Arrival : ผู้มาเยือน (2016)
“Arrival มีมุมมองหนังที่โดดเด่น สร้างสรรค์ แปลกใหม่อย่างลึกซึ้ง”
“ภาษา คือ อาวุธที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์”
Arrival คือ หนังประเภท
Scifi-Drama ที่ได้รับกระแสวิจารณ์เชิงบวกจากนักวิจารณ์ทั้งหลายในเทศกาลหนัง อีกทั้งยังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ และด้วยความที่หนังฉีกแนว Sci-fi จากที่เคยได้เห็นๆมาแล้วในหลายเรื่อง จึงทำให้เป็นหนังที่จัดได้ว่าน่าสนใจมากสำหรับคอหนังสายไซไฟ
Arrival กำกับโดย
Denis Villeneuve สร้างมาจากเรื่องสั้น "Story of Your Life" ของ Ted Chiang โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของวัตถุประหลาดรูปทรงคล้าย UFO ขึ้นทั่วโลก 12 จุด ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดกับวัตถุประหลาดที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ทางรัฐบาลจึงได้เชิญ
ดร. หลุยส์ แบงค์ส (Amy Adams) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ และ
เอียน ดอนเนลลี่ (Jeremy Renner) มายังวัตถุประหลาดนี้ เพื่อสร้างทีมวิจัยและไขปริศนาว่า
‘สิ่งนั้นมาเพื่ออะไร’ และ
‘สิ่งนั้นเป็นภัยคุกคามต่อโลกหรือไม่’
Arrival เป็นหนังที่มีหัวใจหลักอยู่ที่คำว่า “เขามาทำไม?”
เนื้อหาหนัง Arrival มีแก่นหัวใจหนังอยู่ที่คำว่า
“เขามาทำไม?” เนื้อหาและองค์ประกอบของทั้งเรื่องจะมุ่งทุกอย่างเข้าสู่ปมนี้ เพื่อหาความหมายของปริศนา ส่วนการดำเนินเรื่องของหนัง ก็จะเป็นไปอย่างนิ่งๆ แต่กดดัน ตึงเครียด ลุ้นกันเหงื่อแทบแตก (หนังทำได้ลุ้นมาก) หนังจะเค้นอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการค่อยๆเฉลยปมปริศนาที่ทุกคนสงสัยและยังมีจุดหักมุมอย่างคาดไม่ถึง (ซึ่งอาจจะทำให้งงได้พอสมควร ถ้าตามไม่ทัน)
Arrival มีสไตล์หนัง Sci-fi ที่ฉีกกฎออกไปจากเดิมอย่างน่าสนใจ
Arrival เป็นหนัง Sci-fi ที่เล่นไปที่เรื่องเดิมๆ อย่าง Aliens บุกโลก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือ ปกติในหนังไซไฟเหล่านี้ ก็จะต้องมีฉากสงครามสู้รบกันอย่างเมามันส์ ปรากฏว่า Arrival ไม่มีเลยและอาวุธหลักที่ไขปริศนาเรื่องนี้ได้ก็ดันเป็น
‘ภาษา’ รวมถึงหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้ก็คือ การหาวิธีการที่สามารถสื่อสารกับผู้มาเยือนเหล่านี้ให้ได้ว่า
‘เขามาเพื่ออะไร’ มันจึงแหกขนบธรรมเนียมเดิมของหนังแนว Aliens บุกโลกที่เน้นไปทางสู้กันระเบิดตูมตาม ส่วนแนวหนังไซไฟปกติ ก็นิยมที่ยกให้
‘ฟิสิกส์ & เทคโนโลยีล้ำสมัย’ เป็นพระเอกเจ้าประจำ แต่ไม่ใช้สำหรับ Arrival เพราะ
‘ภาษาศาสตร์’ คือ พระเอกประจำเรื่องที่สามารถสร้างแก่นหนังได้อย่างทรงพลัง
รวมไปถึงสไตล์หนังที่แหวกแนวไปจากเรื่องอื่นๆ คือ ไซไฟที่ดันผสมกับ
‘แนวดราม่า’ อย่างหนัก
