือกับทุกอย่างที่เข้ามา หลักๆ ก็กลบความกลัวของตัวเองนั่นแหล่ะ ด้วยความที่ว่า เรื่องราวของบาหลี ถูกแชร์ในเมืองไทยน้อยมาก หาข้อมูล ในพันทิพ ก็ไม่ค่อยเจอ เสิร์ทเส้นทางในกูเกิ้ล ก็พบว่าระยะทางแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างไกลกัน จึงตัดสินใจเช่ารถ เพื่อความสะดวก
คนรถของ เท็ดดี้ทีม มารับที่สนามบิน ตรงเวลา เราออกเดินทางไปที่ “สวนพระวิษณุ” ( Garuda Wisnu Kencana Cultural Park ) สวนนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของบาหลี สร้างขึ้นเพื่อเป็นสวนวัฒนธรรมของบาหลี มีเนื้อที่กว่า 6 แสนตารางเมตร เป็นโปรเจคใหญ่ของทางการอินโดนีเซีย ที่ตั้งใจจะสร้างเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ โดยจะสร้างเป็นพระวิษณุทรงครุฑ (Garuda) บนตึกที่มีความสูง 11 ชั้น ส่วนปีกของครุฑจะกว้างถึง 64 เมตร ถ้าเสร็จแล้วจะมีขนาดใหญ่กว่าเทพีเสรีภาพที่อเมริกา และจะกลายเป็นประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไปเลยหล่ะ
สำหรับเวลาเปิดเข้าชมนั้น เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 - 22.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 110,000 RP
หลังจากนั้น ก็ไปที่ ที่เป็นไฮไลต์ ขอบอกว่า สวยนะ สวยมากกกกกกกกกก กับ “วัดอูลูวาตู” วัดตั้งอยูบนหน้าผาที่หันหน้าออกสู่ทะเล มหาสมุทรอินเดีย สีฟ้าสดใส วันที่เราไป มีงานทำบุญ จะเห็นคนที่นั่น เขาแต่งตัวพื้นเมือง มาร่วมงานจำนวนมาก นักท่องเที่ยวก็เยอะเช่นกัน และสิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง เมื่อมาที่นี่ คือ ฝูงลิงผู้น่ารัก ที่พร้อมจะคอยหยิบ ฉก ฉวย ของทุกอย่างบนร่างกายของคุณ.... ตอนเราไป มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง ถูกลิงแย่งแว่นกันแดด ไปหักต่อหน้าต่อตา เจ็บยิ่งกว่าคือ พอลิงหักแว่นเสร็จ นางยื่นแว่นคืนจ่ะ OMG!!!! แต่พวกมันก็น่ารักดีนะ
ค่าเข้า 30,000 รูปีย์ เตรียมโสร่งไปด้วยนะ หรือจะใช้บริการแถวที่ขายตั๋วก็ได้
เราเลือกที่จะพักใน เมืองอุบุด เพราะดูสะดวกที่สุด แหล่งรวมนักท่องเที่ยวจาก ทั่วโลก หาที่พักง่าย อาหารการกินก็เลือกได้ “Teba House” ราคาถูก สบายเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ห้องใหญ่มาก มีอ่างอาบน้ำ ราคาเพียงแค่ 500-600 บาทเอง พักที่นั่นอยู่ 2 คืน หลับสบายยยยย ZzzZzz
เมืองอุบุด อยู่บริเวณตอนกลางของเกาะ เป็นย่านศิลปะและวัฒนธรรม มีธรรมชาติ และนาข้าว พลุกพล่านไปด้วยร้านของที่ระลึก ช่วงกลางวัน จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เอกลักษณ์ คือ บ้านเรือนของประชาชน นี่แหล่ะ บาหลี เป็นเมืองที่มีคนนับถือศาสนาฮินดู มากที่สุด ทั้งที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น หน้าบ้านแต่ละหลังจะดึงดูดมากๆ ประตูตามแบบฉบับศาสนาฮินดู มีรูปปั้นเทพเจ้า ของเซ่นไหว้ ถูกนำออกมาตั้งทุกเช้า พร้อมทำพิธีสวด เพื่อความเป็นสิริมงคล อาจดูน่ากลัวแต่นั่นแหล่ะ คือเสน่ห์...
