คิดว่าชีวิตคู่ที่คนนึงอยากมีลูก แต่อีกคนไม่อยากมีจะหาทางออกกันยังไงถึงจะอยู่กันได้

เพิ่งเห็นกระทู้ที่มีคนตั้งคำถามว่าทำไมคน Gen Y ไม่อยากมีลูก
พอดีกับช่วงนี้เลยที่เรากำลังมีปัญหากับแฟนเรื่องนี้พอดี
ตั้งแต่เด็กเรามีความคิดว่าถ้าเราไม่พร้อม เราจะไม่มีวันมีลูก
ก็คือเด็กๆก็ยังมีความคิดว่าอยากมีลูกนะ แต่ลูกเกิดมาเราต้องพร้อมจะดูแลให้ดี
แต่พอโตขึ้น ได้ใช้ชีวิต ความคิดเราก็เปลี่ยนเป็นไม่อยากมีลูก

เราคบกับแฟนมาจะ 6 ปีแล้ว เคยคุยกันเรื่องแต่งงาน เรื่องลูกตั้งแต่คบกันได้ 2-3 ปี
ก่อนหน้านี้เราก็เคยคุยกับเค้าว่าเราไม่อยากมีลูกเองนะ
ถ้าจะเลี้ยงเด็กสักคนเราอยากขอเด็กกำพร้ามาเลี้ยง
แล้วครั้งนั้นก็เป็นครั้งแรกที่ทะเลาะกันเรื่องการมีลูก
เพราะเค้าอยากมีลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเค้า
วันนั้นเลยตกลงกันว่าเราจะมีลูกคนโตเอง และจะขออีกคนมาเลี้ยง
แต่ก็รับรู้ได้ว่าเค้าไม่อยากเลี้ยงลูกคนอื่น เหมือนเค้ายอมๆไปเพื่อจบปัญหา
แล้วเราก็ไม่ค่อยคุยกันเรื่องนี้แบบหนักๆอีก แต่เค้าก็จะรู้ว่าเราไม่อยากมีลูกนะ
เพราะเราเป็นคนคิดมากคิดเยอะ เราจะพูดตลอดว่าไม่อยากให้มีเด็กเกิดมา

ที่ผ่านมาจนอาทิตย์ที่แล้ว เราก็คิดว่าเค้าโอเคกับการที่เราจะไม่มีลูกกันมาตลอด
เพราะเรามีหลาน แล้วเคยบอกเค้าว่าเราจะไม่มีลูก เราจะเลี้ยงหลานให้ดี
เพราะน้องเรา (แม่ของหลาน) ยังเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพร้อมจะเป็นแม่คนเท่าไหร่
บางครั้งเราสงสารหลานก็จะคุยกันกับแฟน แฟนก็จะบอกว่างั้นเรารับหลานเป็นลูก
มันเลยทำให้เราคิดว่า เออ มันโอเคแล้วกับการที่ชีวิตคู่ของเราจะไปในทิศทางนี้
แล้วเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราส่งลิ้งก์การทำหมันผู้ชายไปให้เค้า
แล้วเค้าตอบกลับมาว่าไม่ทำ เราเลยถามเค้าว่า ที่บอกว่าไม่ทำนี่หมายความว่า
จะให้เราเป็นคนทำเอง หรือเธอจะมีลูก เค้าตอบกลับมาว่า เค้าอยากมีลูก
เราเลยตัดสินใจว่าโอเค เราต้องคุยกันใหม่แล้ว เราไม่อยากมีลูก
มากสุดที่จะให้ได้ตอนนี้คือรับเด็กในสถานสงเคราะห์มาเลี้ยง
เราไม่อยากให้มีชีวิตใดๆเกิดมาแล้ว ถ้าจะเลี้ยงเด็กสักคน ก็อยากจะเลี้ยง
เด็กที่เค้าขาดพ่อแม่เด็กที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ
วันนั้นเราเลยพูดกับเค้า และบอกเหตุผลกับเค้าเหมือนเดิม

