ทางหลวงชนบทหมายเลข 4045 ช่วงปากพนัง-ปากแพรก เป็นเส้นทางที่ผมปั่นจักรยานแทบทุกเย็น ไม่ใช่แค่เป็นการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการปั่นเพื่อการคมนาคมที่ผมใช้ติดต่อกับเมืองอีกด้วย การปั่นจักรยานสำหรับผมมันคือวิถีชีวิต
ทุก ๆ เย็น ผมจะปั่นไปตลาดเย็นในตัวอำเภอปากพนัง แล้วปั่นกลับบ้านในตำบลปากแพรกซึ่งอยู่นอกเมืองออกมา เป็นอย่างนี้มาเป็นพัน ๆ เที่ยว ผมชำนาญเส้นทางนี้ดี รู้ว่าตรงไหนคด ตรงไหนโค้ง ตรงไหนตรง ตรงไหนลาดขึ้นลาดลง ตรงไหนทวนลมตามลมในฤดูใดบ้าง จนปิดตาปั่นก็ยังได้เลย บนเส้นทางสายนี้ ใครก็อย่ามาท้าปะลองความเร็วกับผม ผมจะไม่ยอม
เมื่อเย็นวาน ตอนขากลับพอผมออกจากปากพนังมาได้สักกิโลฯ กว่า ๆ ก็มีก๊วนจักรยานก๊วนหนึ่งราวสิบกว่าคันค่อย ๆ ปั่นแซงผมไปทีละคัน ๆ จนกลายเป็นผมปั่นตามคันท้ายสุดของก๊วนนั้น วันนี้ผมไม่อยากแข่งอะไรกับใคร ก็เลยปั่นเกาะท้ายก๊วนเขาไป ซึ่งการปั่นเกาะท้ายเขาไปมันก็เบาสบายดี
สักพักดูท่าก๊วนคงจะหมดแรง ความเร็วค่อย ๆ ลดลง ๆ จนผมรู้สึกปั่นยาก เพราะความเร็วของก๊วนไม่สัมพันธ์กับจังหวะฝีเท้าของผม ผมจึงตัดสินใจแซงขึ้นไปข้างหน้าเพื่อรักษาจังหวะฝีเท้าของผมให้พอดี ผมค่อย ๆ แซงขึ้นไปทีละคัน ๆ จนไปจ่อท้ายคันหน้าสุดของก๊วน และกำลังจะแซงขึ้นหน้าเขาไป แต่ทันใดนั้นเขากลับเร่งความเร็วขึ้นไปอีก เพื่อไม่ให้ผมแซง
"อาว เฮ้ย แบบนี้มันก็ท้าทายกันซิวะ" ผมคิดในใจ
ผมตัดสินใจจี้ขึ้นไป เขาก็เร่งความเร็วขึ้นไปอีก ผมจี้ขึ้นไปอีก เขาก็เร่งขึ้นไปอีก แต่ผมยังไม่แซง การปั่นจี้ท้ายคนอื่นมันเบาสบายกว่า เพราะมีคันหน้าคอยบังลมไว้ ในขณะที่คันข้างหน้าต้องปะทะกับกระแสลมเต็ม ๆ ย่อมเหนื่อยกว่าแน่นอน ผมปรับเกียร์ให้หนักสุด เหยียบบันใดแต่เพียงสบาย ๆ เลี้ยงความเร็วไว้ให้พอจี้เขาทัน และออมกำลังไว้รอจังหวะ บางทีก็ทำทีเป็นจะแซงเขาบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เขาโถมแรงลงไปเพื่อจะหนีผม หลอกให้เขาเหนื่อย ฮา
ขับเคี่ยวกันอยู่เช่นนั้นได้ราว ๆ สิบกิโลฯ ก็ถึงช่วงที่ทวนลม คันหน้าเริ่มรู้สึกหนักและเหนื่อยล้า แต่เขาก็ไม่ยอม เขาลดเกียร์ลงเพื่อให้เบาขึ้น และควงฝีเท้าอย่างเร็ว เพื่อเอาชนะทั้งกระแสลมและผม แต่การควงฝีเท้าอย่างนั้นถึงแม้นมันจะเบาก็จริง แต่ก็ทำให้เหนื่อยเร็ว ไม่นานเขาก็หมดแรง
ผมเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปบนบันใดอีกเล็กน้อยก็แซงขึ้นหน้าเขาไปได้อย่างสบาย ๆ แต่พอผมขึ้นนำ เขากลับไม่ยอมให้ผมทิ้งห่าง คราวนี้เขากลับจี้ผมบ้าง ตำแหน่งสลับกัน ความหนักเบาก็สลับกัน ตอนนี้ผมขึ้นนำ ผมปะทะลมเต็ม ๆ ส่วนเขาอาศัยผมช่วยบังลม ทำให้ผมหนักขึ้น และเขาเบาสบายลงบ้าง
แต่ผมไม่ใช่นักปั่นสมัครเล่น ผมลุยมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ นี่ก็เพิ่งกลับจากทริป หล่มสัก-กรุงเทพ มาสด ๆ ร้อน ๆ อีกอย่าง บอกตั้งแต่ต้นแล้ว เส้นทางสายนี้มันเป็นของผม ใครก็อย่ามาแหยม ผมเพิ่มน้ำหนักเท้าขึ้นไปอีก จนทิ้งเขาห่างระยะหนึ่ง ทำให้เขาเกาะไม่ติด และต้องปะทะกับลมพอ ๆ กัน เมื่ออุปสรรคเสมอกันแล้ว ทีนี้ก็มีแต่ใครจะแรงดีกว่ากันเท่านั้น และแน่นอน สุดท้ายเขาก็หมดแรง ผมนำลิ่วจนหันกลับไปมองอีกที เห็นเขาตัวเท่ามดตะนอย ปั่นตามผมอยู่ที่ริมขอบฟ้าสุดสายตาโน่น ฮา
ผมกลับถึงบ้านอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในชัยชนะ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ จากนั้นไม่นานก็มีอาการขาแข้งสั่น หมดแรง แล้วก็เริ่มเจ็บหน้าอก เจ็บหน้าอกไปทั้งคืน นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ จนถึงเช้า
ผมนึกออกเลยว่า นักกีฬาที่ตายคาสนามเขาจะรู้สึกอย่างไรก่อนตาย กระซิก ๆ
เส้นทางสายนี้ใครอย่าแซง ผมไม่ยอม
ทุก ๆ เย็น ผมจะปั่นไปตลาดเย็นในตัวอำเภอปากพนัง แล้วปั่นกลับบ้านในตำบลปากแพรกซึ่งอยู่นอกเมืองออกมา เป็นอย่างนี้มาเป็นพัน ๆ เที่ยว ผมชำนาญเส้นทางนี้ดี รู้ว่าตรงไหนคด ตรงไหนโค้ง ตรงไหนตรง ตรงไหนลาดขึ้นลาดลง ตรงไหนทวนลมตามลมในฤดูใดบ้าง จนปิดตาปั่นก็ยังได้เลย บนเส้นทางสายนี้ ใครก็อย่ามาท้าปะลองความเร็วกับผม ผมจะไม่ยอม
เมื่อเย็นวาน ตอนขากลับพอผมออกจากปากพนังมาได้สักกิโลฯ กว่า ๆ ก็มีก๊วนจักรยานก๊วนหนึ่งราวสิบกว่าคันค่อย ๆ ปั่นแซงผมไปทีละคัน ๆ จนกลายเป็นผมปั่นตามคันท้ายสุดของก๊วนนั้น วันนี้ผมไม่อยากแข่งอะไรกับใคร ก็เลยปั่นเกาะท้ายก๊วนเขาไป ซึ่งการปั่นเกาะท้ายเขาไปมันก็เบาสบายดี
สักพักดูท่าก๊วนคงจะหมดแรง ความเร็วค่อย ๆ ลดลง ๆ จนผมรู้สึกปั่นยาก เพราะความเร็วของก๊วนไม่สัมพันธ์กับจังหวะฝีเท้าของผม ผมจึงตัดสินใจแซงขึ้นไปข้างหน้าเพื่อรักษาจังหวะฝีเท้าของผมให้พอดี ผมค่อย ๆ แซงขึ้นไปทีละคัน ๆ จนไปจ่อท้ายคันหน้าสุดของก๊วน และกำลังจะแซงขึ้นหน้าเขาไป แต่ทันใดนั้นเขากลับเร่งความเร็วขึ้นไปอีก เพื่อไม่ให้ผมแซง