ระบำบารอง (Barong Dance) หรือ ระบำถลึงตา (ในความรู้สึกเรานะ) เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาะบาหลี อินโดนีเซีย “บารอง”เป็นสัตว์ในตำนาน มีหลังอานยาว หางงอนโง้ง และเป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณดีงาม ซึ่งเป็นผู้ปกปักษ์รักษามนุษย์ต่อสู้กับรังดา ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณชั่วร้าย
บารอง แดนซ์เป็นนาฏกรรมศักดิ์สิทธิ์ การร่ายรำมีท่าทีอ่อนช้อยงดงาม เสียงเพลงไพเราะ ถือเป็นสีสันแห่งบาหลี ที่ไม่ควรพลาด
ค่าเข้าชม 100,000 รูปีย์
นาข้าวขั้นบันได (Tegalalang rice terrace) ที่บาหลี เป็นหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาเยือน เพราะมันคือ 1 ในนาข้าวขั้นบันได ที่สวยที่สุดในโลก ... ทันที ที่ลงจากรถ โอ้วโหวววววววววววววว คือแค่ข้างบน ก็แบบสวยแล้ว มองไปทางไหนก็สวย ความเขียวขจี ความร่มรื่น ทำให้เรานั่งอยู่ที่นี่ได้แบบสบายๆ และนานมากๆ นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปในทุ่งนาได้ โดยจะมีชาวบ้าน คอยบริการอยู่ด้วย แต่ต้องระวังกันนิดนึง เพราะทางลงค่อนข้างเป็นโคลน เดินไม่ดีอาจลื่นได้นะ
สำหรับค่าเข้า รถจ่าย 10,000 รูปีย์ เดินเข้าไปในทุ่งนา จ่ายอีก 10,000 รูปีย์
ภูเขาไฟคินตามานี (Kintamanee) เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 บนเกาะบาหลี ในอดีตเคยระเบิด มาแล้วถึง 24 ครั้ง การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1963 และในปัจจุบันภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่สงบ พร้อมที่จะปะทุตลอดเวลา ซึ่วเป็นจุดดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป และยังสามารถมองเห็นเถ้าสีดำที่เหลืออยู่ ซึ่งแสดงถึง ร่องรอยการระเบิด ในอดีต รวมถึง ยังมองเห็นทะเลสาป Batur เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเกาะบาหลีด้วย ค่าเข้า 31,000 รูปีย์
ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih) หรือวัดเบซากิห์ เป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดบนเกาะบาหลี ซึ่งคนบาหลียกให้เป็นวัดหลวง (Mother Temple) ในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของบาหลี ภายในประกอบด้วยวัดเล็กๆ อีก 23 แห่ง ที่เรียงรายอยู่เป็นขั้นๆ กว่า 7 ขั้นไปตามไหล่เขา วัดเบซากิห์เปิดเข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น. ตอนเราไปเสียดายมาก เพราะฝนตก ฟ้ามืดไปหมด มองแทบไม่เห็นอะไรเลย ด้วยความที่วัดอยู่บนเขา เลยทำให้มีหมอกมากกว่าปกติ ค่าเข้าชม 15,000 รูปีย์
วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เทมภัคสิริงค์ (Tampak Siring) หรือ เตียต้า เอ็มพูล (Tirta Empul) ศาสนสถานที่เก่าแก่ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบาหลี ซึ่งมีอายุมากกว่าพันปี ในสมัยโบราณใช้ประกอบพิธีทางศาสนาในราชวงศ์กษัตริย์เท่านั้น ต่อมาจะเปิดให้ชาวบ้านได้เข้าไปกราบสักการะกัน ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแห่ง ที่เราอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง เคยเห็นแต่ในทีวี หนังสือ สารคดี เราว่าภาพมันสวยมาก ยิ่งพอมาเห็นแล้ว ยิ่งประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก ความศรัทธา ของผู้คนที่มา กับการเดินทางมาเที่ยวชมของนักท่องเที่ยว เราจะดูออกอย่างเห็นได้ชัดเลยหล่ะ พ่อแม่ พยายามปลูกฝังลูกแต่เด็กๆ ให้มาเข้าร่วมพิธี ของเซ่นไหว้ต่างๆ ถูกนำมาวางที่แท่นสักการะเทพเจ้า ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ และบางคนก็กรอกน้ำใส่กลับบ้าน (กรอกกันไปเยอะแยะ เพราะมันไม่เคยเหือดแห้งยังไงล่ะ) ค่าเข้าชมที่นี่ 15,000 รูปีย์
ปุราอูลันดานูบราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) หรือวัดอูลันดานูบราตัน วัดกลางน้ำริมทะเลสาบบราตัน ด้านหลังเป็นภูเขาไฟปกคลุมด้วยปุยเมฆสีขาว วัดแห่งนี้ ถือว่าเป็นวัดกลางน้ำที่สวยที่สุดในบาหลี มีศิลปะคล้ายกับ นครวัด นครธม นักท่องเที่ยวสามารถมาล่องเรือ หรือทำกิจกรรมในทะเลสาบได้ ค่าเข้าชม 50,000 รูปีย์
ปุราทานาห์ลอต (Pura Tanah Lot) หรือ วัดทานาห์ลอต เห็นได้ทั่วไปตามโปรโมท การท่องเที่ยวในประเทศอินโดนีเซีย เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนชายหาดริมทะเล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล ลักษณะการสร้างบนโขดหินคล้ายเกาะเล็ก ๆ เวลาน้ำขึ้น จึงดูเหมือนวัดอยู่กลางทะเล เวลาน้ำลง ผู้คนสามารถเดินข้ามทางเดินไปยังตัววัดได้ เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบาหลีให้ความเคารพบูชาอย่างมาก มีทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงาม และด้านนอกก็เป็นตลาดขายสินค้าพื้นเมืองราคาถูก ให้เลือกซื้อมากมาย ค่าเข้าชม 60,000 รูปีย์
[CR] Wonderland in Bali (1st) : บินเดี่ยวเที่ยวบาหลี
“บาหลี” เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในประเทศอินโดนีเซีย เมืองที่ไม่มีแสงสีเสียง มีแต่ธรรมชาติ และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ เป็นสถานที่ ที่เราใฝ่ฝันว่าอยากไปสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต และนั่นคือเหตุผล ที่ทำให้เราออกเดินทางในครั้งนี้....
การเดินทางไปเกาะบาหลี ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องขอวีซ่า ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง จากประเทศไทย เราออกเดินทางกันแต่เช้า เดินทางคนเดียว ทำให้รู้สึกคล่องตัว สบายๆ ไม่รีบร้อน เท่าไหร่นัก เราไม่ได้วางแผนอะไรมาก มีแค่ตั๋วเครื่องบิน หนังสือคู่มือการท่องเที่ยว กล้องถ่ายรูป แบตสำรอง ขาตั้งกล้อง .... เยอะเหมือนกันนี่หว่า +_+”
11.25 น. เครื่องลงจอด ที่สนามบิน นานาชาติ งูราห์ราย ในเมืองเดนปาซาร์ เกาะบาหลี เราเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแบบสบายๆ คือ ทุกครั้งที่เดินทาง จะบอกตัวเองเสมอ ว่า ยิ้มเข้าไว้นะ ยิ้มรับมือกับทุกอย่างที่เข้ามา หลักๆ ก็กลบความกลัวของตัวเองนั่นแหล่ะ ด้วยความที่ว่า เรื่องราวของบาหลี ถูกแชร์ในเมืองไทยน้อยมาก หาข้อมูล ในพันทิพ ก็ไม่ค่อยเจอ เสิร์ทเส้นทางในกูเกิ้ล ก็พบว่าระยะทางแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างไกลกัน จึงตัดสินใจเช่ารถ เพื่อความสะดวก
คนรถของ เท็ดดี้ทีม มารับที่สนามบิน ตรงเวลา เราออกเดินทางไปที่ “สวนพระวิษณุ” ( Garuda Wisnu Kencana Cultural Park ) สวนนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของบาหลี สร้างขึ้นเพื่อเป็นสวนวัฒนธรรมของบาหลี มีเนื้อที่กว่า 6 แสนตารางเมตร เป็นโปรเจคใหญ่ของทางการอินโดนีเซีย ที่ตั้งใจจะสร้างเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของที่นี่ โดยจะสร้างเป็นพระวิษณุทรงครุฑ (Garuda) บนตึกที่มีความสูง 11 ชั้น ส่วนปีกของครุฑจะกว้างถึง 64 เมตร ถ้าเสร็จแล้วจะมีขนาดใหญ่กว่าเทพีเสรีภาพที่อเมริกา และจะกลายเป็นประติมากรรมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไปเลยหล่ะ
