สวัสดีค่ะ ไม่คิดเลยว่าในชีวิตๆหนึ่งจะได้เจออะไรแบบนี้ แล้วลงเอยแบบนี้
แล้วก็ต้องมาเขียนกระทู้ใน Pantip แบบนี้
ขอเริ่มเลยแล้วกันนะคะ ^^
เราเป็นผู้หญิงโสด วัยเริ่มต้นกลางคน หน้าที่การงานเป็น วิศวกรสื่อสาร ค่ะ เงินเดือนก็เยอะพอสมควร
ชีวิตดีมากค่ะ อยากไปไหนก็ไป อยากเล่นเกมส์ตอนไหนก็ได้เล่น อยากทำอะไรก็ได้ทำ ทุกอย่างค่ะ
หลังจากที่เราผ่านวิกฤตชีวิตหลังจากที่ตัวเองรู้ว่าเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง เมื่อ2ปีที่แล้ว
มีอยู่วันหนึ่งเรานั่งเล่นเกมส์ออนไลน์ในเกมส์หนึ่ง ก็เจอ ผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ได้พูดคุยเล่นเกมส์ด้วยกัน
คุยกันไปคุยกันมาก็ถูกคอ ค่ะ แล้วอีกไม่นานก็ตกลงปลงใจว่า จะเป็นแฟนกัน ...
และแล้วจุดเริ่มต้นตอนนี้ค่ะ
ตอนที่คุยๆระหว่างศึกษานิสัยใจคอกัน เขาก็บอกว่า เขามีลูกนะ รับได้มั้ย
ซึ่งเราก็คิดว่า ลูกเขาก็คงมีคนเดียว และก็คงจะโตแล้วล่ะมั้ง ถ้าคนเดียวเรารับไหวนะคะ
ก็เลยบอกไปว่า มีลูก ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ก็โอเคค่ะ ความสัมพันธ์ไปได้ดีค่ะ
จนวันนึงได้คุยกับเขาและเพื่อนๆน้องๆที่รู้จัก เขา ก็บอกกับทุกคนเลยว่า
เขา
มีลูก4คน ...
เมียที่มีลูกด้วยกัน คนที่1 เขามีด้วยกัน 3คน เลิกกันเพราะ ผู้หญิงอายุยังน้อยและใจแตก และเป็นเด็ก SL
ส่วน คนที่2 ก็มีเพิ่มมาอีก 1คน เลิกกันเพราะ ต่างคนต่างไม่มีเวลาให้ แม้แต่จะมีอะไรกัน
แต่เราก็ไม่ได้ไปคุยกับบรรดาเมียเก่าๆของเขาเป็นการส่วนตัวนะคะ เพราะไม่รู้จะคุยไปทำไม
เรานี่ช็อกสิคะ แอบไปคุยหลังไมค์กับเพื่อนผู้หญิงที่ไว้ใจได้ ตีโพยตีพาย ร้องไห้ปนช็อก
ว่าเราจะอยู่ยังไง อะไรมันจะเยอะขนาดนี้ และเราเองก็คงต้องเตรียมใจอะไรหลายๆอย่าง
หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้น แต่เขาก็เริ่มแสดงนิสัยที่ไม่โอเคเท่าไหร่นัก
อย่างเช่น ถ้าอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจเขา
เขาก็จะมองตรงนั้นและผู้คนตรงนั้นกลายเป็นคนไม่ดีไปเลย
แล้วถ้าเรามีฟีคแบคหรือเอฟเฟคอะไรก็แล้วแต่
เขาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นและบางทีพาลบอกเลิกก็มีค่ะ
แล้วมีวันนึงที่เขาไม่พอใจในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องค่ะ คือเราเล่นเกมส์ออนไลน์มันก็ต้องมีสังคมใช่มั้ยคะ?
มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่อายุเยอะแล้ว แล้วก็มารวมกลุ่มปาร์ตี้ในเกมส์กัน
เราก็นั่งคุยกัน กับน้องในเกมส์ที่เป็นผู้หญิงอีกคน
คุยกันเรื่องจิปาถะ ตามประสาเพื่อนๆ จนเขา(ซึ่งเขาบอกว่า เขาจะขอไปนอนก่อน ตื่นมาแล้วจะทักไป)
พอเขามา เรากับพี่ผู้ชายกับน้องสาว ก็ชวนเขามาคุยด้วย แต่เขาไม่ยอมคุยค่ะ กลับเอาตัวละครเดินหนี
แล้วก็เริ่มประชด ประชัน คนรอบข้าง จนเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ นี่ขนาดคุยให้เห็นต่อหน้า แล้วแถมชวนคุยด้วย
เขากลับไม่พอใจ แล้วอีกอย่าง เราจำได้แม่นเลยนะคะ ว่า พวกเรา3คนคุยกันเรื่อง ทำอาหาร
แล้วก็ว่าเราต่างนาๆ จนเราก็ทนไม่ไหวสวนไปเหมือนกัน ว่าอย่าให้มันมากนะ
ทะเลาะกันรุนแรงมาก จนพอเคลียร์เสร็จ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มกักบริเวณตัวเราค่ะ
จากที่เรามีเพื่อน กลายเป็นว่า ไม่มีเลยสักคน เขาไม่ให้เราติดต่อเพื่อนที่เขาไม่รู้จัก
ให้อยู่ ให้คุยกับ คนที่เขารู้จักเท่านั้น ไม่ให้เล่นเกมส์คนเดียว ให้ตัดขาดจากสังคม ไม่ให้เรามีสังคมเลย
เวลาเราเล่นเกมส์เขาถึงกับเฝ้ารอ ดูว่าเราแอบเข้าเกมส์หรือเปล่า
และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจหรือดูแลความรู้สึกเราเท่าที่ควรเลยค่ะ เวลาเกิดปัญหาอะไร
แต่เวลาดีก็ดีจนใจหายนะคะ จนเราเก็บกดความรู้สึกนี้เรื่อยๆ
แล้วเพื่อนของเขา พอเราเล่าเรื่องอะไร เพื่อนเขาก็ไปเล่าให้เขาฟังหมด
พอมีเรื่องที่ข้องใจเขาก็มาคุยและเอาเพื่อนมา
แต่เราไม่มีใครเลยค่ะ นอกจาก พี่ผู้ชายคนนั้น
เวลามีอะไรเพื่อนเขาอยู่ข้างเขา แต่ ไม่มีใครอยู่ข้างเรา นอกจาก พี่ผู้ชายคนนั้น
เพื่อนคนอื่นๆเราก็ไม่มีเลยเขาให้ตัดขาดหมด แล้วเห็นเขาเป็นแบบนี้ ใครๆก็ไม่กล้ายุ่งกับเราค่ะ
มีแต่พี่คนนั้นที่อยู่เคียงข้างเรา เราก็แอบคุยกับเขา อ้อลืมไปว่าพี่เขาเป็น ผู้ชายโสดไม่มีพันธะนะคะ
เขาปรึกษาได้ เขาดูแลความรู้สึกหนูได้ดีเลยทีเดียว(ในฐานะพี่น้องกันนะคะ)
ซึ่งต่างกับเขาที่พอมีอะไรก็ บอกว่า แล้วแต่ ตามใจ พอมีอะไร ก็ ประชด บอกเลิก ให้ไปมีคนใหม่
อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยยอมรับผิดและการกระทำของตัวเองที่ไม่ดีด้วย อย่างเช่น พูดแรง งี่เง่า ประชดเรา
ถึงยอมรับ ก็ยอมรับแบบประชดหรือไม่จบ
ถ้าถามว่า เขามีข้อดีอะไรมั้ย มีนะคะ แต่ข้อเสีย เขาก็มีเยอะเหมือนกันค่ะ
นับวันเข้า เราก็ยิ่งได้รู้อะไรเกี่ยวกับแม่ของลูกเขา จนเรารู้สึกว่า เราไม่แน่ใจว่าจะรับไหวมั้ย
จนเราทนไม่ไหว ไปเล่าความจริงให้พ่อแม่ฟัง แล้วพ่อก็พยายามให้เราใจเย็นๆ
ในวันที่ๆเรารู้สึกแย่ แต่เขาไม่ได้อยู่ข้างๆ ได้แต่เงียบ บางทีมีน้อยใจเรากลับด้วย
เราเหลือใคร ก็มีแค่ พี่ผู้ชายคนนั้น เราตัดสินใจปรึกษาพี่เขาเรื่องนี้ แล้วพี่เขาก็ถึงกับกุมขมับ
แล้วก็พูดว่า
มันไม่แฟร์กับเราทั้งชีวิตของเราเลยนะ
จนวันนึงเขาเกิดงี่เง่าเรื่องเราขึ้นมา ซึ่งไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร เราต้องทำงานข้างนอกช่วงนั้น
และต้องมีเหตุให้ไป กทม โดยไม่ได้บอกเขา และทะเลาะกันด้วยช่วงนั้น
ก็เลย โทรบอกพี่เขาให้มารับที่ดอนเมือง แล้วก็ช่วยกันหาห้องพัก
แล้วพอถึงที่พักก็เราก็จัดการธรุะของตัวเอง ส่วนพี่เขาก็กลับบ้านไปทำงานต่อ
แล้วเราก็ไปทำงาน จน ค่ำ ก็ยอมตัดทิฐิโทรหาเขา จนเขาบอกว่าเดี๋ยวไปรับ และได้ยินเสียงเด็ก(เอาลูกมาด้วย)
พอเจอกันก็ดีค่ะ เขารับปากว่าเขาจะลดความงี่เง่าลง จะดูแลความรู้สึกเราให้ดีกว่านี้ จะไม่บอกเลิก
ไปทานข้าวกับเพื่อนเขา และ เขาและลูก ลูกแกก็ซนใช้ได้เลย จนเราเผลอเอ็ดแรงๆไปบ้าง
จากนั้น เขาก็เอาลูกไปส่งบ้านแม่เขาค่ะ แต่ลูกเขากลับงอแงอยากนั่งหน้ารถ แล้วให้เรานั่งหลังรถ(อีกแล้ว)
พอถึงบ้านแม่เขา เขาก็พาลูกไป ส่วนเรารอในรถ เขาบอกว่าให้รอในรถ
แล้วเราก็กลับที่พักกันหลังจากนั้นก็
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไม่ต้องเล่าต่อเนอะ
รุ่งขึ้นก็พาลูกเขาไปทำบุญ ให้อาหารปลาค่ะ อ้อ เขาให้ลูกเขาเรียกว่าเราว่า แม่...ตามด้วยชื่อเล่น
ก็มีความสุขดีค่ะ เขาก็พาไปบ้านพ่อ แต่ไม่ได้เจอพ่อเขา เจอป้าๆน้าๆเขา
เราต่างกันจับมือลูก แต่ในหัวใจของเราไม่ได้สนิทใจมาก และคิดว่าต่อไปเราคงใจกว้างไม่พอแน่ๆ
แต่เราก็พยายามยอมรับ ทำใจ ทำใจให้เป็นกลาง พยายามใจกว้างให้เยอะๆ
เขาก็พาลูกกลับค่ะ พอเสร็จให้อาหารปลา แต่ลูกเขากลับงอแงอยากนั่งหน้ารถ แล้วให้เรานั่งหลังรถ(อีกแล้ว)
แต่เขาให้เรารอในรถเหมือนเดิม เขาบอกแค่ว่า
ให้รอในรถ เดี๋ยวลูกมันพาลไม่กลับ แล้วพอเขามาพร้อมกับกับข้าวที่บ้านเขา
เรามีความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทำสีหน้าไม่ดีแล้วถามว่า
จะไม่พอใจใช่มั้ย ?