อันนี้คือเหตุผลของเรานะคะ มันอาจดูเหมือนคนเยอะคิดมากเกินไป เราเข้าใจนะถ้าใครจะด่า
***เหตุผลในเรื่องความรู้สึกของเรา...เกี่ยวกับคนและสังคมทุกวันนี้
คือเราอาจจะมีปัญหาในครอบครัวที่ทำให้เราไม่ค่อยมีความสุขในการมีชีวิตเท่าไหร่
เราเป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง คิดมาก ฯลฯ
เราว่าสังคมทุกวันนี้มันน่ากลัว ครูในโรงเรียน พี่เลี้ยง สังคมแวดล้อมเด็ก
การแข่งขันที่สูงขึ้น แต่ก่อนเราเชื่อว่าผู้หญิงคือเพศที่ขี้นินทา แต่พอทำงานเราเห็น
ผู้ชายมีลูกมีเมียกลับเป็นพวกที่น่ากลัวกว่า ผู้ใหญ่นินทาแม้กระทั่งเด็ก 5 ขวบ
และแกล้งบอกการบ้าน เด็กจะได้ไม่ต้องคิดเอง เพราะเกลียดแม่ของเด็กคนนั้น
ซึ่งอะไรพวกนี้มันทำให้เราปล่อยวางไม่ได้ถ้าเกิดจะปล่อยลูกไว้กับคนอื่น
อีกอย่าง เราทุกข์ใจมากเวลาเห็นหลานไม่สบาย หลานร้องไห้เพราะเจ็บปวด
โดยที่เราช่วยอะไรไม่ได้ นี่แค่หลาน เรายังรักและทุกข์ใจมากเวลาเค้าไม่สบาย
แล้วถ้าเป็นลูก เราไม่รู้จะทำใจแข็งยังไง สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ
เรากลัวเราจะทำให้ลูกมีความสุขไม่ได้ กลัวเราจะคาดหวังกดดันให้เค้าไม่มีความสุข

***อันนี้เหตุผลในเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นความจริงของโลกแล้ว
คือเราเรียนสายวิทย์ ชอบอ่านงานวิทย์ อ่านนิตยสารพวก National Geographic
ดูสารคดี มันทำให้เรารู้ว่าโลกเราทุกวันนี้ทรัพยากรมันเริ่มจะไม่พอกับประชากร
เรามีปัญหาเรื่องโลกร้อนกันมานานแล้ว และเราไม่มีทางแก้ได้ในชั่วชีวิตนี้
หรืออีกพันปีข้างหน้า ต่อให้เรายุติการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่วันนี้
โลกก็ยังฟื้นฟูตัวเองไม่ทันช่วงชีวิตลูกหลานเราอยู่ดี
เราเจอกับปัญหาภัยแล้งทุกปี อย่างปีก่อนๆมีประกาศว่ากรุงเทพน้ำอาจไม่ไหล
สรุปคือก็ยังไหลอยู่ แต่แถวปทุมธานีน้ำน่าจะไม่ไหลไปช่วงนึง
และเรายังเจอปัญหาน้ำท่วมกันแทบทุกปีอีก ไหนจะเรื่องไวรัส
ที่คาดการณ์กันว่ามันจะพัฒนาไปเร็วจนเอาชนะยาปฏิชีวนะทุกชนิดที่เรามี
และจะทำให้ประชากรโลกลดลงไปมากกว่าสิบล้านคน
ข้อมูลพวกนี้ไม่ได้ออกตามข่าวในช่องปกติ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับรู้ว่า
โลกเรามีปัญหาเรื่องประชากร ประเทศเราก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ด้วย
เราไม่รู้ว่าการที่ต่างชาติมาลงทุนตั้งโรงงานในบ้านเราเกิดผลเสียมากขนาดไหน
เรารับรู้แค่ว่ามีเม็ดเงินมหาศาล มีการจ้างงาน
แต่มลพิษและของเสียที่สร้างขึ้นมาจากโรงงานเหล่านั้นเราไม่รับรู้เลย
ประเทศที่ร่ำรวยพยายามผลักดันโรงงานเหล่านี้ออกจากประเทศเขา
การผูกขาดอาหารที่ปศุสัตว์แทบทุกอย่างมีสารปนเปื้อน สารเร่งโต ผักที่แม้แต่
ปลอดสารพิษแต่ก็ซื้อเมล็ดพันธุ์ดัดแปลงมาจากบริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่ง
และประเทศเราทั้งผู้มีอำนาจและประชาชนทั่วไปไม่ได้มีจิตสำนึกรัก
ป่าไม้และธรรมชาติ นี่ก็คิดจะระเบิดแก่งแม่น้ำโขงกันอยู่
เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกันไปหมด มันอาจจะดูกว้างเกินกว่าจะเอามาเป็นเหตุผล
ที่ไม่ยอมมีลูก แต่เราไม่อยากให้เด็กคนไหนเกิดมาเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำ
พายุ น้ำท่วม สภาพของโลกมันไม่น่าอยู่แล้ว

