เราทุกคน คือนักวิ่งในวงกตมฤตยู

ได้ข่าวเเว่วๆว่า เดอะเมซรันเนอร์ ภาคสามที่จะเข้าฉาย ก.พ.นี้ ถูกเลื่อนยาว เพราะโทมัสบาดเจ็บ ก็เลยอยากจะเขียนอะไรให้หายคิดถึง ประกอบกับเพิ่งอ่านนิยายชุดนี้จบไป กำลังอินหนักเลยทีเดียว  
ด้วยความอิน เลยไปหาอ่านรีวิวเพื่อความฟินของตัวเอง ก็ไปเจอความเห็นนึงบอกว่า เรื่องนี้เนี่ย อาจจะมีนัยยะของการเผชิญชีวิตของวัยรุ่นที่มีกรอบคอยตีบรรทัดฐานชีวิตไว้  โดยมีโทมัสเป็นตัวแทนของเด็กที่มีความทะเยอทะยานอยากออกไปจากกรอบประเพณี ประมาณนี้  
หลังจากที่ได้อ่าน เราก็คิดว่าเออ ก็จริงแฮะ เห็นด้วยกับความเห็นอันนั้น เพียงแต่เพิ่มเติมออกไปหน่อย

นั่นคือ ทั้งสามเล่ม คือสามช่วงชีวิตที่สำคัญของมนุษย์



     เริ่มที่วงกตมฤตยู หนุ่มๆชาวทุ่งที่ถูกลบความทรงจำ ก็เหมือนวัยเด็กน้อยไร้เดียงสา พวกเขามีเพียบพร้อมทุกอย่าง สามารถร้องขออะไรจากวิคเค็ดก็ได้ วิคเค็ดจะให้ทุกอย่างที่เห็นสมควรจะให้ จากที่มินโฮเล่าให้โทมัสฟังว่า เขาขอได้แม้กระทั่งกางเกงใน ซึ่งก็ได้ของที่มีคุณภาพดีที่สุดเสมอ  ก็เหมือนชีวิตวัยเด็ก ที่อยู่ภายใต้การปกป้องของพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่มักจะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก ซึ่งพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกอย่างถูกต้อง จะไม่ตามใจลูกไปเสียทุกอย่าง เหมือนที่วิคเค็ดก็ไม่ได้ให้โทรทัศน์กับมินโฮ เพราะไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตในทุ่ง ขณะเดียวกัน กำแพงและวงกต ก็เปรียบเสมือนรอบรั้วโรงเรียนและกฏระเบียบที่เด็กๆต้องทำตาม  จุดประสงค์ของกฎระเบียบ  ก็เพื่อความเป็นระเบียบและความปลอดภัยของเด็กๆ เหมือนที่กำแพงปกป้องพวกเขาจากตัวโศกา หรือก็คือภัยอันตรายต่างๆ ที่ผู้ใหญ่จะคอยเตือนให้เด็กระวังเสมอ ซึ่งถ้าพวกเขาเชื่อฟัง พวกเขาจะปลอดภัย  



    การส่งเทเรซาเข้ามาในทุ่ง เทเรซา เป็นเพศหญิงคนเดียว ที่ถูกส่งมาที่ทุ่ง ก่อนจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น เทเรซา คือตัวแทนของการเติบโตอีกขั้นหนึ่งของชาวทุ่ง  อย่างที่เรียกว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  สังเกตว่าเมื่อเทเรซามาถึง พวกชาวทุ่งก็วุ่นวาย ผู้นำทั้งสองก็ไม่ค่อยไว้ใจเธอ สถานการณ์ทุกอย่างก็บีบบังคับให้ชาวทุ่งต้องหาทางหนีออกไปจากวงกตอย่างเลี่ยงไม่ได้  เหมือนเด็กๆที่ร่างกายเปลี่ยนไปเมื่อวัยรุ่นมาถึง พวกเขาต้องพบกับความแปรปรวนของฮอร์โมน อารมณ์ที่ว้าวุ่น ในขณะเดียวกัน เมื่อประตูวงกตไม่ยอมปิด พร้อมกับนำพาเอาความท้าทายใหม่ๆในชีวิตให้พรั่งพรูเข้ามา พวกเขาก็ต้องออกไปเผชิญโลก และก้าวเข้าสู่ การทดสอบที่สอง สมรภูมิมอดไหม้



