ประสบการณ์จริง และแนวคิด เล่นหุ้นไทย สไตร์ ดิบๆ

กระทู้สนทนา
เนื้อเรื่องดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง จากคนที่ขึ้นสุดลงสุด หรือคิดแบบหลุดโลก
(หากกระทบต่อความเชื่อมั่น หรือแนวคิดที่ถูกกำหนดไว้ ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย) เพราะออกจะไร้สาระ


ep1.จุดเริ่มต้นของการเล่น กับเงินก้อน ( ยังไม่ฝึกวิทยายุทธ )
ทันทีที่มาเก็ตติ้งแจ้งมาว่า คุณสามารถเทรดได้แล้วนะครับ  ในใจผมก็คิดว่า เห้ย!!! เราจะรวยแล้วใช่มั๊ย
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีในพอร์ตอยู่ 1 แสน แต่ก็ขอ มโนไว้ก่อน ยังไงมันก็เป็นความสุขเล็กๆน้อยๆ
ทั้งๆที่ตอนขากลับ ยังมีคำถามในใจ อยู่ว่า มาเก็ตติ้งกับ โบรกเกอ แตกต่างกันอย่างไร
(แต่อย่าถามเลยยยย  อายคนเขาเปล่าๆ)

รีบเปิดมือถือมาดู โหลดแอพสตรีมมิ่ง เห้ย!! นี่เราจะเป็น เทรดเดอร์ เดินไปเดินมา เทรดหุ้นผ่านมือถือ หล่อๆ
จิบกาแฟสตาบัค นั่งไขว่ห้าง นี่มัน โก้เก๋ สุดๆ แต่หารู้ไม่ (โดยแท้จริงแล้ว แดงทั้งกระดาน ถอนหายใจ เห้อออ....
เปลี่ยนใจไม่สั่งกาแฟละ สุดท้ายเจอลุงรถเข็น ลุงๆ โอวัลตินเย็น แก้วนึง )

หลังจากจิบ โกแดงราชากาแฟ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหนลองซื้อหุ้นตัวแรกกันดีกว่า แต่ความรู้สึกมันบอกว่า
หุ้น มีเป็นร้อยตัว แต่เลือกที่ถูกใจ ไม่ได้สักตัว ทีอย่างอื่นเลือกแปปเดียว น้องๆ พี่ขอคนนั้น นั่นแหละ เบอร์นั้น
(เอ้ย!! ไม่ใช่ละ) ไหนๆก็ไหนๆ เอาวะ เลือกจาก set 50 แล้วกัน ยังไง มันก็เป็นหุ้นใหญ่ หุ้นดี

คิดเข้าข่างตัวเองและว่า เราคือนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (ไม่มโนทำไม่ได้)
มันเป็นการตัดสินใจที่ยากมาก เพราะเราไม่มีความรู้อะไรเลย ตั้งแต่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยใช้โปรแกรมจำลองการเทรด
เลยตัดสินใจ เอาวะ!! youtube...วิธีเลือกหุ้นตัวแรก ซึ่งมันไม่ตอบโจทย์ อะไรเลย สุดท้ายก็ตีอกชกหัว
ตัวเองว่า "มุงไม่ใช่กุ มุงไม่รู้หรอก" ใช้เวลาทบทวนสักนิด หนังเรื่อง อมาเกด้อนผุดขึ้นมาในหัว ตรงฉากที่ นักบินอวกาศรัซเซีย
เอาประแจทุบเครือง แล้วบอกว่า นี่แหละคือวิธีการแก้ปัญหาแบบรัซเซีย

เราก็มีความคิดว่า "เดะมุงเจอ การแก้ปัญหาตลาดหุ้นไทยบ้าง"
ปิดตา-->เอานิ้วจิ้ม--->1-2-3
และแล้ว หุ้นตัวแรกก็บังเกิด...หวยตัวแรกออก BA คิดในใจว่า ฮึฮึฮึ..ไงละใครว่า เลือกไม่ได้

พอเข้าไปดูในรายละเอียด BA แบบดิบสุดๆ ก็โอเคร นะ การซื้อขาย/วัน เยอะดี
การบินสะด้วย คงมีแต่คนรวยขึ้นเครื่องบิน
เอาวะ...จัดไปสัก 5 หมื่น (แบ่งพอร์ตในใจ 40/30/30) ซื้อหุ้นหลัก--ซื้อหุ้นรอง-ช้อนหุ้น