‘แนวปริศนาลี้ลับ’ ที่เล่นเอาคนลุ้นกันโคตรเครียด
‘แนวหนังกึ่งปรัชญา’ ที่เปิดกว้างให้คนคิดวิเคราะห์กันไปต่างๆนานา จนทำให้ผมต้องตั้งคำถามว่า
“ ภาษา คือ อาวุธที่ทรงพลังที่สุดหรือไม่ ? ” เรียกได้ว่า หนังเรื่องเดียวผสมสไตล์หนังที่หลากหลายเข้าด้วยกันอย่างลงตัวและทำออกมาได้ดีอีกด้วย
หนังยังสอดแทรกแนวคิดสาย
" ปรัชญาวิเคราะห์ (Analitic) " อย่างปรัชญาภาษาของ
Ludwig Wittgenstien ที่พยายามอธิบาย Concept ของภาษาและปรัชญาในแนวคิดที่ว่า ภาษาแต่ละภาษามีความแตกต่างกัน จึงสร้างระเบียบวิธีคิดของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หากเราสามารถเข้าใจถึงภาษาของสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูงกว่าได้ (ภาษาที่ไม่มีเส้นเวลา ภาษาที่ไม่ได้เขียนเป็นเส้นตรง) ก็เป็นไปได้ว่า
‘เราจะสามารถสร้างระเบียบวิธีคิดที่ทำให้เราเข้าใจถึงสรรพสิ่งในจักรวาลได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ’ รวมไปถึงแนวคิดเรื่อง Loop เวลาด้วย
หากเราไม่เข้าใจภาษา เราก็ไม่อาจคุยกับเขาได้อย่างรู้เรื่อง... เราจะไม่รู้เลยว่าเขามาเยือนทำไมและไม่รู้เลยว่า เราด้อยกว่าเขาหรือเหนือกว่าเขา.
นอกจากนี้ หนังก็สอดแทรกพวกเรื่องการเมืองระหว่างประเทศไว้ เช่น สไตล์การรับมือกับปัญหาของประเทศต่างๆ ที่มีวิธีการแก้ไขไม่เหมือนกัน พร้อมยังเปรียบเปรยเกี่ยวกับการมาของผู้มาเยือนว่า อาจจะเป็นเช่นเดียวกับตอนที่คนขาวได้พบอินเดียแดง หรือกัปตันคุกได้พบชนเผ่าอะบอริจิน
ด้วยแนวคิดต่างๆ เหล่านี้ ประกอบกับตัวหนังที่ไม่ได้ดูง่าย มีความซับซ้อนของเนื้อเรื่องสูง และสไตล์หนังที่นิ่งเรียบ ทำให้ผมรู้สึกว่า การดูหนังเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการค่อยๆ แกะปริศนาเช่นเดียวกับนางเอกค่อยๆ แกะตัวอักษร Aliens เลย เพราะ เราต้องขบคิดตลอดเวลา ตีความให้แตกและคอยจัดระบบความคิดใหม่ตลอดเวลา ความซับซ้อนของหนังจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน
อักษร Aliens มีความครีเอทีฟสูงมากและยังล้ำลึกอีกด้วย
ในส่วนการออกแบบและ Production หนังผมประทับใจในการออกแบบภาษาของ Aliens มากซึ่งมีความสร้างสรรค์สูง ดูแปลกตาไปจากภาษาที่เราเคยเห็นๆมา แต่ละตัวที่เขียนออกมา ก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นจุดเด่นของหนังที่น่าชื่นชม (มันน่าจะคิดได้ยากจริงๆ ล้ำลึกมากๆ) ส่วนด้านการดีไซน์และ CG ก็ทำได้เนียนตา เช่น ยาน Aliens ที่ลอยเหนืออยู่บนทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม ฉากต่างๆ เช่น การเดินบนยาน การฉายภาพตัวอักษรของ Aliens และตัว Aliens เอง เรียกได้ว่า
'CG เนียนตาและยังสร้างสรรค์ ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ'
