สวัสดีครับชาวพันทิป วันนี้จะมาแชร์วิธีการเปิดร้านชา 25 บาททุกแก้ว ที่ฮิตทั่วไปในเวลานี้ โดยไม่ต้องพึ่งเฟรนไชส์
แนะนำตัวเองว่าก่อนหน้านี้ผมก็เคยซื้อเฟรนไชส์เจ้าดังมา แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามที่ทุกท่านเห็น คือแม้ว่าจะขายได้(ขายดีด้วย) แต่ปัญหาก็เยอะ ลง pantip ก็บ่อยคงเคยผ่านตากันมาบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/35439649
https://pantip.com/topic/34448892
และเราลองไปสำรวจราคาเฟรนไชส์ เจ้าดังๆจากหน้าเพจของแต่ละเจ้าดูนะครับ
ชาพะ.. 100,000 บาท
ชาปักษ์.. 60,000 บาท
ชาขุน.. 90,000 บาท
ชาตัน.. 69,000 บาท
ชายิ้.. 40,000-52,000 บาท
ชาปาก.. 69,000 บาท
ชาพะเ.. 79,000 บาท
ชาช้.. 30,000-69,000 บาท
ชาลิ.. 39,000 บาท
เป็นราคาช่วงปกติที่ไม่มีโปรโมชั่นลดนะครับ ซึ่งเกือบทุกเจ้า จะให้เพียงอุปกรณ์บางอย่าง (ราคารวมไม่เกินหมื่น) สูตรการชง และสิทธิ์ในการซื้อผงชา และการใช้ชื่อเฟรนไชส์ ซึ่งแน่นอนว่าก็มีข้อดีตรงที่ถ้าเป็นเจ้าที่อร่อยจริงๆ ก็ทำให้คนง่ายในการตัดสินใจซื้อ แต่ในตลาดจริงๆก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายที่จะทำให้คนตัดสินใจซื้อ
ซึ่งหากเราจะซื้อเฟรนไชส์แล้ว จากประสบการณ์ของผม เราต้องอาศัยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 150,000-200,000 บาทในการเปิดร้าน
วันนี้ผมเลยมาแนะนำการเปิดร้านชา 25 บาททุกแก้ว แบบไม่ต้องง้อเฟรนไชส์
ให้ลองตัดสินใจดูนะครับ เผื่อจะมีแนวทางให้คนที่มีความฝันอยากทำธุรกิจนี้ดู แต่วิธีการนี้แน่นอนว่าต้องลงแรงมากกว่าวิธีการซื้อเฟรนไชส์ที่เค้ามีให้พร้อมทุกอย่างอยู่แล้วครับ แต่มันก็แลกกับเงินลงทุนที่น้อยกว่ากันเยอะมาก ลองดูนะครับ
1.สิ่งแรกที่ต้องหาคือ
ทำเล อันนี้ต้องแล้วแต่โอกาสของแต่ละคน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ไม่เสมอไปที่ทำเลดีๆจะขายได้ บางครั้งทำเลธรรมดาก็สามารถขายได้เช่นกัน บางทำเลนี่หักปากกาเซียนมาเยอะแล้วเหมือนกัน ทำเลหลายๆที่มีค่าใช้จ่ายก็คงต้องดูให้เหมาะสมกับตัวเองนะครับ
2.คิดรูปแบบร้าน ก็จะมีหลายๆแบบ แล้วแต่เงินลงทุนนะครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ชา 25 บาททำก็คือ เคาเตอร์ อย่างเดียวจบ ข้อนี้จากประสบการณ์คืออย่าทำให้แตกต่างจากเจ้าใหญ่ในท้องตลาด เพราะรูปแบบของเจ้าใหญ่กลายเป็นความคุ้นชินของคนไปซะแล้ว เพราะฉะนั้นหากเราอิงจากเจ้าใหญ่ก็ทำให้คนรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่าร้านของเราขายอะไร รูปแบบและรสชาดประมาณไหน ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
อันนี้ตัวอย่างจากทางร้าน
คุ้มคงเฟอร์นิเจอร์ ที่ทำให้เฟรนไชส์เจ้าใหญ่อยู่ ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 8000-25000 บาท ข้อดีคือมีหลายแบบและครบชุดยันสติกเกอร์ตกแต่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