สำหรับเวลาเปิดเข้าชมนั้น เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 - 22.00 น. ค่าเข้าชมคนละ 110,000 RP
หลังจากนั้น ก็ไปที่ ที่เป็นไฮไลต์ ขอบอกว่า สวยนะ สวยมากกกกกกกกกก กับ “วัดอูลูวาตู” วัดตั้งอยูบนหน้าผาที่หันหน้าออกสู่ทะเล มหาสมุทรอินเดีย สีฟ้าสดใส วันที่เราไป มีงานทำบุญ จะเห็นคนที่นั่น เขาแต่งตัวพื้นเมือง มาร่วมงานจำนวนมาก นักท่องเที่ยวก็เยอะเช่นกัน และสิ่งหนึ่งที่ต้องระวัง เมื่อมาที่นี่ คือ ฝูงลิงผู้น่ารัก ที่พร้อมจะคอยหยิบ ฉก ฉวย ของทุกอย่างบนร่างกายของคุณ.... ตอนเราไป มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง ถูกลิงแย่งแว่นกันแดด ไปหักต่อหน้าต่อตา เจ็บยิ่งกว่าคือ พอลิงหักแว่นเสร็จ นางยื่นแว่นคืนจ่ะ OMG!!!! แต่พวกมันก็น่ารักดีนะ
ค่าเข้า 30,000 รูปีย์ เตรียมโสร่งไปด้วยนะ หรือจะใช้บริการแถวที่ขายตั๋วก็ได้
เราเลือกที่จะพักใน เมืองอุบุด เพราะดูสะดวกที่สุด แหล่งรวมนักท่องเที่ยวจาก ทั่วโลก หาที่พักง่าย อาหารการกินก็เลือกได้ “Teba House” ราคาถูก สบายเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ห้องใหญ่มาก มีอ่างอาบน้ำ ราคาเพียงแค่ 500-600 บาทเอง พักที่นั่นอยู่ 2 คืน หลับสบายยยยย ZzzZzz
เมืองอุบุด อยู่บริเวณตอนกลางของเกาะ เป็นย่านศิลปะและวัฒนธรรม มีธรรมชาติ และนาข้าว พลุกพล่านไปด้วยร้านของที่ระลึก ช่วงกลางวัน จะมีนักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เอกลักษณ์ คือ บ้านเรือนของประชาชน นี่แหล่ะ บาหลี เป็นเมืองที่มีคนนับถือศาสนาฮินดู มากที่สุด ทั้งที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น หน้าบ้านแต่ละหลังจะดึงดูดมากๆ ประตูตามแบบฉบับศาสนาฮินดู มีรูปปั้นเทพเจ้า ของเซ่นไหว้ ถูกนำออกมาตั้งทุกเช้า พร้อมทำพิธีสวด เพื่อความเป็นสิริมงคล อาจดูน่ากลัวแต่นั่นแหล่ะ คือเสน่ห์...
ระบำบารอง (Barong Dance) หรือ ระบำถลึงตา (ในความรู้สึกเรานะ) เป็นศิลปะการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเกาะบาหลี อินโดนีเซีย “บารอง”เป็นสัตว์ในตำนาน มีหลังอานยาว หางงอนโง้ง และเป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณดีงาม ซึ่งเป็นผู้ปกปักษ์รักษามนุษย์ต่อสู้กับรังดา ตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์แทนวิญญาณชั่วร้าย
บารอง แดนซ์เป็นนาฏกรรมศักดิ์สิทธิ์ การร่ายรำมีท่าทีอ่อนช้อยงดงาม เสียงเพลงไพเราะ ถือเป็นสีสันแห่งบาหลี ที่ไม่ควรพลาด
ค่าเข้าชม 100,000 รูปีย์
นาข้าวขั้นบันได (Tegalalang rice terrace) ที่บาหลี เป็นหนึ่งสถานที่ที่ต้องมาเยือน เพราะมันคือ 1 ในนาข้าวขั้นบันได ที่สวยที่สุดในโลก ... ทันที ที่ลงจากรถ โอ้วโหวววววววววววววว คือแค่ข้างบน ก็แบบสวยแล้ว มองไปทางไหนก็สวย ความเขียวขจี ความร่มรื่น ทำให้เรานั่งอยู่ที่นี่ได้แบบสบายๆ และนานมากๆ นักท่องเที่ยวสามารถเดินลงไปในทุ่งนาได้ โดยจะมีชาวบ้าน คอยบริการอยู่ด้วย แต่ต้องระวังกันนิดนึง เพราะทางลงค่อนข้างเป็นโคลน เดินไม่ดีอาจลื่นได้นะ
สำหรับค่าเข้า รถจ่าย 10,000 รูปีย์ เดินเข้าไปในทุ่งนา จ่ายอีก 10,000 รูปีย์