(เชื่อผมเถอะ กฏเกณ การลงทุนที่เราตั้งไว่ในใจ พอลงสนามจริง มักจะเพี้ยน ตลอด)

และแล้ว 1วันผ่านไป ไวเหมือนโกหก...ออกไปเจอแฟน ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
ตะเอง...ดูจิ พอร์ตเค้า +3000 กว่าๆ นี่แค่วันเดียวนะเนี่ย นี่ไงเค้าบอกแล้ว แฟนเตงเก่งจะตาย
เค้าอะมานั่งศึกษาหุ้นตัวแรก ทั้งคืนเลยนะ (จริงๆตีดอทอยู่)  อุ๊ย...แฟนเค้าเก่งจังเลย จุ๊บแก้ม 1 ที
เตงรีบขายเลยนะ วันนี้เค้าอยากกินปลาดิบ

ไม่! เงินแค่ 3000 จะทำอะไรได้  (เพิ่งได้หุ้นมา จะพูดจะทำอะไรก็ดูดีไปหมด)
แฟน---แล้วถ้าพรุ่งนี้มันตกละ ไหนๆก็กำไร มาตั้ง 3000 เค้าว่า เตงขาย แล้วตั้งหลักใหม่ ไม่ดีกว่าหรอ
ไม่!สำหรับเค้า มันแค่เศษเงิน  (มโนว่า ตัวเอง คือพระเอกที่เป็น เทรดเดอร์ แล้วคุยกับนางเอก)
แฟน---เออ...เอาเหอะ เอาที่สบายใจ!!!

ep.2 นอนเลียแผล
ตื่นเช้ามา การบริหารผ่ง บริหารพอร์ต อะไรไม่ต้องทั้งนั้น เราสายมโน ชี้นิ้ว เป็นต้องได้
แต่เอ๊ะ! ทำไม...กำไร เหลือ 2500 (คิดในใจ มันก็เป็นธรรมดาของตลาดหุ้นอะแหละ มีขึ้นมีลง)

วันต่อมา กำไรเหลือ 500 (ก็ยังคิดในใจ ไม่เปนไรวะ เดะก็คงขึ้น )
แต่หุ้นตกก็ต้องช้อนสินะ มีเท่าไหร่ใส่ไม่อั้น

วันต่อมา -500
แล้วก็วันต่อมา -1700 (เอิ่ม....ได้รับคำชมเชยจากแฟนว่า ฟายเผือก )

พอมาถึง ณ ตอนนี้คือ -2500 มันเป็นความรู้สึกที่บอกได้ว่า
(ถ้าเราขายไปตอนนั้น นอกจากจะได้ตังไปกินปลาดิบ แล้วตอนนี้ -2500 อารมณ์มันเหมือนส่วนต่างขาดทุนไป 5500 )
แต่เอาไงก็เอากันวะ  รออีกสัก 3 วัน เผื่อจะมีอะไรดีขึ้น
แต่จนแล้วจนรอด ก็เหมือนฟ้า ไม่อำนวย ติดลบ 2400/2500 เด้งไป เด้งมาอยู่แค่นี้

แต่ฟ้าก็ยังมีตา เพราะเคยมีคนกล่าวไว้ว่า "โลกไม่เปลี่ยนให้กับคุณหรอก มีแต่คุณต้องเปลี่ยนตัวเอง"

ดังนั้น การเล่นหุ้นได้แค่ อาทิตย์กว่าๆ "นี่เราต้องงัดท่าไม้ตายมาใช้ซะแล้ว"

ท่าไม้ตายนั่นคือ...
ฟ้องแม่...แม่จ๋า คือผมลงทุนแบบ "เน้นคุณค่า" (เวลาหุ้นตก มักปลอบใจตัวเอง)
ดังนั้นขอตังลงทุนเพิ่มหน่อยโดยอ้างวลีเด็ดว่า "การลงทุนที่สำคัญที่สุด คือการลงทุนในความรู้"

ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ เล่นหุ้น อย่างเดียวที่ต้องยอมรับให้ได้คือ "ยอมรับตัวเอง"
แต่ยังไงสุดท้ายผมก็ยังได้ กำไรมา 100+ บาท แล้วก็เลิกเล่นตัวนี้ไป
เพราะ ต้องมานั่งฟ้องแม่ แล้วยื้อเวลา หุ้นตก 2-3 เดือน จนกว่า จะขึ้นมาเท่าเดิม
สิ่งที่เสียไปคือ - เวลา
สิ่งที่เสียไปคือ - การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด (ถ้าผมยอมตัดขาดทุน แล้วไปลงตัวอื่นอาจได้กำไรมากกว่า 100 บาท)
ซึ่งความเป็นจริงคือ "เรามีเงินเย็น ถ้าหุ้นตกก็แค่รอเวลา ไม่นับเป็นฝีมือ"

---------------------------------------------------

เริ่มฝึกดาบไม้!!!