การตกแต่งร้าน ส่วนใหญ่ที่ทำกันก็จะมี ป้ายธงญี่ปุ่น ป้ายชื่อร้าน ชาโน่น ชานี่ ว่ากันไป ป้ายเมนู ป้ายบอกราคาที่ชัดเจน ซึ่งสามารถสั่งทำได้ตามร้านไวนิลทั่วไป ตารางเมตรละ 150 บาท แต่หากเป็นป้ายเมนู อาจจะทำสติกเกอร์ติดบนโฟมบอร์ดหรือแผ่นพลาสวู้ด ซึ่งจะราคาประมาณ ตรม.ละ 450-600 บาท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนโต๊ะเก้าอี้ ส่วนใหญ่จะมีไว้สักชุดสองชุด แล้วแต่ขนาดร้าน เพื่อให้ลูกค้าได้นั่งรอคิวบ้าง หรือวางของระหว่างรอบ้าง เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นแบบ take and go ก็ไม่ได้คาดหวังการนั่งแช่ที่ร้านอยู่แล้ว ประมาณ ชุดละ 2,500 บาท ภาพจากเพจร้าน นั่งดีมีสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3.
หาซื้ออุปกรณ์ ซึ่งก็หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายเครื่องครัว หรือร้านอุปกรณ์เบเกอรี่ จดรายการไป หรือไม่ก็ไปบอกว่าจะเปิดร้านแบบไหน ร้านพวกนี้เค้าชำนาญอยู่แล้วว่าต้องจัดของอะไรให้ลูกค้าบ้าง รายการก็จะประมาณนี้ (อันนี้คือ ตามชาเจ้าใหญ่เป๊ะๆนะครับ)
-ถังต้มน้ำร้อน ขนาด 6.8 ลิตร HW 3 ใบ (พักชา 2 ใบ ต้มน้ำร้อน 1 ใบ) ใบละ 2500 บาท

-กระติกน้ำร้อน 1 ใบ 800 บาท (เอาไว้ทำน้ำร้อนสำหรับละลายวัตถุดิบบางตัว)
-เครื่องตีฟองนมไฟฟ้า 2 ตัว (สำรอง) ราคา 900-1200 บาท

-แก้วชง 5 ใบ (แก้วหรือสแตนเลส)

-แก้วตวง 6 ออนซ์ (มีสเกล) 4 ใบ

-แก้วตวงนม(แก้ว 1.5 ออนซ์) 4 ใบ

-ช้อนคนด้ามยาว 1 โหล
-ถาดพลาสติกสำหรับรองชง 2 ใบ
-เหยือกชักชา 3 ใบ
-จวักขนาด 4 นิ้ว 1 อัน
-กระบวยตักน้ำร้อน 1 อัน
-ถุงชักชา 3 อัน
-ที่คีบสแตนเลส 1 อัน
-กระปุกใส่วัตถุดิบ+ช้อนตวง 6 กระปุก
-กระป๋องใหญ่ใส่ผงชา 2 กระป๋อง
-ที่คั้นมะนาว 1 อัน
-ขวดบีบนมจัมโบ้ 3 ใบ
-ที่เปิดกระป๋องนม 1 ชิ้น
-ลังใส่น้ำแข็ง 1 ลัง
-ที่ตักน้ำแข็ง 1 ชิ้น
-จุกปิดโซดา 1 ชิ้น
-กระปุกใส่หลอด 1 ใบ
-สายหิ้วแก้วเดี่ยว 1 แพ็ค
-สายหิ้วแก้วคู่ 1 แพ็ค
-ถุงร้อนสำหรับใส่แยกน้ำ 4.5x7 นิ้ว 1 แพ็ค
-ถุงหูหิ้ว 1 แพ็ค
-แก้ว 22 ออนซ์ YODO 10 แถว
-ฝาโดม 10 แถว
-หลอดงอจัมโบ้ 2 ห่อ
รายการประมาณนี้ ทั้งหมดรวมกันแล้ว ประมาณ 15,000-20,000 บาท
4.หาซื้อวัตถุดิบ แยกออกเป็นสองส่วน
-ส่วนแรก เป็นวัตถุดิบทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านเบเกอรี่ทั่วไป
ผงกาแฟโบราณ (อันนี้ลองถามร้านดูอันไหนขายดีสุด รสชาดส่วนใหญ่จะคล้ายๆกัน)
ผงโกโก้ (ทิวลิป)
โอวัลติน
เนสกาแฟ
เฮลบลูบอยแดง/เขียว
นมข้นคาร์เนชั่น
นมสดไข่เจียวคาร์เนชั่น
น้ำตาลทราย
ครีมเทียม
เกลือผง
โซดา
มะนาว
ส่วนที่ 2 เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด คือ "ใบชา" ทั้งใบชาแดงสำหรับทำชาเย็น และใบชาเขียวสำหรับทำชาเขียว ผมขออนุญาตแนะนำใบชาจากร้าน "ชาฮีโร่" ที่มีผงชาที่มีรสชาดเดียวกับชาเฟรนไชส์เจ้าใหญ่(ที่ค่าเฟรนไชส์แพงที่สุด) ราคาก็ใกล้เคียงกับใบชาในท้องตลาดทั่วไป และมีการสนับสนุนทุกอย่างให้สามารถเปิดร้านด้วยตัวเองได้อย่างง่ายๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกมัดใดๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/HERO.tea.powder/
4.เตรียมเมนูที่จะขาย โดยปกติจะมีประมาณ 20 เมนูหลัก