ส่วนในจุดที่อาจจะเป็นข้อเสีย ก็คงเป็นหนังค่อนข้างเปิดให้ตีความกว้างและขณะดูต้องพยายามคิดตลอดเวลา ดังนั้นคนที่ไม่ชอบหนังคิดเยอะ ก็อาจจะเป็นแนวที่ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร รวมถึงหนังไม่ได้ดูง่าย มันดูยากและเข้าใจยากพอสมควร ผสมกับหนังดำเนินเรื่องค่อนข้างนิ่งในช่วงแรก ก็มีสิทธิ์หลับได้ แต่ถ้าคนชอบแนวนี้ ก็รับรองได้ว่า ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่องแบบไม่ต้องหายใจ
มีอีกจุดที่คิดว่าอาจเป็นข้อเสียก็คือ ผมรู้สึกว่า หนังน่าจะเน้นทำให้คนดูเข้าใจความหมายของตัวอักษร Aliens มากกว่านี้ คนจะได้อินมากขึ้นและบางส่วนของหนัง รวมถึงการเฉลยปมของหนัง มันมีความรู้สึกว่า ถึงแม้ปมของหนังจะหักมุมพลิกทั้งเรื่องได้ แต่วิธีการของมันดูง่ายเกินไป (แต่ก็มีเหตุผลรองรับรองรับอยู่นะครับ) คิดว่าหนังสามารถทำให้ลึกและวิธีการทำให้ดูยาก รวมถึงสมเหตุสมผลมากกว่านี้ได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดูเป็นข้อเสียที่ผมพูดมานี้ ก็ยังถือว่า ไม่ได้ส่งผลอะไรกับหนังมากมายนัก หนังยังคงยืนโดดเด่น สง่างามด้วยสีสันที่แปลกใหม่อย่างไม่เคยมีมาก่อนและโดยรวม หนังถือว่าทำได้ดี
นักแสดง : Amy Adams แสดงดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม
Amy Adams แสดงดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งด้านสีหน้าอารมณ์ ท่าทางดราม่าแบบเรียบ นิ่ง พร้อมแววตาอันเคร่งเครียดตลอดเวลา ภายใต้ความกดดัน กังวล เนื่องด้วยเวลาอันจำกัดในการไขปริศนาอักษรลึกลับนี้ ซึ่งเธอสามารถแสดงออกมาได้เป็นอย่างดี สมจริง ทำให้คนดูอินตามได้ ด้วยคุณภาพการแสดงเรื่องนี้ จึงทำให้ได้เธอได้เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงประเภทดราม่าอีกด้วยและสำหรับ Oscar ก็นับว่าน่าจับตามองในฐานะผู้เข้าชิงนักแสดงนำหญิง
ส่วน
Jeremy Renner ก็แสดงได้ดีสมบทบาท แต่ด้วยความที่บทบาทของ Jeremy ที่เป็นนักฟิสิกส์ไม่ได้ถูกส่งเสริมมากเท่าไร ก็ทำให้เขาไม่ได้โดดเด่นอะไรมากในหนังเรื่องนี้ (แต่ก็เป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้)
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : บีบอารมณ์ให้กดดันและลุ้นไปกับการแก้ปมปริศนา
ดนตรีของ Arrival ได้รับการประพันธ์ดนตรีโดย
Johann Johannsson(ได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม) ซึ่งถือว่าทำดนตรีประกอบได้ดีมาก ภายใต้บรรยากาศปริศนา พิศวง กดดัน แต่ก็มีอารมณ์ลุ้นระทึกแบบเครียดโคตรๆ มันเข้ากับหนังและเร้าอารมณ์คนอินให้อินกับหนังได้แนบแน่น
Soundtrack Arrival (Theme Song Official) - Musique du film Premier Contact (2016)
หนังยังมีการนำ
On the Nature of Daylight ของ
