...สาระสำคัญของคำสั่งเพิกถอนประกันของศาลจังหวัดขอนแก่นมีดังนี้
“ตามคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลได้มีคำสั่งกำชับให้นายประกันผู้ต้องหาให้มาศาลตามนัด
ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ พยานหลักฐานในคดี หรือก่อความเสียหายใดๆ หลังปล่อยชั่วคราว
หากผิดนัด ผิดเงื่อนไข ศาลอาจถอนประกันและอาจไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอีก
และภายหลังปล่อยชั่วคราว ได้ความจากทางไต่สวนว่าผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความ
ที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กของผู้ต้องหา
กับทั้งผู้ต้องหาได้แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ทั้งผู้ต้องหายังมีแนวโน้มที่จะกระทำการในลักษณะเช่นนี้ต่อไปอีก
ผู้ต้องหาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มีอายุ 25 ปี ย่อมรู้ดีว่าการกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวข้างต้นเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล
จึงฟังได้ความตามคำร้องว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว
ประกอบกับนายประกันผู้ต้องหาไม่ได้กำชับหรือดูแลให้ผู้ต้องหาปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลที่มีคำสั่งจนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าว”
เมื่อพิจารณาคำสั่งเพิกถอนประกันของศาลจังหวัดขอนแก่น จะเห็นได้ว่าเหตุผลหลักที่ศาลใช้เป็นฐานในการเพิกถอนประกันคือ
1) ไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊ก
2) แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
3) ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ
โดยเหตุผลทั้งสามข้อที่ศาลใช้สนับสนุนคำสั่งเพิกถอนการประกันตัว มีแง่มุมทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ล้วนถูกโต้แย้งได้ ดังนี้
1) การไม่ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาออกจากสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊ก ไม่อาจอ้างเป็นเหตุในการเพิกถอนประกันได้
เพราะศาลไม่ได้กำหนดในเงื่อนไขในการให้ประกันว่า นายจตุภัทร์ต้องลบข้อมูลดังกล่าว
นอกจากนี้ ศาลยังสั่งไว้ในคำสั่งให้ประกันตัวนั้นเองว่า ห้ามนายจตุภัทร์ไปข้องเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดี
หากนายจตุภัทร์ไปลบข้อความดังกล่าวซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานในคดี
ก็อาจเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวของศาล
การที่เขาไม่ลบข้อความ จึงไม่อาจใช้เป็นเหตุผลเพิกถอนประกันของเขาได้
2) การแสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
ไม่อาจอ้างเป็นเหตุผลในการเพิกถอนประกันตัวได้ เพราะรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนไว้ ประชาชนจึงมีเสรีภาพในการแสดงออกได้ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายห้าม
การที่รัฐจะจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนได้ ต้องมีฐานทางกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย
ไม่มีกฎหมายฉบับใดบัญญัติห้ามประชาชนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐ
ตรงกันข้าม รธน. 40 มาตรา 39 และ รธน .50 มาตรา 43[4] ได้รับรองเสรีภาพในการแสดงออกของประชนชนไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1
ก็ไม่พบว่าการแสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
เป็นหนึ่งในเหตุของการไม่ให้ประกันตัวแต่อย่างใด
3) การก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติที่ศาลกล่าวอ้าง
ก็ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนที่มีน้ำหนักให้คู่กรณีหรือสาธารณชนคล้อยตามแต่อย่างใด
กล่าวคือ เมื่อเหตุในข้อ 1 และข้อ 2 ที่ศาลให้อ้างเป็นเหตุผลหลักในการสั่งเพิกถอนไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับดังเหตุผลที่กล่าวมา
การที่ศาลกล่าวอ้างว่าการกระทำของนายจตุภัทร์ซึ่งไม่ได้ฝ่าฝืนเงื่อนไขการประกันตัว ไม่ได้กระทำการผิดกฎหมาย
และไม่ปรากฏเหตุอื่นใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 ว่าเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐนั้น
ย่อมเป็นการตีความและบังคับใช้กฎหมาย ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักสนับสนุน
อันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ กฎหมายระหว่างประเทศ
การที่ศาลจังหวัดขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ปฏิเสธสิทธิประกันตัวของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา
ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของเขาอย่างรุนแรง โดยที่ยังมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริงหลายประการ
จึงต้องถือว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่รัฐจำต้องละเมิดหลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ
ที่สันนิษฐานว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเขากระทำความผิดเพื่อควบคุมตัวเขาไว้ใต้อำนาจรัฐ...