เวลาเรารู้สึกไม่ดี ไม่ว่าเรื่องอะไร เขาก็พูดว่า
จะไม่พอใจใช่มั้ย เค้าจะได้กลับ
แล้วเขาก็เริ่มคาดหวังจากเรามากขึ้นเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กน้อย จนไปเรื่องใหญ่โต
จนกลางคืน พี่ผู้ชายคนนั้นก็ส่งข้อความมาถามว่า นอนหรือยัง แต่เราไม่ได้ตอบ แต่ เขาเห็น เขาก็ไม่พอใจ
เรายอมรับค่ะ ว่า เราบอกเขาว่าจะตัดขาดกับเพื่อนทุกคนไม่ว่า ผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เราคิดไปคิดมา
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเรานี่ตัวคนเดียวไม่เหลือใครเลยนะคะ เขามีเพื่อน มีลูก
แล้วก็ทะเลาะกัน จนวันรุ่งขึ้นเราไปทำงานค่ะ
และเราบอกว่า เราอยากจะไปสนามหลวง(ช่วงนั้นเป็นช่วงแรกๆที่เปิดพระราชทานอนุญาตให้ประชาชนเข้าเฝ้าพระบรมศพค่ะ)
เขาบอกว่าเขาจะไม่มีชุดแต่จะพยายามหามา และจะไปด้วย
จนสุดท้ายเขาก็บอกว่า เขาไม่มีชุดนะ แล้วเหมือน งอนๆเราน้อยใจเราด้วย แต่เราอยากให้เขาเข้าใจค่ะ
จนพี่ผู้ชายคนนั้นทักไลน์มาว่า เดี๋ยวพี่ไปด้วยซิ ไหนๆก้ไหนๆแล้ว
พี่ก็อยากเข้าเฝ้าพระองค์ท่านเหมือนกัน ก็สรุป นัดเจอที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆแถวนั้น
แล้วนั่งรถเมล์ไปกันค่ะ
พอถึงสนามหลวงก็ หาทางเข้าประตูวังและได้เข้าเฝ้าพระขบวนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.10 ด้วยค่ะ
พอเข้าเฝ้าเสร็จก็ต่างคนต่างกลับค่ะ แล้วเขาก็ส่งรูปมาบอกว่า อยากกินข้าวกับเมีย แต่เมียไปสนามหลวง
แล้วเราต้องเข้าเวรไปที่ รถกระจายสัญญาณที่บริเวณสนามหลวงด้วยค่ะ เข้ากลางคืน ก็เลยต้องไป แล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ
จนวันรุ่งขึ้น คือวันที่เรากลับ เขาก็มาส่งที่สถานีบางซื่อ แต่ก่อนกลับก็ได้อยู่ด้วยกันจนทะเลาะกันอีกครั้งเรื่องพี่ผู้ชายคนนี้
แกมาขอดูโทรศัพท์เรา เราก็ให้ดู แต่เราลบแชทพี่คนนั้นไปแล้วเพราะไม่อยากมีปัญหาและไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม
จริงๆแล้ว เรื่องโทรศัพท์เขาก็ไม่เคยให้เราดูนะ เรื่องบรรดาเมียที่เขามีลูกด้วยกัน บอกตรงๆ
ยิ่งรู้ยิ่งรับไม่ได้ค่ะ
รู้สึกว่าเราไม่แฟร์ และได้รับการดูแลที่ไม่เท่ากัน เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่เหมือนเขาจัดการอะไรไม่ค่อยลงตัว
เราใจแคบมากนะ เราบอกตรงๆ
หลังจากนั้นพอถึงหาดใหญ่ เขาก็ตกลงกับเราว่า
ขอได้มั้ยอย่าคุยกับผู้ชายคนนี้ และคนไหนๆ ไม่ว่าเพื่อน หรือใคร
แล้วเพื่อนไม่ว่าจะเป็น ช หรือ ญ เขาต้องรู้จักด้วย ไม่งั้นเขาก็ไม่ให้เรามีเพื่อนค่ะ
และถ้าทะเลาะกัน3ครั้งในเดือนนั้น คือ เลิกจบแยก แต่ถ้าไม่ เขาก็จะพาแม่มาพูดเรื่องแต่งงานกับพ่อแม่ของเราค่ะ
ฟังแล้วอาจจะแปลกๆไปนะคะ คือ เขาเคยมีเมียมาแล้วแต่ไม่เคยตบแต่ง
และ ลูก3คนแรก เขาก็ไม่ได้เซ็นรับรองบุตร น่าจะมาเซ็นคนที่4
แต่ยังไงๆก็ยังเป็นลูกนอกสมรสอยู่ดี
นับแต่นั้นมาก็มีทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง เราก็มีโรคประจำตัว ก็นอนโรงพยาบาลตามระเบียบ
แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าเราเก็บกดสิ่งเหล่านี้ ความน้อยใจ ความเสียใจ ความอิจฉาริษยาต่างๆ ไว้คนเดียว
ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆเราขอรับไว้เพียงผู้เดียว
ปัญหาก็เกิดขึ้นระหว่าง เขากับพี่คนนั้นก็มีบ้างคะ เพราะเขาสองคนก็เล่นสงครามประสาทกัน
แต่เราเข้าไปเตือนทั้งคู่ จะไม่เข้าข้างใครทั้งงั้น ด่าก็ด่าทั้งคู่เลย