ภูเขาไฟคินตามานี (Kintamanee) เป็นภูเขาไฟที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 บนเกาะบาหลี ในอดีตเคยระเบิด มาแล้วถึง 24 ครั้ง การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1963 และในปัจจุบันภูเขาไฟลูกนี้ยังไม่สงบ พร้อมที่จะปะทุตลอดเวลา ซึ่วเป็นจุดดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป และยังสามารถมองเห็นเถ้าสีดำที่เหลืออยู่ ซึ่งแสดงถึง ร่องรอยการระเบิด ในอดีต รวมถึง ยังมองเห็นทะเลสาป Batur เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของเกาะบาหลีด้วย ค่าเข้า 31,000 รูปีย์
ปุราเบซากิห์ (Pura Besakih) หรือวัดเบซากิห์ เป็นวัดที่มีความสำคัญที่สุดบนเกาะบาหลี ซึ่งคนบาหลียกให้เป็นวัดหลวง (Mother Temple) ในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดของบาหลี ภายในประกอบด้วยวัดเล็กๆ อีก 23 แห่ง ที่เรียงรายอยู่เป็นขั้นๆ กว่า 7 ขั้นไปตามไหล่เขา วัดเบซากิห์เปิดเข้าชมทุกวัน เวลา 8.00-17.00 น. ตอนเราไปเสียดายมาก เพราะฝนตก ฟ้ามืดไปหมด มองแทบไม่เห็นอะไรเลย ด้วยความที่วัดอยู่บนเขา เลยทำให้มีหมอกมากกว่าปกติ ค่าเข้าชม 15,000 รูปีย์
วัดน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เทมภัคสิริงค์ (Tampak Siring) หรือ เตียต้า เอ็มพูล (Tirta Empul) ศาสนสถานที่เก่าแก่ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวบาหลี ซึ่งมีอายุมากกว่าพันปี ในสมัยโบราณใช้ประกอบพิธีทางศาสนาในราชวงศ์กษัตริย์เท่านั้น ต่อมาจะเปิดให้ชาวบ้านได้เข้าไปกราบสักการะกัน ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแห่ง ที่เราอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง เคยเห็นแต่ในทีวี หนังสือ สารคดี เราว่าภาพมันสวยมาก ยิ่งพอมาเห็นแล้ว ยิ่งประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก ความศรัทธา ของผู้คนที่มา กับการเดินทางมาเที่ยวชมของนักท่องเที่ยว เราจะดูออกอย่างเห็นได้ชัดเลยหล่ะ พ่อแม่ พยายามปลูกฝังลูกแต่เด็กๆ ให้มาเข้าร่วมพิธี ของเซ่นไหว้ต่างๆ ถูกนำมาวางที่แท่นสักการะเทพเจ้า ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ และบางคนก็กรอกน้ำใส่กลับบ้าน (กรอกกันไปเยอะแยะ เพราะมันไม่เคยเหือดแห้งยังไงล่ะ) ค่าเข้าชมที่นี่ 15,000 รูปีย์
ปุราอูลันดานูบราตัน (Pura Ulun Danu Bratan) หรือวัดอูลันดานูบราตัน วัดกลางน้ำริมทะเลสาบบราตัน ด้านหลังเป็นภูเขาไฟปกคลุมด้วยปุยเมฆสีขาว วัดแห่งนี้ ถือว่าเป็นวัดกลางน้ำที่สวยที่สุดในบาหลี มีศิลปะคล้ายกับ นครวัด นครธม นักท่องเที่ยวสามารถมาล่องเรือ หรือทำกิจกรรมในทะเลสาบได้ ค่าเข้าชม 50,000 รูปีย์
ปุราทานาห์ลอต (Pura Tanah Lot) หรือ วัดทานาห์ลอต เห็นได้ทั่วไปตามโปรโมท การท่องเที่ยวในประเทศอินโดนีเซีย เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนชายหาดริมทะเล สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 11 เพื่ออุทิศแด่เทพเจ้าและปีศาจแห่งท้องทะเล ลักษณะการสร้างบนโขดหินคล้ายเกาะเล็ก ๆ เวลาน้ำขึ้น จึงดูเหมือนวัดอยู่กลางทะเล เวลาน้ำลง ผู้คนสามารถเดินข้ามทางเดินไปยังตัววัดได้ เป็นวัดที่มีความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบาหลีให้ความเคารพบูชาอย่างมาก มีทิวทัศน์และบรรยากาศที่สวยงาม และด้านนอกก็เป็นตลาดขายสินค้าพื้นเมืองราคาถูก ให้เลือกซื้อมากมาย ค่าเข้าชม 60,000 รูปีย์
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น