    สมรภูมิมอดไหม้ ตรงข้ามกับวงกตมฤตยูโดยสิ้นเชิง พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดฝ่าความเลวร้ายในแดนมอดไหม้ เพื่อไปให้ถึงสถานที่ปลอดภัย ในเวลาที่กำหนด โดยได้รับความช่วยเหลือจากวิคเค็ดเพียงแค่อาหารจำนวนหนึ่งและคำแนะนำสั้นๆในตอนเริ่มแรกเท่านั้น  มันเหมือนกับการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ที่เปิดกว้าง พ่อแม่ไม่อาจประคบประหงมลูกได้อีกต่อไป วัยรุ่นส่วนใหญ่ออกจากบ้าน มาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย พวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากที่บ้านแค่ค่าเทอม หรือค่าขนมสิ้นเดือน  บางคน อาจต้องส่งเสียตัวเองเรียนก็มี  ในแดนมอดไหม้ เหล่าชาวทุ่งต้องเผชิญหน้าพวกแคร้ง บวกกับสภาพอากาศมหาโหด เดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็พายุ รวมถึงฟ้าผ่า ที่ฆ่าพวกเขาตายไปเกือบครึ่ง ก็เหมือนการฟาดฟันกับเนื้อหาวิชาที่ยากเย็นมหาโหด เกรดเอฟ ติดโปร รีไทร์ ที่คอยสกัดดาวรุ่งเด็กมหาลัยอยู่ทุกๆชั้นปี  รวมถึงสังคมในมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนไปจากในโรงเรียน  ที่แดนมอดไหม้ โทมัสถูกระบุว่าจะต้องถูกชาวทุ่งกลุ่มบีฆ่าตาย แต่เมื่อเขาได้พบกลุ่มบีเข้าจริงๆ เข้ากลับสามารถชักจูงจนเป็นพวกเดียวกันได้ทั้งหมด เหล่านี้ มันคือคุณสมบัติในการอยู่รอดในรั้วมหาลัยชัดๆ การรู้จักเข้าสังคม การไม่ตัดสินคนแต่แรกเห็น การรับมือกับปัญหาส่วนตัว คอนโทรลตัวเองจนกว่าจะเรียนจบ ซึ่งก็คือการนำตัวเองไปสู่สถานที่ปลอดภัยนั่นเอง  หนำซ้ำเมื่อถึงสถานที่ปลอดภัยแล้ว กว่าจะรอดพวกเขายังต้องสู้กับยักษ์หลอดไฟก่อนจะได้ขึ้นเบิร์ก อันนี้ถ้าพูดกันชัดๆเลยก็ น่าจะเป็นการฟาดฟันกับโปรเจ็กต์จบก็ได้นะ