อาจจะมีเมนูเสริมใหม่ๆบ้างเป็นช่วงๆไป แต่บางเฟรนไชส์ที่บอกว่าให้มาถึง 60 เมนู นั้น ก็ทำให้ต้องเตรียมวัตถุดิบหลายตัวเกินไป ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วลูกค้าสั่งจริงๆอยู่เพียงไม่กี่เมนูเท่านั้น
5.
สูตรการชง จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วน
-ส่วนแรก เป็นวิธีการทำน้ำชาเบส ทั้งชาแดงและชาเขียว (สังเกตเวลาไปซื้อชาเย็นเฟรนไชส์ จะใช้วิธีกดออกมาจากถัง แล้วเอามาผสมส่วนผสมอื่น) ซึ่งต้องทำวันต่อวัน และต้องอุ่นไว้ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถละลายส่วนผสมอื่นได้ง่าย (ควรใช้หม้อต้มไฟฟ้า แต่บางที่ใช้หม้อกาแฟโบราณก็ได้ โดยวางเหยือกไว้บนหม้อกาแฟเพื่ออุ่นน้ำชา)
-ส่วนที่ 2 เป็นสูตรการชง ติดตามการชงชาเย็นไปที่กระทู้นี้ได้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://pantip.com/topic/35991807
6.ทดลองชง ซ้อมมือ ให้เพื่อนๆชิม ซอฟท์โอเพนนิ่ง และเปิดจริง สอบถามลูกค้า สังเกตการกลับมาซื้อซ้ำ อาจจะมีโปรโมชั่นในช่วงที่เปิดแรกๆ หรือในระยะที่เปิดไปแล้วเพื่อดึงดูดลูกค้า
7.คำนวณต้นทุนกำไร อันที่จริงถ้านับเฉพาะต้นทุนในแก้วแล้วนั้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อแก้วอยู่ที่ประมาณ 10-13 บาท (ไม่นับค่าแรง/ค่าเช่า/ค่าก่อสร้างร้าน) ซึ่งตรงนี้คิดไม่ยาก สามารถชั่งน้ำหนักวัตถุดิบและนับอุปกรณ์ทุกอย่าง(แก้ว/ฝา/หลอด)เพื่อเอามาคำนวณได้ไม่ยาก
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยประมาณ หากไม่มีรายจ่ายข้อไหนก็ตัดออกได้เลย
1.ค่าเคาเตอร์ 10,000 บาท (แบบธรรมดา) ถ้าแบบธรรมดาจริงๆ ให้ร้านเหล็กแถวบ้านเชื่อมให้ ประมาณ 4,000 บาท
2.ค่าตกแต่งร้าน ป้ายญี่ปุ่น ป้ายเมนู 3,000 บาท ได้ครบ
3.ค่าอุปกรณ์ครบชุด 15,000-20,000 บาท
4.ค่าวัตถุดิบเริ่มต้น 5,000 บาท
5.โต๊ะเก้าอี้ (ถ้ามี) 2,500 บาท
6.ค่าเช่าร้าน........... บาท (อันนี้ใส่เอาเอง)
รวมแล้วประมาณ 40,000 บาท (อันนี้แบบสวยกลางๆ) ก็สามารถเปิดร้านได้แล้ว
สุดท้ายแล้ว ธุรกิจเครื่องดื่มชา 25 บาททุกแก้ว อาจจะไม่สวยหรู หรือทำแล้วขายได้แน่นอนอย่างที่หลายคนบอกว่า มันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว แต่ธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนไม่เยอะมาก(หากไม่ต้องซื้อเฟรนไชส์) และเราก็ยังเห็นว่าในที่ต่างๆมันก็ยังมี "ทำเล" ที่มันน่าจะขายได้อยู่ ยังมีคนเดินหิ้วแก้วเครื่องดื่มเดินไปเดินมากันอยู่ ธุรกิจนี้ก็ยังน่าจะไปได้นะครับ