อีกอย่างเขาก็เรื่องเยอะสะจนเราจะรับมือไหวหรือเปล่าไม่รู้ แต่เวลาเราชี้โน่นชี้นู้น ก็ มีปัญหาขึ้นมาทันที
อีกอย่างเขาไม่พอใจอะไรก็ วางหูสายใส่ พอเตือนพอพูดพอบ่นอะไรก็ไม่ได้ โมโหขึ้นมา พาลบอกเลิก
จนเราถอดใจเลยค่ะ เขาอยากให้เราเข้าใจเขา แต่เขาไม่พยายามเข้าใจเรา
จนถึงจุดแตกหัก ซึ่งเราคิดไว้แล้วว่ามันสุดแล้วจริงๆ
เราทะเลาะกับเราเรื่อง ID Password ค่ะ เราเป็นคนเปิดเผย แต่ เขาไม่ จนเราโมโห เขาก็บอกว่าทีงี้จะเรียกร้องขึ้นมาทันที
แต่เราบอกว่า ทีเรื่องที่ต้องคุยกลับเงียบ แต่เรื่องบ้าๆกลับพูดขึ้นมาหมายความว่าไง
จนเขาพาลบอกเลิกเราอีกแล้ว แล้วเราก็โมโห เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็น้อยใจสิ ทำไมมีไรชอบบอกเลิก
เขาก็บอกว่า ไม่พอใจก็เลิกกันไปเลยป่ะ เรานี่เซ็งเลย เราน้อยใจ มีฟีคแบคขึ้นมา เขาก้ไม่พอใจเราทันที
จนวันรุ่งขึ้นเขาแอบไปพัทยาโดยไม่บอกเรา แล้ว เรารู้จากเพื่อนเขา
แล้วก็คุยกับเขา เขาตอบมาว่า
อยากให้เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ?
แล้วก็วางสายใส่
เรานี่หมดใจเลยค่ะ แล้วมีงานที่ต่างประเทศพอดี เลย รีบจองตั๋ว โหลดของ Oversize ไป เวียงจันน์ ทันที
แล้วโทรบอกเขาก่อนขึ้นเครื่อง เขาบอกว่าโทรมาบอกทำไม เขากำลังเที่ยวอยู่ อยากให้เป็นแบบนี้เองหนิ
เราก็ถอดใจ ปิดเครื่องไปโดยตลอด มาเปิดที่เวียงจันน์ สัญญาณดีใช้ได้เลยทีเดียว(ประชดค่ะ)
เราทำงาน เราก็ติดต่อกับเขา เขาก็มานอยด์มาน้อยใจเรา จนเราเซ็งๆก็ทำงาน แล้วพิมพ์ไปว่า ถึงดอนเมืองค่อยคุยกัน
พอเรากลับกรุงเทพ ก็ได้เจอเขาตอนดึกๆ เขาบอกว่าเขาไปช่วยงานศพป้าเขา แถมติดงานด้วยจะได้ว่างลงไปหาดใหญ่
จนวันถัดมาเรามีปัญหาเรื่องงานอีก จนถึงย้ายที่อยู่ไปคลอง1 ก็เราก็น้อยใจเขานะ และถอดใจแล้วด้วย เลยบล็อกเฟสไป
แล้วติดต่อกับพี่ผู้ชายคนนั้นค่ะ เพราะมันฉุกเฉิน เพราะเรามากับ ลูกทีมอีก2คน จนเราปลดบล็อกคุยกับเขา เขากะยังน้อยใจเรากลับ
และพาลบอกเลิก แล้วก็เราปวดหัวมากจนต้องขอช่วยพี่ผู้ชายคนนั้นพาไปหาหมอหน่อย แล้วก็พาไปแล้วก็มีถ่ายรูปด้วยกัน
แต่เรามารู้ทีหลังว่าเขาเอามาเป็น Wall Line เราบอกให้เปลี่ยนเขาก็บอกไม่
ก่อนกลับหาดใหญ่ เราก็ไปบ้านพี่ผู้ชายคนนี้คะ ส่วนลูกทีมเราก็ อยู่ใกล้ๆ
พี่เขาพามาที่บ้าน แล้วก็ อาศัยที่นอนเขา 1คืน ก่อนกลับหาดใหญ่
เพราะเงินเราก็ไม่ค่อยมี เขาก็โอนเงินมาให้เราแค่ 500 ค่ะ
เรานอนเตียง เขานอนพื้นค่ะ
พี่เขาก็ดูแลเราดีมากค่ะ ทำกับข้าวให้ คอยบีบนวดซีกซ้ายเราตลอด ส่วน เขาก็ไปรับลูกเพราะลูกไม่สบายค่ะ
เรารู้ว่าเราลำบาก เขาก็ให้เรารอเขา แต่เราไม่รู้จะรอยังไง เขาก็ไปเอาลูกก่อนอยู่ดี
ประสบการณ์และรวมไปถึงคำสารภาพถึงเขาคนนั้น และอุทาหรณ์เบาๆสำหรับคนโสดที่คบกับคนที่มีพันธะ(มีลูก)
แล้วก็ต้องมาเขียนกระทู้ใน Pantip แบบนี้
ขอเริ่มเลยแล้วกันนะคะ ^^
เราเป็นผู้หญิงโสด วัยเริ่มต้นกลางคน หน้าที่การงานเป็น วิศวกรสื่อสาร ค่ะ เงินเดือนก็เยอะพอสมควร
ชีวิตดีมากค่ะ อยากไปไหนก็ไป อยากเล่นเกมส์ตอนไหนก็ได้เล่น อยากทำอะไรก็ได้ทำ ทุกอย่างค่ะ
หลังจากที่เราผ่านวิกฤตชีวิตหลังจากที่ตัวเองรู้ว่าเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง เมื่อ2ปีที่แล้ว
มีอยู่วันหนึ่งเรานั่งเล่นเกมส์ออนไลน์ในเกมส์หนึ่ง ก็เจอ ผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ได้พูดคุยเล่นเกมส์ด้วยกัน
คุยกันไปคุยกันมาก็ถูกคอ ค่ะ แล้วอีกไม่นานก็ตกลงปลงใจว่า จะเป็นแฟนกัน ...