"อาว เฮ้ย แบบนี้มันก็ท้าทายกันซิวะ" ผมคิดในใจ
ผมตัดสินใจจี้ขึ้นไป เขาก็เร่งความเร็วขึ้นไปอีก ผมจี้ขึ้นไปอีก เขาก็เร่งขึ้นไปอีก แต่ผมยังไม่แซง การปั่นจี้ท้ายคนอื่นมันเบาสบายกว่า เพราะมีคันหน้าคอยบังลมไว้ ในขณะที่คันข้างหน้าต้องปะทะกับกระแสลมเต็ม ๆ ย่อมเหนื่อยกว่าแน่นอน ผมปรับเกียร์ให้หนักสุด เหยียบบันใดแต่เพียงสบาย ๆ เลี้ยงความเร็วไว้ให้พอจี้เขาทัน และออมกำลังไว้รอจังหวะ บางทีก็ทำทีเป็นจะแซงเขาบ้าง เพื่อกระตุ้นให้เขาโถมแรงลงไปเพื่อจะหนีผม หลอกให้เขาเหนื่อย ฮา
ขับเคี่ยวกันอยู่เช่นนั้นได้ราว ๆ สิบกิโลฯ ก็ถึงช่วงที่ทวนลม คันหน้าเริ่มรู้สึกหนักและเหนื่อยล้า แต่เขาก็ไม่ยอม เขาลดเกียร์ลงเพื่อให้เบาขึ้น และควงฝีเท้าอย่างเร็ว เพื่อเอาชนะทั้งกระแสลมและผม แต่การควงฝีเท้าอย่างนั้นถึงแม้นมันจะเบาก็จริง แต่ก็ทำให้เหนื่อยเร็ว ไม่นานเขาก็หมดแรง
ผมเพิ่มน้ำหนักเท้าลงไปบนบันใดอีกเล็กน้อยก็แซงขึ้นหน้าเขาไปได้อย่างสบาย ๆ แต่พอผมขึ้นนำ เขากลับไม่ยอมให้ผมทิ้งห่าง คราวนี้เขากลับจี้ผมบ้าง ตำแหน่งสลับกัน ความหนักเบาก็สลับกัน ตอนนี้ผมขึ้นนำ ผมปะทะลมเต็ม ๆ ส่วนเขาอาศัยผมช่วยบังลม ทำให้ผมหนักขึ้น และเขาเบาสบายลงบ้าง
แต่ผมไม่ใช่นักปั่นสมัครเล่น ผมลุยมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ นี่ก็เพิ่งกลับจากทริป หล่มสัก-กรุงเทพ มาสด ๆ ร้อน ๆ อีกอย่าง บอกตั้งแต่ต้นแล้ว เส้นทางสายนี้มันเป็นของผม ใครก็อย่ามาแหยม ผมเพิ่มน้ำหนักเท้าขึ้นไปอีก จนทิ้งเขาห่างระยะหนึ่ง ทำให้เขาเกาะไม่ติด และต้องปะทะกับลมพอ ๆ กัน เมื่ออุปสรรคเสมอกันแล้ว ทีนี้ก็มีแต่ใครจะแรงดีกว่ากันเท่านั้น และแน่นอน สุดท้ายเขาก็หมดแรง ผมนำลิ่วจนหันกลับไปมองอีกที เห็นเขาตัวเท่ามดตะนอย ปั่นตามผมอยู่ที่ริมขอบฟ้าสุดสายตาโน่น ฮา
ผมกลับถึงบ้านอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในชัยชนะ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาเสร็จ จากนั้นไม่นานก็มีอาการขาแข้งสั่น หมดแรง แล้วก็เริ่มเจ็บหน้าอก เจ็บหน้าอกไปทั้งคืน นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ จนถึงเช้า
ผมนึกออกเลยว่า นักกีฬาที่ตายคาสนามเขาจะรู้สึกอย่างไรก่อนตาย กระซิก ๆ