Max Richter มาใช้ เพื่อเน้นโทนบรรยากาศดราม่าเข้มข้น ซึ่งถือว่าเลือกเพลงมาได้ดี มันพอดีกับหนังและสร้างบรรยากาศดราม่าได้หนักแน่น แต่เพราะเพลงๆนี้นี่เอง ที่ทำให้หนังโดนตัดสิทธิ์อดเข้าชิง Oscar สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ เพราะ Score เพลงนี้ เคยถูกใช้มาแล้วในหนังเรื่อง
Shutter Island ถือว่าผิดกฏ Oscar
Arrival 2016 - Opening & Ending Soundtrack [Full HD 1080p]
สรุป
“การสื่อสารที่ผิดพลาด อาจนำมาซึ่งภัยหายนะอันใหญ่หลวงได้” คำพูดนี้ คือ สิ่งที่ Arrival อยากจะเสนอให้แก่คนดู เพราะว่า การสื่อสาร คือสิ่งสำคัญ มีมานักต่อนักแล้วที่การสื่อสารเกิดผิดพลาด คลาดเคลื่อน เข้าใจผิด สร้างสงคราม หายนะและความเสียหายต่อผู้คนมากมาย
สำหรับ Arrival ผมให้
8.7/10 (แต่ว่าด้าน Idea หนังไซไฟดราม่า ผมให้ 9.5/10) Arrival จัดได้ว่าเป็นหนังดีที่เปิดมุมมองใหม่ได้ไม่ซ้ำกับหนัง Sci-fi เรื่องอื่นๆ และยังนำ
‘ภาษาศาสตร์’ มาใช้เป็นแก่นอันทรงพลังของหนังได้อย่างสร้างสรรค์ แปลกใหม่ มีเนื้อเรื่องที่สนุกเข้มข้นและมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ผสมกับการต้องขบคิด ตีความตลอดเวลา ด้วยสไตล์หนังที่นิ่ง เรียบ ไม่หวือหวาและไม่มียิงกันถล่มกันเลยสักนิดเดียว (ถ้าใครไม่ชอบหนังตีความแบบนิ่งๆ ไม่แนะนำให้ดู เพราะ อาจจะหลับได้) รวมถึงหนังยังได้นักแสดงนำชั้นเยี่ยมอย่าง Amy Adams มาร่วมแสดง ผสานกับดนตรีประกอบสุดลุ้นระทึกตึงเครียด
'Arrival จะเป็นปริศนาให้คุณได้ไขความลับอันยิ่งใหญ่และช่วยเปิดมุมมองของคุณอย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน'
“ภาษา คือ อาวุธที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์”
8.7/10
[CR] (Review) Arrival (2016) : ภาษา คือ อาวุธอันทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งของมนุษย์
Arrival คือ หนังประเภท Scifi-Drama ที่ได้รับกระแสวิจารณ์เชิงบวกจากนักวิจารณ์ทั้งหลายในเทศกาลหนัง อีกทั้งยังได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ และด้วยความที่หนังฉีกแนว Sci-fi จากที่เคยได้เห็นๆมาแล้วในหลายเรื่อง จึงทำให้เป็นหนังที่จัดได้ว่าน่าสนใจมากสำหรับคอหนังสายไซไฟ
Arrival กำกับโดย Denis Villeneuve สร้างมาจากเรื่องสั้น "Story of Your Life" ของ Ted Chiang โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปรากฏตัวของวัตถุประหลาดรูปทรงคล้าย UFO ขึ้นทั่วโลก 12 จุด ทำให้ทั่วโลกตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดกับวัตถุประหลาดที่ไม่รู้ที่มาที่ไป ทางรัฐบาลจึงได้เชิญ ดร. หลุยส์ แบงค์ส (Amy Adams) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ และ เอียน ดอนเนลลี่ (Jeremy Renner) มายังวัตถุประหลาดนี้ เพื่อสร้างทีมวิจัยและไขปริศนาว่า ‘สิ่งนั้นมาเพื่ออะไร’ และ ‘สิ่งนั้นเป็นภัยคุกคามต่อโลกหรือไม่’
Arrival เป็นหนังที่มีหัวใจหลักอยู่ที่คำว่า “เขามาทำไม?”