และแล้วจุดเริ่มต้นตอนนี้ค่ะ
ตอนที่คุยๆระหว่างศึกษานิสัยใจคอกัน เขาก็บอกว่า เขามีลูกนะ รับได้มั้ย
ซึ่งเราก็คิดว่า ลูกเขาก็คงมีคนเดียว และก็คงจะโตแล้วล่ะมั้ง ถ้าคนเดียวเรารับไหวนะคะ
ก็เลยบอกไปว่า มีลูก ก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ก็โอเคค่ะ ความสัมพันธ์ไปได้ดีค่ะ
จนวันนึงได้คุยกับเขาและเพื่อนๆน้องๆที่รู้จัก เขา ก็บอกกับทุกคนเลยว่า
เขา มีลูก4คน ...
เมียที่มีลูกด้วยกัน คนที่1 เขามีด้วยกัน 3คน เลิกกันเพราะ ผู้หญิงอายุยังน้อยและใจแตก และเป็นเด็ก SL
ส่วน คนที่2 ก็มีเพิ่มมาอีก 1คน เลิกกันเพราะ ต่างคนต่างไม่มีเวลาให้ แม้แต่จะมีอะไรกัน
แต่เราก็ไม่ได้ไปคุยกับบรรดาเมียเก่าๆของเขาเป็นการส่วนตัวนะคะ เพราะไม่รู้จะคุยไปทำไม
เรานี่ช็อกสิคะ แอบไปคุยหลังไมค์กับเพื่อนผู้หญิงที่ไว้ใจได้ ตีโพยตีพาย ร้องไห้ปนช็อก
ว่าเราจะอยู่ยังไง อะไรมันจะเยอะขนาดนี้ และเราเองก็คงต้องเตรียมใจอะไรหลายๆอย่าง
หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้น แต่เขาก็เริ่มแสดงนิสัยที่ไม่โอเคเท่าไหร่นัก
อย่างเช่น ถ้าอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจเขา เขาก็จะมองตรงนั้นและผู้คนตรงนั้นกลายเป็นคนไม่ดีไปเลย
แล้วถ้าเรามีฟีคแบคหรือเอฟเฟคอะไรก็แล้วแต่ เขาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นและบางทีพาลบอกเลิกก็มีค่ะ
แล้วมีวันนึงที่เขาไม่พอใจในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องค่ะ คือเราเล่นเกมส์ออนไลน์มันก็ต้องมีสังคมใช่มั้ยคะ?
มีเพื่อนผู้ชายคนหนึ่งที่อายุเยอะแล้ว แล้วก็มารวมกลุ่มปาร์ตี้ในเกมส์กัน
เราก็นั่งคุยกัน กับน้องในเกมส์ที่เป็นผู้หญิงอีกคน
คุยกันเรื่องจิปาถะ ตามประสาเพื่อนๆ จนเขา(ซึ่งเขาบอกว่า เขาจะขอไปนอนก่อน ตื่นมาแล้วจะทักไป)
พอเขามา เรากับพี่ผู้ชายกับน้องสาว ก็ชวนเขามาคุยด้วย แต่เขาไม่ยอมคุยค่ะ กลับเอาตัวละครเดินหนี
แล้วก็เริ่มประชด ประชัน คนรอบข้าง จนเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ นี่ขนาดคุยให้เห็นต่อหน้า แล้วแถมชวนคุยด้วย
เขากลับไม่พอใจ แล้วอีกอย่าง เราจำได้แม่นเลยนะคะ ว่า พวกเรา3คนคุยกันเรื่อง ทำอาหาร
แล้วก็ว่าเราต่างนาๆ จนเราก็ทนไม่ไหวสวนไปเหมือนกัน ว่าอย่าให้มันมากนะ
ทะเลาะกันรุนแรงมาก จนพอเคลียร์เสร็จ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มกักบริเวณตัวเราค่ะ
จากที่เรามีเพื่อน กลายเป็นว่า ไม่มีเลยสักคน เขาไม่ให้เราติดต่อเพื่อนที่เขาไม่รู้จัก
ให้อยู่ ให้คุยกับ คนที่เขารู้จักเท่านั้น ไม่ให้เล่นเกมส์คนเดียว ให้ตัดขาดจากสังคม ไม่ให้เรามีสังคมเลย
เวลาเราเล่นเกมส์เขาถึงกับเฝ้ารอ ดูว่าเราแอบเข้าเกมส์หรือเปล่า
และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจหรือดูแลความรู้สึกเราเท่าที่ควรเลยค่ะ เวลาเกิดปัญหาอะไร
แต่เวลาดีก็ดีจนใจหายนะคะ จนเราเก็บกดความรู้สึกนี้เรื่อยๆ
แล้วเพื่อนของเขา พอเราเล่าเรื่องอะไร เพื่อนเขาก็ไปเล่าให้เขาฟังหมด
พอมีเรื่องที่ข้องใจเขาก็มาคุยและเอาเพื่อนมา