หลังจากที่ ศึกษา youtube ได้สักพัก ไม่ว่าอะอ่านของ ดร.เหม (อะไรสักอย่าง)
แล้วก็ของคุณ ภาววิท กลิ่นประทุม
ก็ยัง มโนต่อว่า เราจะเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า
พอเป็นได้สัก 3 เดือน เริ่มรู้สึก ทำไมมัน เอื่อยๆ เฉื่อยๆ  3 เดือนนี้ กำไร ได้มา 3000+
เลยมาตั้งคำถามกับตัวเอง ??? ค่าแรงขั้นต่ำ 300 ไปเป็นกรรมกรดีกว่ามั๊ย อย่าเล่นเลยหุ้น

เลยจำต้องทิ้งดาบ!! แล้วสลักไว้ว่า
*ถ้าทุกคนลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ CEO แถวบ้านคงเป็น วอเรน บัฟเฟตกันหมด

เริ่มฝึกดาบเหล็ก!!!

นั่งทบทวนตัวเอง โจทย์คือ
1.ได้เงินไว
2.ได้เงินเยอะ
3.ถ้าเสียเงินต้องเสียน้อย
4.หุ้นที่จะเลือกต้องปลอดภัยต่อการลงทุน
คำตอบคือ...เข้าไปศึกษากับพวก Day trade เพราะพวกนี้กินนอนอยู่กับหุ้น หายใจเข้าเป็นหุ้น
หายใจออกเป็นหุ้น อารมณ์ประมาณ "เมียตาย ยังไม่เสียดายเท่าขายหุ้น" (ว่าไปนั่น)
คำตอบที่ได้...สุดท้ายก็ไม่พ้นกราฟ
แล้ว คำถามในใจลึกๆ  "ถ้าการลงทุน คือการที่ต้องมาดูกราฟ แล้วจะเรียกว่าลงทุน?"

โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้.... เอาวะ คิดสูตร เอง แม่มเลย

เริ่มแรก ซุนวูกล่าวไว้ "รู้เขารู้เรา รบ100 ชนะ 100"
หุ้นทุกตัว เราเข้าใจละ เพราะ
รู้เขา- มีงบการเงิน มีโวลุ่ม มีโน่นนี่ เรารู้หมด
แล้วรู้เราล่ะ ?

ประวัติ เจ้าของกระทู้ และ ความสามารถ พิเศษ
ม.6 เกรดเฉลี่ย 1 กว่าๆ (ไม่บอกว่าจบได้ไง อิอิ)
มหาลัย วิศวะ 8 ปี  ความรู้ = 0
มีความบ้ากาม ระดับ 10 และจะไม่หยุดจนกว่าจะเข้าโลง
นอกจากหื่น ก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น (เรื่องทุกเรื่อง ที่เป็นเรื่องสี เทาๆ รู้เกือบหมดทุกอย่าง)

แต่ผมก็ยังมีความเชื่ออยู่เรื่องหนึ่ง "ผู้ชายเจ้าชู้ มักจะเป็นคนฉลาด"
ถ้าเราคิดว่าตัวเอง ฉลาด แล้วเราหยุด นั่นแปลว่าเราจะไม่พัฒนา

ดังนั้น ขั้นแรกของการเล่นหุ้นสไตร์ผมคือ "มีความปิติ และยินดี เมื่อเห็นคนอื่นเสียหุ้น แต่เราได้"
(เพราะ สมองเราจะพัฒนา เรื่องความชั่ว ยิ่งๆขึ้นไป)
สาธุ!!!

