คนไทยสมัยนี้รวยขึ้นใช่ไหมครับ ?

ชอบเจ้าของกระทู้ ที่ตั้งข้อสังเกตกับสิ่งรอบตัว
ของที่ได้มาง่าย ๆ มักจะมีค่าน้อยสำหรับเรา เพราะเราชาชินกับมัน
สิ่งที่อยู่รอบตัวเราก็เช่นกัน มันมีค่ามาก แต่เพราะเราชาชินกับมัน เราถึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของมัน
-----

ความเห็นส่วนตัวนะ

อดัม สมิธเคยบอกไว้ว่า
ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือ สินค้าและบริการที่เราสามารถได้รับมา

ส่วนราคาที่เป็นตัวเงิน คือ ราคาที่เป็นตัวเลขที่แปะไว้ด้านนอกสินค้า

จุดประสงค์ของการมีเงิน ก็เพื่อนำเงิน ไปซื้อสินค้า

การที่คนเราต้องการเงิน เราไม่ได้ต้องการตัวเหรียญเงิน แต่เราต้องการอำนาจซื้อของเหรียญเงิน

ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนมักจะร่ำรวยขึ้น และนำทุนที่เขามีมาลงทุนในธุรกิจชนิดต่าง ๆ กันมากขึ้น
การแข่งขันกันของเหล่านายทุนจะสูงขึ้น

พอตลาดมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น
นายทุน (เช่น ธุรกิจสายการบิน, ธุรกิจการทำเกษตรกรรม, ธุรกิจการขนส่งต่าง ๆ, ธุรกิจโรงแรม, ฯลฯ) ก็ต้องพยายามพัฒนา ทำสินค้า/บริการ ให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น พยายามลดต้นทุนให้ถูกลง พัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้น
ไม่เช่นนั้น นายทุนจะเจ๊งเอง

เมื่อประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น ต้นทุนถูกลง
มันทำให้ประชาชนทั่วไป เข้าถึงความมั่งคั่งที่แท้จริงได้มากขึ้น มีความมั่งคั่งที่แท้จริงเพิ่มมากขึ้น

สมมติว่าเราตรึงทุกอย่างให้หยุดนิ่งไว้ ยกเว้น ประสิทธิภาพในการผลิตสินค้า
จากที่เมื่อ 30 ปีก่อน เราต้องทำงานเก็บเงินเป็นเวลา 7 ปี (ตัวเลขสมมติ) เราถึงจะมีเงินไปซื้อรถได้
แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีในการผลิตรถยนต์ดีขึ้น (ต้นทุนในการผลิตรถยนตร์ถูกลง) เราทำงานเพียง 4 ปีก็สามารถ เก็บเงินซื้อรถได้แล้ว
(หรือ ทำงาน 7 ปี เท่าเดิม แต่สามารถซื้อรถที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน)
เราเรียกว่า ราคาที่แท้จริงของรถยนต์ลดลง (ประชาชนได้สินค้ามาง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน)
ประชาชนมั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

จากที่เมื่อ 30 ปีก่อน เราต้องทำงานอาชีพหนึ่ง เก็บเงินเป็นเวลา 300 วัน เราถึงจะไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ (ทั้งค่าเครื่องบิน, ค่าที่พัก, ค่าการเดินทางต่าง ๆ ในญี่ปุ่น, ค่าอาหารในญี่ปุ่น, ค่าของฝาก, ฯลฯ)
กลายมาเป็น
ปัจจุบัน เราทำงานเพียงแค่ 150 วัน เราก็มีเงินไปเที่ยวญี่ปุ่นได้แล้ว

มือถือรุ่นกระดูกหมา ขนาดยักษ์ เมื่อก่อน มันแพงมาก ต้องทำงานกันนานมากกว่าจะซื้อมาใช้ได้
แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีในการผลิตดีขึ้น เราทำงานเพียงไม่กี่วัน เราก็สามารถซื้อมือถือที่คุณภาพดีกว่ามือถือรุ่นกระดูกหมาได้แล้ว
ประชาชนมั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

สมัย 300 ปีก่อน
เสื้อผ้าดี ๆ ประชาชนในยุโรปต้องทำงานกันราว ๆ 5 ปีถึงจะซื้อเสื้อดี ๆ ได้
แต่ในปัจจุบัน ประสิทธิภาพในการผลิตสูงกว่าแต่ก่อนมาก ๆๆๆๆๆ เราทำงานวันเดียว ก็ซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ได้ 2-3 ตัวแล้ว
ประชาชนมั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

สมัย 20 ปีก่อน ต้องทำงาน 100 วัน เราถึงจะสามารถซื้อทีวีได้
แต่ในปัจจุบัน ประสิทธิภาพในการผลิตทีวีสูงกว่าแต่ก่อนมาก  เราทำงานแค่ 30 วัน ก็สามารถซื้อทีวีได้แล้ว
ประชาชนมั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

สมัย 1,000 ปีก่อน อาหารถือเป็นของหายาก ราคาแพงมาก คนร่ำรวยและมีอำนาจ จะแสดงอำนาจบารมีและความมั่งคั่ง โดยการจัดงานเลี้ยงฉลอง และเชิญแขกจำนวนมากมาร่วมงาน
แต่ในปัจจุบัน มีการปฎิวัติเขียวเกิดขึ้น ประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรมสูงขึ้น อาหารมีราคาที่แท้จริงถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก ผู้คนทั่วไปสามารถจัดปาร์ตี้งานวันเกิดแบบกินอาหารทิ้งขว้างได้เป็นว่าเล่น
ประชาชนมั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

สมัย 10 ปีก่อน ต้องทำงาน 100 วัน เราถึงจะสามารถซื้อโน้ตบุ๊คได้
แต่ในปัจจุบัน ประสิทธิภาพในการผลิตโน้ตบุ๊คสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เราทำงานแค่ 30 วัน เราก็สามารถซื้อโน้ตบุ๊คได้แล้ว
ประชาชนมั่งคั่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
-----

ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เมื่อเวลาผ่านไป ทุกประเทศมักจะมีความมั่งคั่งที่แท้จริงเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว (ประชาชนครอบครองสินค้าได้ในปริมาณ/คุณภาพที่มากขึ้นและดีขึ้น)
คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ในแต่ละประเทศ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั้น มันจะดีขึ้นในอัตราเร็วที่ไม่เท่ากัน

เพราะแม้ว่าราคาที่แท้จริงของสินค้าจะลดลง
แต่ค่าแรงที่แท้จริงที่แรงงานได้รับ มันขึ้นกับว่าในเวลานั้นเศรษฐกิจกำลังเติบโตดีหรือเปล่า
ถ้าเศรษฐกิจเติบโตดี นายทุนลงทุนแล้วได้กำไร ขยายธุรกิจกันเต็มไปหมด เหล่านายทุนจะต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งตัวแรงงาน ทำให้ค่าแรงที่แท้จริงสูงขึ้น แรงงานในประเทศนั้น ๆ จะมีอำนาจซื้อเยอะกว่าประเทศที่เศรษฐกิจหยุดนิ่งหรือหดตัว

ที่ไหนที่มีอำนาจซื้อเยอะ สินค้า/บริการมันจะไปกอง ๆ อยู่ในประเทศนั้นเยอะ
-----

กลับมาที่คำถามของจขกท.ว่า ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาในอดีต ประเทศไทยรวยขึ้นใช่ไหม (ถ้าเทียบกับประเทศที่อยู่ละแวกใกล้เคียงกัน)
ตอบเลยว่า ใช่ มากด้วย