แต่เราไม่มีใครเลยค่ะ นอกจาก พี่ผู้ชายคนนั้น
เวลามีอะไรเพื่อนเขาอยู่ข้างเขา แต่ ไม่มีใครอยู่ข้างเรา นอกจาก พี่ผู้ชายคนนั้น
เพื่อนคนอื่นๆเราก็ไม่มีเลยเขาให้ตัดขาดหมด แล้วเห็นเขาเป็นแบบนี้ ใครๆก็ไม่กล้ายุ่งกับเราค่ะ
มีแต่พี่คนนั้นที่อยู่เคียงข้างเรา เราก็แอบคุยกับเขา อ้อลืมไปว่าพี่เขาเป็น ผู้ชายโสดไม่มีพันธะนะคะ
เขาปรึกษาได้ เขาดูแลความรู้สึกหนูได้ดีเลยทีเดียว(ในฐานะพี่น้องกันนะคะ)
ซึ่งต่างกับเขาที่พอมีอะไรก็ บอกว่า แล้วแต่ ตามใจ พอมีอะไร ก็ ประชด บอกเลิก ให้ไปมีคนใหม่
อีกอย่างเขาก็ไม่ค่อยยอมรับผิดและการกระทำของตัวเองที่ไม่ดีด้วย อย่างเช่น พูดแรง งี่เง่า ประชดเรา
ถึงยอมรับ ก็ยอมรับแบบประชดหรือไม่จบ
ถ้าถามว่า เขามีข้อดีอะไรมั้ย มีนะคะ แต่ข้อเสีย เขาก็มีเยอะเหมือนกันค่ะ
นับวันเข้า เราก็ยิ่งได้รู้อะไรเกี่ยวกับแม่ของลูกเขา จนเรารู้สึกว่า เราไม่แน่ใจว่าจะรับไหวมั้ย
จนเราทนไม่ไหว ไปเล่าความจริงให้พ่อแม่ฟัง แล้วพ่อก็พยายามให้เราใจเย็นๆ
ในวันที่ๆเรารู้สึกแย่ แต่เขาไม่ได้อยู่ข้างๆ ได้แต่เงียบ บางทีมีน้อยใจเรากลับด้วย
เราเหลือใคร ก็มีแค่ พี่ผู้ชายคนนั้น เราตัดสินใจปรึกษาพี่เขาเรื่องนี้ แล้วพี่เขาก็ถึงกับกุมขมับ
แล้วก็พูดว่า มันไม่แฟร์กับเราทั้งชีวิตของเราเลยนะ
จนวันนึงเขาเกิดงี่เง่าเรื่องเราขึ้นมา ซึ่งไม่แน่ใจว่าเรื่องอะไร เราต้องทำงานข้างนอกช่วงนั้น
และต้องมีเหตุให้ไป กทม โดยไม่ได้บอกเขา และทะเลาะกันด้วยช่วงนั้น
ก็เลย โทรบอกพี่เขาให้มารับที่ดอนเมือง แล้วก็ช่วยกันหาห้องพัก
แล้วพอถึงที่พักก็เราก็จัดการธรุะของตัวเอง ส่วนพี่เขาก็กลับบ้านไปทำงานต่อ
แล้วเราก็ไปทำงาน จน ค่ำ ก็ยอมตัดทิฐิโทรหาเขา จนเขาบอกว่าเดี๋ยวไปรับ และได้ยินเสียงเด็ก(เอาลูกมาด้วย)
พอเจอกันก็ดีค่ะ เขารับปากว่าเขาจะลดความงี่เง่าลง จะดูแลความรู้สึกเราให้ดีกว่านี้ จะไม่บอกเลิก
ไปทานข้าวกับเพื่อนเขา และ เขาและลูก ลูกแกก็ซนใช้ได้เลย จนเราเผลอเอ็ดแรงๆไปบ้าง
จากนั้น เขาก็เอาลูกไปส่งบ้านแม่เขาค่ะ แต่ลูกเขากลับงอแงอยากนั่งหน้ารถ แล้วให้เรานั่งหลังรถ(อีกแล้ว)
พอถึงบ้านแม่เขา เขาก็พาลูกไป ส่วนเรารอในรถ เขาบอกว่าให้รอในรถ
แล้วเราก็กลับที่พักกันหลังจากนั้นก็[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รุ่งขึ้นก็พาลูกเขาไปทำบุญ ให้อาหารปลาค่ะ อ้อ เขาให้ลูกเขาเรียกว่าเราว่า แม่...ตามด้วยชื่อเล่น
ก็มีความสุขดีค่ะ เขาก็พาไปบ้านพ่อ แต่ไม่ได้เจอพ่อเขา เจอป้าๆน้าๆเขา
เราต่างกันจับมือลูก แต่ในหัวใจของเราไม่ได้สนิทใจมาก และคิดว่าต่อไปเราคงใจกว้างไม่พอแน่ๆ
แต่เราก็พยายามยอมรับ ทำใจ ทำใจให้เป็นกลาง พยายามใจกว้างให้เยอะๆ
เขาก็พาลูกกลับค่ะ พอเสร็จให้อาหารปลา แต่ลูกเขากลับงอแงอยากนั่งหน้ารถ แล้วให้เรานั่งหลังรถ(อีกแล้ว)
แต่เขาให้เรารอในรถเหมือนเดิม เขาบอกแค่ว่า
ให้รอในรถ เดี๋ยวลูกมันพาลไม่กลับ แล้วพอเขามาพร้อมกับกับข้าวที่บ้านเขา
เรามีความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็ทำสีหน้าไม่ดีแล้วถามว่า จะไม่พอใจใช่มั้ย ?