เนื้อหาหนัง Arrival มีแก่นหัวใจหนังอยู่ที่คำว่า “เขามาทำไม?” เนื้อหาและองค์ประกอบของทั้งเรื่องจะมุ่งทุกอย่างเข้าสู่ปมนี้ เพื่อหาความหมายของปริศนา ส่วนการดำเนินเรื่องของหนัง ก็จะเป็นไปอย่างนิ่งๆ แต่กดดัน ตึงเครียด ลุ้นกันเหงื่อแทบแตก (หนังทำได้ลุ้นมาก) หนังจะเค้นอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการค่อยๆเฉลยปมปริศนาที่ทุกคนสงสัยและยังมีจุดหักมุมอย่างคาดไม่ถึง (ซึ่งอาจจะทำให้งงได้พอสมควร ถ้าตามไม่ทัน)
Arrival มีสไตล์หนัง Sci-fi ที่ฉีกกฎออกไปจากเดิมอย่างน่าสนใจ
Arrival เป็นหนัง Sci-fi ที่เล่นไปที่เรื่องเดิมๆ อย่าง Aliens บุกโลก แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือ ปกติในหนังไซไฟเหล่านี้ ก็จะต้องมีฉากสงครามสู้รบกันอย่างเมามันส์ ปรากฏว่า Arrival ไม่มีเลยและอาวุธหลักที่ไขปริศนาเรื่องนี้ได้ก็ดันเป็น ‘ภาษา’ รวมถึงหัวใจหลักของหนังเรื่องนี้ก็คือ การหาวิธีการที่สามารถสื่อสารกับผู้มาเยือนเหล่านี้ให้ได้ว่า ‘เขามาเพื่ออะไร’ มันจึงแหกขนบธรรมเนียมเดิมของหนังแนว Aliens บุกโลกที่เน้นไปทางสู้กันระเบิดตูมตาม ส่วนแนวหนังไซไฟปกติ ก็นิยมที่ยกให้ ‘ฟิสิกส์ & เทคโนโลยีล้ำสมัย’ เป็นพระเอกเจ้าประจำ แต่ไม่ใช้สำหรับ Arrival เพราะ ‘ภาษาศาสตร์’ คือ พระเอกประจำเรื่องที่สามารถสร้างแก่นหนังได้อย่างทรงพลัง
รวมไปถึงสไตล์หนังที่แหวกแนวไปจากเรื่องอื่นๆ คือ ไซไฟที่ดันผสมกับ ‘แนวดราม่า’ อย่างหนัก ‘แนวปริศนาลี้ลับ’ ที่เล่นเอาคนลุ้นกันโคตรเครียด ‘แนวหนังกึ่งปรัชญา’ ที่เปิดกว้างให้คนคิดวิเคราะห์กันไปต่างๆนานา จนทำให้ผมต้องตั้งคำถามว่า “ ภาษา คือ อาวุธที่ทรงพลังที่สุดหรือไม่ ? ” เรียกได้ว่า หนังเรื่องเดียวผสมสไตล์หนังที่หลากหลายเข้าด้วยกันอย่างลงตัวและทำออกมาได้ดีอีกด้วย
หนังยังสอดแทรกแนวคิดสาย " ปรัชญาวิเคราะห์ (Analitic) " อย่างปรัชญาภาษาของ Ludwig Wittgenstien ที่พยายามอธิบาย Concept ของภาษาและปรัชญาในแนวคิดที่ว่า ภาษาแต่ละภาษามีความแตกต่างกัน จึงสร้างระเบียบวิธีคิดของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หากเราสามารถเข้าใจถึงภาษาของสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูงกว่าได้ (ภาษาที่ไม่มีเส้นเวลา ภาษาที่ไม่ได้เขียนเป็นเส้นตรง) ก็เป็นไปได้ว่า ‘เราจะสามารถสร้างระเบียบวิธีคิดที่ทำให้เราเข้าใจถึงสรรพสิ่งในจักรวาลได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ’ รวมไปถึงแนวคิดเรื่อง Loop เวลาด้วย
หากเราไม่เข้าใจภาษา เราก็ไม่อาจคุยกับเขาได้อย่างรู้เรื่อง... เราจะไม่รู้เลยว่าเขามาเยือนทำไมและไม่รู้เลยว่า เราด้อยกว่าเขาหรือเหนือกว่าเขา.