http://www.matichon.co.th/news/426028
ประเทศนี้มีอะไรแปลก ๆ
อย่างที่เคยเกิดขึ้น กับเรื่องมาตรา 68 รัฐธรรมนูญ 50
ที่ตัวบทกฎหมายก็ชัด และเว็บไซท์ของศาลรัฐธรรมนูญเองก็ลงแนวปฏิบัติไว้ชัดเจน
ว่าการยื่นคำร้องตามมาตรา 68 ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงไม่ได้
แต่พอเกิดมีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ศาลรัฐธรรมนูญก็รับคำร้องไว้
แล้วตีความบทบัญญัติ 68 ว่าสามารถทำได้อย่างไม่มีกฎหมายรองรับ และลบแนวปฏิบัติในเว็บไซท์ของศาลรัฐธรรมนูญออก
หรือคดีอดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินเสียชีวิตในระหว่างโดนคุมขังในสำนักงานดีเอสไอ
ถึงวันนี้ ญาติผู้ตายก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า เสียชีวิตเพราะอะไร ด้วยข้ออ้างของดีเอสไอที่ว่าเป็นความลับของทางราชการ
จนญาติจำเป็นต้องทำหนังสือขอนำศพออกไปประกอบพิธีฌาปนกิจตามประเพณีแบบยังไม่รู้ว่าเสียชีวิตด้วยเหตุใด
กลายเป็นคดีปริศนา ลึกลับซับซ้อนเอาง่าย ๆ เหมือนเรื่องจีที 200 ซะงั้น
ไม่นับอีกมากมายหลายเรื่อง
ความสงบสุขของบ้านเมือง คือตัวเองไม่มีเรื่องเดือนร้อน ไม่มีเรื่องมากระทบกับผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นหรือ ?
ใครจะเป็นยังไง โดยเฉพาะใครที่เราไม่ชอบหน้า จะโดนยัดคดี โดนขังคุก หรือยิ่งตายได้ยิ่งดีอย่างนั้นหรือ ?
หลักกฎหมาย หลักมนุษยชน หลักนิติธรรม หลักยุติธรรม กับ อำนาจหน้าที่ และ สิทธิตามกฎหมาย
“ตามคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลได้มีคำสั่งกำชับให้นายประกันผู้ต้องหาให้มาศาลตามนัด
ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ พยานหลักฐานในคดี หรือก่อความเสียหายใดๆ หลังปล่อยชั่วคราว
หากผิดนัด ผิดเงื่อนไข ศาลอาจถอนประกันและอาจไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอีก
และภายหลังปล่อยชั่วคราว ได้ความจากทางไต่สวนว่าผู้ต้องหาไม่ได้ลบข้อความ
ที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊กของผู้ต้องหา
กับทั้งผู้ต้องหาได้แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ทั้งผู้ต้องหายังมีแนวโน้มที่จะกระทำการในลักษณะเช่นนี้ต่อไปอีก
ผู้ต้องหาเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มีอายุ 25 ปี ย่อมรู้ดีว่าการกระทำของผู้ต้องหาดังกล่าวข้างต้นเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาล
จึงฟังได้ความตามคำร้องว่า ผู้ต้องหาได้กระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังการปล่อยตัวชั่วคราว
ประกอบกับนายประกันผู้ต้องหาไม่ได้กำชับหรือดูแลให้ผู้ต้องหาปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลที่มีคำสั่งจนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าว”
เมื่อพิจารณาคำสั่งเพิกถอนประกันของศาลจังหวัดขอนแก่น จะเห็นได้ว่าเหตุผลหลักที่ศาลใช้เป็นฐานในการเพิกถอนประกันคือ
1) ไม่ได้ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีนี้ในสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊ก
2) แสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
3) ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ
โดยเหตุผลทั้งสามข้อที่ศาลใช้สนับสนุนคำสั่งเพิกถอนการประกันตัว มีแง่มุมทางกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ล้วนถูกโต้แย้งได้ ดังนี้
1) การไม่ลบข้อความที่ถูกกล่าวหาออกจากสื่อสังคมออนไลน์บนเฟซบุ๊ก ไม่อาจอ้างเป็นเหตุในการเพิกถอนประกันได้
เพราะศาลไม่ได้กำหนดในเงื่อนไขในการให้ประกันว่า นายจตุภัทร์ต้องลบข้อมูลดังกล่าว
นอกจากนี้ ศาลยังสั่งไว้ในคำสั่งให้ประกันตัวนั้นเองว่า ห้ามนายจตุภัทร์ไปข้องเกี่ยวกับพยานหลักฐานในคดี
หากนายจตุภัทร์ไปลบข้อความดังกล่าวซึ่งถือเป็นพยานหลักฐานในคดี
ก็อาจเป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการให้ประกันตัวของศาล
การที่เขาไม่ลบข้อความ จึงไม่อาจใช้เป็นเหตุผลเพิกถอนประกันของเขาได้
2) การแสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
ไม่อาจอ้างเป็นเหตุผลในการเพิกถอนประกันตัวได้ เพราะรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
ได้รับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนไว้ ประชาชนจึงมีเสรีภาพในการแสดงออกได้ตราบเท่าที่ไม่มีกฎหมายห้าม
การที่รัฐจะจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนได้ ต้องมีฐานทางกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยไม่มีกฎหมายฉบับใดบัญญัติห้ามประชาชนแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐ
ตรงกันข้าม รธน. 40 มาตรา 39 และ รธน .50 มาตรา 43[4] ได้รับรองเสรีภาพในการแสดงออกของประชนชนไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1
ก็ไม่พบว่าการแสดงออกถึงพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงสัญลักษณ์เย้ยหยันอำนาจรัฐโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง
เป็นหนึ่งในเหตุของการไม่ให้ประกันตัวแต่อย่างใด
3) การก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติที่ศาลกล่าวอ้าง
ก็ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนที่มีน้ำหนักให้คู่กรณีหรือสาธารณชนคล้อยตามแต่อย่างใด
กล่าวคือ เมื่อเหตุในข้อ 1 และข้อ 2 ที่ศาลให้อ้างเป็นเหตุผลหลักในการสั่งเพิกถอนไม่มีฐานทางกฎหมายรองรับดังเหตุผลที่กล่าวมา
การที่ศาลกล่าวอ้างว่าการกระทำของนายจตุภัทร์ซึ่งไม่ได้ฝ่าฝืนเงื่อนไขการประกันตัว ไม่ได้กระทำการผิดกฎหมาย
และไม่ปรากฏเหตุอื่นใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 108/1 ว่าเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐนั้น
ย่อมเป็นการตีความและบังคับใช้กฎหมาย ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักสนับสนุน
อันเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ กฎหมายระหว่างประเทศ
การที่ศาลจังหวัดขอนแก่นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ปฏิเสธสิทธิประกันตัวของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา
ซึ่งเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของเขาอย่างรุนแรง โดยที่ยังมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริงหลายประการ
จึงต้องถือว่ายังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่รัฐจำต้องละเมิดหลักการพื้นฐานในรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศ
ที่สันนิษฐานว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเขากระทำความผิดเพื่อควบคุมตัวเขาไว้ใต้อำนาจรัฐ...
http://www.matichon.co.th/news/426028
ประเทศนี้มีอะไรแปลก ๆ
อย่างที่เคยเกิดขึ้น กับเรื่องมาตรา 68 รัฐธรรมนูญ 50
ที่ตัวบทกฎหมายก็ชัด และเว็บไซท์ของศาลรัฐธรรมนูญเองก็ลงแนวปฏิบัติไว้ชัดเจน
ว่าการยื่นคำร้องตามมาตรา 68 ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงไม่ได้
แต่พอเกิดมีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ศาลรัฐธรรมนูญก็รับคำร้องไว้
แล้วตีความบทบัญญัติ 68 ว่าสามารถทำได้อย่างไม่มีกฎหมายรองรับ และลบแนวปฏิบัติในเว็บไซท์ของศาลรัฐธรรมนูญออก
หรือคดีอดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินเสียชีวิตในระหว่างโดนคุมขังในสำนักงานดีเอสไอ
ถึงวันนี้ ญาติผู้ตายก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า เสียชีวิตเพราะอะไร ด้วยข้ออ้างของดีเอสไอที่ว่าเป็นความลับของทางราชการ
จนญาติจำเป็นต้องทำหนังสือขอนำศพออกไปประกอบพิธีฌาปนกิจตามประเพณีแบบยังไม่รู้ว่าเสียชีวิตด้วยเหตุใด
กลายเป็นคดีปริศนา ลึกลับซับซ้อนเอาง่าย ๆ เหมือนเรื่องจีที 200 ซะงั้น
ไม่นับอีกมากมายหลายเรื่อง
ความสงบสุขของบ้านเมือง คือตัวเองไม่มีเรื่องเดือนร้อน ไม่มีเรื่องมากระทบกับผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้นหรือ ?
ใครจะเป็นยังไง โดยเฉพาะใครที่เราไม่ชอบหน้า จะโดนยัดคดี โดนขังคุก หรือยิ่งตายได้ยิ่งดีอย่างนั้นหรือ ?