เวลาเรารู้สึกไม่ดี ไม่ว่าเรื่องอะไร เขาก็พูดว่า จะไม่พอใจใช่มั้ย เค้าจะได้กลับ
แล้วเขาก็เริ่มคาดหวังจากเรามากขึ้นเรื่อยๆ จากเรื่องเล็กน้อย จนไปเรื่องใหญ่โต
จนกลางคืน พี่ผู้ชายคนนั้นก็ส่งข้อความมาถามว่า นอนหรือยัง แต่เราไม่ได้ตอบ แต่ เขาเห็น เขาก็ไม่พอใจ
เรายอมรับค่ะ ว่า เราบอกเขาว่าจะตัดขาดกับเพื่อนทุกคนไม่ว่า ผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เราคิดไปคิดมา
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆเรานี่ตัวคนเดียวไม่เหลือใครเลยนะคะ เขามีเพื่อน มีลูก
แล้วก็ทะเลาะกัน จนวันรุ่งขึ้นเราไปทำงานค่ะ
และเราบอกว่า เราอยากจะไปสนามหลวง(ช่วงนั้นเป็นช่วงแรกๆที่เปิดพระราชทานอนุญาตให้ประชาชนเข้าเฝ้าพระบรมศพค่ะ)
เขาบอกว่าเขาจะไม่มีชุดแต่จะพยายามหามา และจะไปด้วย
จนสุดท้ายเขาก็บอกว่า เขาไม่มีชุดนะ แล้วเหมือน งอนๆเราน้อยใจเราด้วย แต่เราอยากให้เขาเข้าใจค่ะ
จนพี่ผู้ชายคนนั้นทักไลน์มาว่า เดี๋ยวพี่ไปด้วยซิ ไหนๆก้ไหนๆแล้ว
พี่ก็อยากเข้าเฝ้าพระองค์ท่านเหมือนกัน ก็สรุป นัดเจอที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆแถวนั้น
แล้วนั่งรถเมล์ไปกันค่ะ
พอถึงสนามหลวงก็ หาทางเข้าประตูวังและได้เข้าเฝ้าพระขบวนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.10 ด้วยค่ะ
พอเข้าเฝ้าเสร็จก็ต่างคนต่างกลับค่ะ แล้วเขาก็ส่งรูปมาบอกว่า อยากกินข้าวกับเมีย แต่เมียไปสนามหลวง
แล้วเราต้องเข้าเวรไปที่ รถกระจายสัญญาณที่บริเวณสนามหลวงด้วยค่ะ เข้ากลางคืน ก็เลยต้องไป แล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันค่ะ
จนวันรุ่งขึ้น คือวันที่เรากลับ เขาก็มาส่งที่สถานีบางซื่อ แต่ก่อนกลับก็ได้อยู่ด้วยกันจนทะเลาะกันอีกครั้งเรื่องพี่ผู้ชายคนนี้
แกมาขอดูโทรศัพท์เรา เราก็ให้ดู แต่เราลบแชทพี่คนนั้นไปแล้วเพราะไม่อยากมีปัญหาและไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม
จริงๆแล้ว เรื่องโทรศัพท์เขาก็ไม่เคยให้เราดูนะ เรื่องบรรดาเมียที่เขามีลูกด้วยกัน บอกตรงๆ ยิ่งรู้ยิ่งรับไม่ได้ค่ะ
รู้สึกว่าเราไม่แฟร์ และได้รับการดูแลที่ไม่เท่ากัน เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา แต่เหมือนเขาจัดการอะไรไม่ค่อยลงตัว
เราใจแคบมากนะ เราบอกตรงๆ
หลังจากนั้นพอถึงหาดใหญ่ เขาก็ตกลงกับเราว่า
ขอได้มั้ยอย่าคุยกับผู้ชายคนนี้ และคนไหนๆ ไม่ว่าเพื่อน หรือใคร
แล้วเพื่อนไม่ว่าจะเป็น ช หรือ ญ เขาต้องรู้จักด้วย ไม่งั้นเขาก็ไม่ให้เรามีเพื่อนค่ะ
และถ้าทะเลาะกัน3ครั้งในเดือนนั้น คือ เลิกจบแยก แต่ถ้าไม่ เขาก็จะพาแม่มาพูดเรื่องแต่งงานกับพ่อแม่ของเราค่ะ
ฟังแล้วอาจจะแปลกๆไปนะคะ คือ เขาเคยมีเมียมาแล้วแต่ไม่เคยตบแต่ง
และ ลูก3คนแรก เขาก็ไม่ได้เซ็นรับรองบุตร น่าจะมาเซ็นคนที่4
แต่ยังไงๆก็ยังเป็นลูกนอกสมรสอยู่ดี
นับแต่นั้นมาก็มีทะเลาะกันบ้าง ดีกันบ้าง เราก็มีโรคประจำตัว ก็นอนโรงพยาบาลตามระเบียบ
แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าเราเก็บกดสิ่งเหล่านี้ ความน้อยใจ ความเสียใจ ความอิจฉาริษยาต่างๆ ไว้คนเดียว
ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆเราขอรับไว้เพียงผู้เดียว
ปัญหาก็เกิดขึ้นระหว่าง เขากับพี่คนนั้นก็มีบ้างคะ เพราะเขาสองคนก็เล่นสงครามประสาทกัน
แต่เราเข้าไปเตือนทั้งคู่ จะไม่เข้าข้างใครทั้งงั้น ด่าก็ด่าทั้งคู่เลย
อีกอย่างเขาก็เรื่องเยอะสะจนเราจะรับมือไหวหรือเปล่าไม่รู้ แต่เวลาเราชี้โน่นชี้นู้น ก็ มีปัญหาขึ้นมาทันที
อีกอย่างเขาไม่พอใจอะไรก็ วางหูสายใส่ พอเตือนพอพูดพอบ่นอะไรก็ไม่ได้ โมโหขึ้นมา พาลบอกเลิก
จนเราถอดใจเลยค่ะ เขาอยากให้เราเข้าใจเขา แต่เขาไม่พยายามเข้าใจเรา
จนถึงจุดแตกหัก ซึ่งเราคิดไว้แล้วว่ามันสุดแล้วจริงๆ
เราทะเลาะกับเราเรื่อง ID Password ค่ะ เราเป็นคนเปิดเผย แต่ เขาไม่ จนเราโมโห เขาก็บอกว่าทีงี้จะเรียกร้องขึ้นมาทันที
แต่เราบอกว่า ทีเรื่องที่ต้องคุยกลับเงียบ แต่เรื่องบ้าๆกลับพูดขึ้นมาหมายความว่าไง
จนเขาพาลบอกเลิกเราอีกแล้ว แล้วเราก็โมโห เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราก็น้อยใจสิ ทำไมมีไรชอบบอกเลิก
เขาก็บอกว่า ไม่พอใจก็เลิกกันไปเลยป่ะ เรานี่เซ็งเลย เราน้อยใจ มีฟีคแบคขึ้นมา เขาก้ไม่พอใจเราทันที
จนวันรุ่งขึ้นเขาแอบไปพัทยาโดยไม่บอกเรา แล้ว เรารู้จากเพื่อนเขา
แล้วก็คุยกับเขา เขาตอบมาว่า อยากให้เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ?
แล้วก็วางสายใส่
เรานี่หมดใจเลยค่ะ แล้วมีงานที่ต่างประเทศพอดี เลย รีบจองตั๋ว โหลดของ Oversize ไป เวียงจันน์ ทันที
แล้วโทรบอกเขาก่อนขึ้นเครื่อง เขาบอกว่าโทรมาบอกทำไม เขากำลังเที่ยวอยู่ อยากให้เป็นแบบนี้เองหนิ
เราก็ถอดใจ ปิดเครื่องไปโดยตลอด มาเปิดที่เวียงจันน์ สัญญาณดีใช้ได้เลยทีเดียว(ประชดค่ะ)
เราทำงาน เราก็ติดต่อกับเขา เขาก็มานอยด์มาน้อยใจเรา จนเราเซ็งๆก็ทำงาน แล้วพิมพ์ไปว่า ถึงดอนเมืองค่อยคุยกัน
พอเรากลับกรุงเทพ ก็ได้เจอเขาตอนดึกๆ เขาบอกว่าเขาไปช่วยงานศพป้าเขา แถมติดงานด้วยจะได้ว่างลงไปหาดใหญ่
จนวันถัดมาเรามีปัญหาเรื่องงานอีก จนถึงย้ายที่อยู่ไปคลอง1 ก็เราก็น้อยใจเขานะ และถอดใจแล้วด้วย เลยบล็อกเฟสไป
แล้วติดต่อกับพี่ผู้ชายคนนั้นค่ะ เพราะมันฉุกเฉิน เพราะเรามากับ ลูกทีมอีก2คน จนเราปลดบล็อกคุยกับเขา เขากะยังน้อยใจเรากลับ
และพาลบอกเลิก แล้วก็เราปวดหัวมากจนต้องขอช่วยพี่ผู้ชายคนนั้นพาไปหาหมอหน่อย แล้วก็พาไปแล้วก็มีถ่ายรูปด้วยกัน
แต่เรามารู้ทีหลังว่าเขาเอามาเป็น Wall Line เราบอกให้เปลี่ยนเขาก็บอกไม่
ก่อนกลับหาดใหญ่ เราก็ไปบ้านพี่ผู้ชายคนนี้คะ ส่วนลูกทีมเราก็ อยู่ใกล้ๆ
พี่เขาพามาที่บ้าน แล้วก็ อาศัยที่นอนเขา 1คืน ก่อนกลับหาดใหญ่
เพราะเงินเราก็ไม่ค่อยมี เขาก็โอนเงินมาให้เราแค่ 500 ค่ะ
เรานอนเตียง เขานอนพื้นค่ะ
พี่เขาก็ดูแลเราดีมากค่ะ ทำกับข้าวให้ คอยบีบนวดซีกซ้ายเราตลอด ส่วน เขาก็ไปรับลูกเพราะลูกไม่สบายค่ะ
เรารู้ว่าเราลำบาก เขาก็ให้เรารอเขา แต่เราไม่รู้จะรอยังไง เขาก็ไปเอาลูกก่อนอยู่ดี