นอกจากนี้ หนังก็สอดแทรกพวกเรื่องการเมืองระหว่างประเทศไว้ เช่น สไตล์การรับมือกับปัญหาของประเทศต่างๆ ที่มีวิธีการแก้ไขไม่เหมือนกัน พร้อมยังเปรียบเปรยเกี่ยวกับการมาของผู้มาเยือนว่า อาจจะเป็นเช่นเดียวกับตอนที่คนขาวได้พบอินเดียแดง หรือกัปตันคุกได้พบชนเผ่าอะบอริจิน
ด้วยแนวคิดต่างๆ เหล่านี้ ประกอบกับตัวหนังที่ไม่ได้ดูง่าย มีความซับซ้อนของเนื้อเรื่องสูง และสไตล์หนังที่นิ่งเรียบ ทำให้ผมรู้สึกว่า การดูหนังเรื่องนี้แทบไม่ต่างจากการค่อยๆ แกะปริศนาเช่นเดียวกับนางเอกค่อยๆ แกะตัวอักษร Aliens เลย เพราะ เราต้องขบคิดตลอดเวลา ตีความให้แตกและคอยจัดระบบความคิดใหม่ตลอดเวลา ความซับซ้อนของหนังจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน
อักษร Aliens มีความครีเอทีฟสูงมากและยังล้ำลึกอีกด้วย
ในส่วนการออกแบบและ Production หนังผมประทับใจในการออกแบบภาษาของ Aliens มากซึ่งมีความสร้างสรรค์สูง ดูแปลกตาไปจากภาษาที่เราเคยเห็นๆมา แต่ละตัวที่เขียนออกมา ก็มีลักษณะไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่า เป็นจุดเด่นของหนังที่น่าชื่นชม (มันน่าจะคิดได้ยากจริงๆ ล้ำลึกมากๆ) ส่วนด้านการดีไซน์และ CG ก็ทำได้เนียนตา เช่น ยาน Aliens ที่ลอยเหนืออยู่บนทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม ฉากต่างๆ เช่น การเดินบนยาน การฉายภาพตัวอักษรของ Aliens และตัว Aliens เอง เรียกได้ว่า 'CG เนียนตาและยังสร้างสรรค์ ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ'
ส่วนในจุดที่อาจจะเป็นข้อเสีย ก็คงเป็นหนังค่อนข้างเปิดให้ตีความกว้างและขณะดูต้องพยายามคิดตลอดเวลา ดังนั้นคนที่ไม่ชอบหนังคิดเยอะ ก็อาจจะเป็นแนวที่ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร รวมถึงหนังไม่ได้ดูง่าย มันดูยากและเข้าใจยากพอสมควร ผสมกับหนังดำเนินเรื่องค่อนข้างนิ่งในช่วงแรก ก็มีสิทธิ์หลับได้ แต่ถ้าคนชอบแนวนี้ ก็รับรองได้ว่า ตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่องแบบไม่ต้องหายใจ
มีอีกจุดที่คิดว่าอาจเป็นข้อเสียก็คือ ผมรู้สึกว่า หนังน่าจะเน้นทำให้คนดูเข้าใจความหมายของตัวอักษร Aliens มากกว่านี้ คนจะได้อินมากขึ้นและบางส่วนของหนัง รวมถึงการเฉลยปมของหนัง มันมีความรู้สึกว่า ถึงแม้ปมของหนังจะหักมุมพลิกทั้งเรื่องได้ แต่วิธีการของมันดูง่ายเกินไป (แต่ก็มีเหตุผลรองรับรองรับอยู่นะครับ) คิดว่าหนังสามารถทำให้ลึกและวิธีการทำให้ดูยาก รวมถึงสมเหตุสมผลมากกว่านี้ได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ดูเป็นข้อเสียที่ผมพูดมานี้ ก็ยังถือว่า ไม่ได้ส่งผลอะไรกับหนังมากมายนัก หนังยังคงยืนโดดเด่น สง่างามด้วยสีสันที่แปลกใหม่อย่างไม่เคยมีมาก่อนและโดยรวม หนังถือว่าทำได้ดี
นักแสดง : Amy Adams แสดงดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม
Amy Adams แสดงดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งด้านสีหน้าอารมณ์ ท่าทางดราม่าแบบเรียบ นิ่ง พร้อมแววตาอันเคร่งเครียดตลอดเวลา ภายใต้ความกดดัน กังวล เนื่องด้วยเวลาอันจำกัดในการไขปริศนาอักษรลึกลับนี้ ซึ่งเธอสามารถแสดงออกมาได้เป็นอย่างดี สมจริง ทำให้คนดูอินตามได้ ด้วยคุณภาพการแสดงเรื่องนี้ จึงทำให้ได้เธอได้เข้าชิงลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงประเภทดราม่าอีกด้วยและสำหรับ Oscar ก็นับว่าน่าจับตามองในฐานะผู้เข้าชิงนักแสดงนำหญิง
ส่วน Jeremy Renner ก็แสดงได้ดีสมบทบาท แต่ด้วยความที่บทบาทของ Jeremy ที่เป็นนักฟิสิกส์ไม่ได้ถูกส่งเสริมมากเท่าไร ก็ทำให้เขาไม่ได้โดดเด่นอะไรมากในหนังเรื่องนี้ (แต่ก็เป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้)
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ : บีบอารมณ์ให้กดดันและลุ้นไปกับการแก้ปมปริศนา
ดนตรีของ Arrival ได้รับการประพันธ์ดนตรีโดย Johann Johannsson(ได้เข้าชิงลูกโลกทองคำ สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม) ซึ่งถือว่าทำดนตรีประกอบได้ดีมาก ภายใต้บรรยากาศปริศนา พิศวง กดดัน แต่ก็มีอารมณ์ลุ้นระทึกแบบเครียดโคตรๆ มันเข้ากับหนังและเร้าอารมณ์คนอินให้อินกับหนังได้แนบแน่น
หนังยังมีการนำ On the Nature of Daylight ของ Max Richter มาใช้ เพื่อเน้นโทนบรรยากาศดราม่าเข้มข้น ซึ่งถือว่าเลือกเพลงมาได้ดี มันพอดีกับหนังและสร้างบรรยากาศดราม่าได้หนักแน่น แต่เพราะเพลงๆนี้นี่เอง ที่ทำให้หนังโดนตัดสิทธิ์อดเข้าชิง Oscar สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ เพราะ Score เพลงนี้ เคยถูกใช้มาแล้วในหนังเรื่อง Shutter Island ถือว่าผิดกฏ Oscar
สรุป
“การสื่อสารที่ผิดพลาด อาจนำมาซึ่งภัยหายนะอันใหญ่หลวงได้” คำพูดนี้ คือ สิ่งที่ Arrival อยากจะเสนอให้แก่คนดู เพราะว่า การสื่อสาร คือสิ่งสำคัญ มีมานักต่อนักแล้วที่การสื่อสารเกิดผิดพลาด คลาดเคลื่อน เข้าใจผิด สร้างสงคราม หายนะและความเสียหายต่อผู้คนมากมาย
สำหรับ Arrival ผมให้ 8.7/10 (แต่ว่าด้าน Idea หนังไซไฟดราม่า ผมให้ 9.5/10) Arrival จัดได้ว่าเป็นหนังดีที่เปิดมุมมองใหม่ได้ไม่ซ้ำกับหนัง Sci-fi เรื่องอื่นๆ และยังนำ ‘ภาษาศาสตร์’ มาใช้เป็นแก่นอันทรงพลังของหนังได้อย่างสร้างสรรค์ แปลกใหม่ มีเนื้อเรื่องที่สนุกเข้มข้นและมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องสูง ผสมกับการต้องขบคิด ตีความตลอดเวลา ด้วยสไตล์หนังที่นิ่ง เรียบ ไม่หวือหวาและไม่มียิงกันถล่มกันเลยสักนิดเดียว (ถ้าใครไม่ชอบหนังตีความแบบนิ่งๆ ไม่แนะนำให้ดู เพราะ อาจจะหลับได้) รวมถึงหนังยังได้นักแสดงนำชั้นเยี่ยมอย่าง Amy Adams มาร่วมแสดง ผสานกับดนตรีประกอบสุดลุ้นระทึกตึงเครียด
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น