บทเรียนข้อที่ 1
ศึกษาหุ้นปั่น ไม่ใช่เพื่อปั่นเอง แต่เพื่อจะได้รู้ว่า ตัวไหนปั่น เราจะได้เลือกว่าควรตามน้ำดี หรือ ถอย

และต้องคอยหาข้อมูลว่า ปกติ คนที่เขาโกงหุ้น หรือเล่นแนว เทคติก เขาเล่นแบบไหนกัน

ซึ่ง ณ ตอนนี้ ขอบอกเลยว่า มีความตื่นเต้น ระดับ 10
จับได้เป็นโดน ไม่รู้ฟลุค รึเปล่า  แต่ก็เอาเหอะ
พ่อกับแม่ บอกว่า รู้มั๊ย ลูกเราบ้าหุ้นไปแล้ว...
ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว จะว่าไป มันก็เป็น ตลกร้าย....ที่ขำไม่ออก

จากเด็กเกรียนๆ จับ ทำอะไรก็ไม่เคยจะได้เรื่อง
การเรียนก็อยู่ในระดับ epic ของความล้มเหลว จนทำให้ ท่านพ่อ และ ท่านแม่ กุมขมับอยู่บ่อยๆ
ดังนั้น สิ่งนี้แหละ ที่ทำให้เป้นผู้เป้นคนขึ้นมาหน่อย กำไร ก้อนแรก รวมๆ คือ 12000+

แล้วอย่าคิดนะว่า กำไรก้อนแรก จะโลกสวย ให้คุณพ่อคุณแม่....หยุด ความคิดนั้นซะ!!!

กลับมาสู่โลกความเป็นจริง.....
เพื่อนในกลุ่มไลน์ ชื่อกลุ่ม "นักรบ(ก็คนมันเมื่อย)" ชื่อแบบนี้จริงๆ
เพื่อน - เห้ย...ว่าไง แก้ง ขี้เมื่อย...ไปนวดกัน
ผม - ไม่มีตัง... เมิงเลี้ยงกุดิ เดะกุ จะไป
เพื่อน - เมิง เล่นหุ้น ร้องไม่มี เดะทุบ
ผม - ไม่มีจิงๆ กุมี 200 เงินกุ เอาเข้าพอร์ตไปหมดแล้ว ถอนขั้นต่ำหมื่นนึง ถอนไม่ได้
เพื่อน - งั้นเมิง ก็ถอน มา 10000 แล้ว ฝากเข้า 8000 ก็จบละ
ผม - เอิ่ม....

พอวางดาบเหล็ก ก็เริ่มรู้ และก็เริ่มสลักที่ดาบเหล็ก
1.การยับยั้งชั่งใจ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
2.หุ้นก็เหมือนกับผู้หญิง อย่าหาเหตุผลกับมัน ต่อให้เรามีเหตุผลที่ดีที่สุดในโลก ถ้ามันจะลงก็คือลง
3.ไม่มีใครที่สามารถ ซื้อราคาต่ำที่สุด แล้วขายสูงที่สุดได้
4.ศึกษาการนั่งราคา ปั่นหุ้น ใช้จิตวิทยา(ไม่เปลี่ยนแปลงนานๆ อยู่ดีๆ ราคาพุ่ง เพื่อหลอกให้คนรีบเทขาย เพราะคิดว่าติดดอยมานาน
   แล้วเจ้ามือจะช้อนหุ้นกลับมาใหม่)---จับจุดพวกนี้ให้ได้แล้วเล่นตามกระแส

ตลาดหุ้น เปรียบได้เหมือนคุก
เพราะคุกมีความหลากหลายสุดๆ ทั้งอายุ อาชีพ คนผิด คนไม่ผิด การกระทำความผิด เอาง่ายๆ คือศูนย์รวมของความสุดขั้ว

ตลาดหุ้น ก็เป็นแหล่งศูนย์รวมคนที่ เป็น ยอดปิระมิด เช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่า สิ่งที่เราคิดเป็นสิ่งที่ถูก เชื่อเถอะว่า ที่มันเป็นไปตามที่เราคิดก็เพราะดวง
เพราะจริงๆแล้ว มันมีความซับซ้อนมากกว่าที่เราคิด

ณ จุดจุด นี้ อารมณ์ เหมือนกับ เอี้ยก้วย ขี่กระหัง
ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทิ้งดาบไม้ วางดาบเหล็ก    

---พักแปปเดี๋ยวค่อยมาต่อ การเลือกหุ้นแบบไร้กระบวนท่า ---
ไร้กระบี่ ไร้กระบวนท่า ไร้ซึ่ง ความรู้ใดๆ ไม่อิง เห้ อะไรทั้งนั้น สูงสุดคืนสู่สามัญ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่