เราไม่มีสิทธิ์ทำลายชีวิตอื่น แต่เรามีสิทธิ์อะไรกำหนดให้ชีวิตหนึ่งเกิดมา
อย่างในศาสนาพุทธ ที่สุดแล้วคือการนิพพาน คือไม่เวียนว่ายตายเกิด
แต่เรากับสร้างชีวิตให้เกิดมา แล้วเรียกมันว่าเป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่
ไม่มีสิ่งใดสามารถตอบแทนการกระทำนี้ได้

อันนี้ความรู้สึกเราล้วนๆ ต้องโดนด่าแน่นอน รู้ตัวว่าเห็นต่างกับสังคมอย่างมาก
เรามองว่าคนอยากมีลูกนี่อยากมีเพื่ออะไรกันบ้าง บางคนอยากมีเพื่อเลี้ยงดูตอนแก่
บางคนบอกว่า อยากมี อยากรัก อยากดูแล ส่วนอันนี้คนแถวบ้านเรา (อีสาน)
เป็นกันมากคือ มีลูกเพื่อให้ลูกมาตอบแทนบุญคุณตัวเอง ลงทุนแค่ให้ชีวิตเค้า
แต่ไม่เคยลงทุนเรื่องการศึกษาดีๆ แต่คาดหวังให้ลูกหาเงินมาเลี้ยงตัวเองเยอะๆ
และพูดว่ามันคือบุญคุณ กูคือพ่อ กูคือแม่

เรามองว่าทุกการอยากมี คือความเห็นแก่ตัวของเราทั้งนั้น
เรามีลูกเพื่อเติมเต็มตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีความสุข
ยิ่งถ้ารู้ว่าโลกเราไม่น่าอยู่ รู้ว่าเจนเนอเรชั่นต่อไป
ต้องเจอสภาวะที่เลวร้าย แต่ยังอยากให้มีหนึ่งชีวิตเกิดมาทำไม
ในเมื่อบอกว่าคุณจะรักลูก แล้วอยากให้คนที่คุณรักมากๆมาเจออะไรแบบนี้เหรอ
เพื่อให้เค้าเกิดมาเพื่อเรียนรู้เหรอชีวิตเหรอ จำเป็นรึเปล่า แล้วมันมีกฎอะไรที่บอกว่า
เราแต่งงานเพื่อจะต้องมีลูก นอกเสียจากว่ามันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ที่เกิดมาเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ แต่นี่เผ่าพันธุ์ของเราก็มีมากจนไปทำลายเผ่าพันธุ์อื่น
เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล มีตรรกะ
แต่ทำไมเราถึงยังอยากหาความสุขจากชีวิตอื่นอีก

เรารู้ว่ามีคนเห็นต่างมากแน่นอน เราอยากฟังเหตุผลของคนอยากมีลูก
จำเป็นอะไรที่ต้องเป็นเลือดเนื้อตัวเอง
ทำไมถึงเอาเด็กกำพร้ามาเลี้ยงไม่ได้คะ
แล้วเคยมีคู่ไหนที่ต้องเลิกกันเพราะเห็นต่างเรื่องอยากมีลูกกับไม่อยากมีลูกมั้ยคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่