   เนื้อเรื่องเล่มสองกับเล่มสาม มีความต่อเนื่องกันมากกว่าเล่มหนึ่ง แต่เล่มสามนี้ โทมัสและพรรคพวก(ที่ยังเหลือ)ไม่ได้อยู่ภายใต้การทดสอบอีกต่อไป หลังจากขึ้นเบิร์กแล้ว วิคเค็ดประกาศว่า การทดสอบต่างๆจบสิ้นหมดแล้ว พวกเขาที่รอดชีวิตจะได้รับความทรงจำคืน หรือก็คือ การใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วนั่นเอง ในเล่มสามนี้ โทมัสและเพื่อนหนีออกจากวิคเค็ด สถานการณ์ทุกอย่างคือความเรียล โทมัสได้พบ ศัตรูที่เคยสร้างความเจ็บช้ำให้กับเขา แต่เพื่อล้มวิคเค็ด พวกเขาก็ยอมให้อภัยกัน การต้องเผชิญความโลภของมนุษย์ การตัดสินใจที่บีบคั้น  การทำหน้าที่ผู้นำเพื่อช่วยเหลือพลเมืองที่มีภูมิคุ้มกันไข้วาบให้รอดชีวิต และการทำใจเมื่อเกิดการสูญเสีย ทั้งหมดทั้งมวล คือสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องเจอในสังคมการทำงานนั่นเอง  ในตอนท้าย การตัดสินใจใหม่ของประธานเอวา เพจ ก็ได้ช่วยให้โทมัสและพลเมืองผู้มีภูมิคุ้มกัน ได้มีชีวิตใหม่ที่สดใส  ซึ่งนั่นทำให้โทมัส มีสภาพเป็นชาวทุ่งอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ไม่มีกำแพง ไม่มีวงกต ไม่มีโศกา ไม่มีกล่อง ไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา และตัวแปรใดใดมาคอยควบคุมพวกเขาอีก  ยิ่งไปกว่านั้น ประชากรชาวทุ่งในครั้งนี้ ไม่ได้มีแต่เด็กชายหรือเด็กหญิงวัยรุ่นอย่างเดียวเหมือนเมื่อครั้งวงกต หากแต่มีทั้ง ผู้หญิง ผู้ชาย เด็กน้อย วัยกลางคน มีความหลากหลายตามธรรมชาติทุกประการ  พวกเขาจะได้สร้างอารยะธรรมของตัวเองขึ้นมาใหม่ ก็เหมือนคนที่ชีวิตผ่านการทดสอบต่างๆ ล้มลุกคลุกคลานจนตั้งตัวได้แล้ว พร้อมที่จะมีชีวิตของตัวเองต่อไป นั่นเอง

    ขอบคุณ แดชเนอร์ ที่ไว้ชีวิตพี่ตู่...เอ้ย! มินโฮไว้ให้เรา บอกตรงๆว่าตอนเเรก ด้วยนิสัยหัวดื้อ งี่เง่า ของโฮ เราไม่คิดว่าเขาจะมาเป็นคนสำคัญของเรื่องด้วยซ้ำ กลายเป็นว่า สุดท้ายเเล้ว หมอนี่นี่เเหละ ที่ยืนข้างโทมัสไปจนถึงตอนจบของหนังสือ  หลังจากที่คุณแดชเนอร์ฆ่าชาวทุ่งกลุ่มบีไปจนเกือบหมด กรุณาเหลือเกินที่คุณยังเหลือฟรายแพนไว้ทำกับข้าวให้ชาวอาณานิคมกิน  อิตานี่ก็เป็นอีกคนที่เราไม่คิดว่ามันจะรอด  หวังว่าชาวอาณานิคม จะมีคนที่เป็นจิตแพทย์อยู่บ้างนะ จากวันเวลาอันโหดร้าย เราว่าสักวัน มินโฮกับโทมัสอาจจะเป็นบ้า ถ้าเป็นเราคงไม่ทันได้บ้า คงโดนโศกา-หัวตั้งแต่เล่มหนึ่งนู่นแล้วล่ะ

เอาล่ะ ขอจบการรายงานเพียงเท่านี้ ทั้งหมดนี้อ้างอิงจากการอ่านนิยายนะจ้ะ ไม่ใช่ภาพยนต์
สำหรับหนังภาคสาม ก็รอกันหน่อย กำหนดฉายเลื่อนไปไม่เป็นไร ให้นักเเสดงปลอดภัยก็แล้วกันนะ

ปล. ไอก้อนเมือกข้างบนนั่นคือโศกาในมโนเราเอง เราชอบมันมากเลย เราว่ามันน่ารักดี ชาวอาณานิคมน่าจะเอามันออกมาจากวงกตสักตัวสองตัว เอามาตั้งโปรแกรมใหม่ ไว้เกี่ยวนวดข้าวสาลีน่าจะเวิร์ค
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่