เปิดร้านชา 25 บาททุกแก้ว แบบไม่ต้องพึ่งเฟรนไชส์ราคาแพง
แนะนำตัวเองว่าก่อนหน้านี้ผมก็เคยซื้อเฟรนไชส์เจ้าดังมา แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามที่ทุกท่านเห็น คือแม้ว่าจะขายได้(ขายดีด้วย) แต่ปัญหาก็เยอะ ลง pantip ก็บ่อยคงเคยผ่านตากันมาบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และเราลองไปสำรวจราคาเฟรนไชส์ เจ้าดังๆจากหน้าเพจของแต่ละเจ้าดูนะครับ
ชาพะ.. 100,000 บาท
ชาปักษ์.. 60,000 บาท
ชาขุน.. 90,000 บาท
ชาตัน.. 69,000 บาท
ชายิ้.. 40,000-52,000 บาท
ชาปาก.. 69,000 บาท
ชาพะเ.. 79,000 บาท
ชาช้.. 30,000-69,000 บาท
ชาลิ.. 39,000 บาท
เป็นราคาช่วงปกติที่ไม่มีโปรโมชั่นลดนะครับ ซึ่งเกือบทุกเจ้า จะให้เพียงอุปกรณ์บางอย่าง (ราคารวมไม่เกินหมื่น) สูตรการชง และสิทธิ์ในการซื้อผงชา และการใช้ชื่อเฟรนไชส์ ซึ่งแน่นอนว่าก็มีข้อดีตรงที่ถ้าเป็นเจ้าที่อร่อยจริงๆ ก็ทำให้คนง่ายในการตัดสินใจซื้อ แต่ในตลาดจริงๆก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายที่จะทำให้คนตัดสินใจซื้อ
ซึ่งหากเราจะซื้อเฟรนไชส์แล้ว จากประสบการณ์ของผม เราต้องอาศัยเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 150,000-200,000 บาทในการเปิดร้าน
วันนี้ผมเลยมาแนะนำการเปิดร้านชา 25 บาททุกแก้ว แบบไม่ต้องง้อเฟรนไชส์
ให้ลองตัดสินใจดูนะครับ เผื่อจะมีแนวทางให้คนที่มีความฝันอยากทำธุรกิจนี้ดู แต่วิธีการนี้แน่นอนว่าต้องลงแรงมากกว่าวิธีการซื้อเฟรนไชส์ที่เค้ามีให้พร้อมทุกอย่างอยู่แล้วครับ แต่มันก็แลกกับเงินลงทุนที่น้อยกว่ากันเยอะมาก ลองดูนะครับ
1.สิ่งแรกที่ต้องหาคือ ทำเล อันนี้ต้องแล้วแต่โอกาสของแต่ละคน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ไม่เสมอไปที่ทำเลดีๆจะขายได้ บางครั้งทำเลธรรมดาก็สามารถขายได้เช่นกัน บางทำเลนี่หักปากกาเซียนมาเยอะแล้วเหมือนกัน ทำเลหลายๆที่มีค่าใช้จ่ายก็คงต้องดูให้เหมาะสมกับตัวเองนะครับ
2.คิดรูปแบบร้าน ก็จะมีหลายๆแบบ แล้วแต่เงินลงทุนนะครับ แต่ส่วนใหญ่ที่ชา 25 บาททำก็คือ เคาเตอร์ อย่างเดียวจบ ข้อนี้จากประสบการณ์คืออย่าทำให้แตกต่างจากเจ้าใหญ่ในท้องตลาด เพราะรูปแบบของเจ้าใหญ่กลายเป็นความคุ้นชินของคนไปซะแล้ว เพราะฉะนั้นหากเราอิงจากเจ้าใหญ่ก็ทำให้คนรู้ได้ในทันทีที่เห็นว่าร้านของเราขายอะไร รูปแบบและรสชาดประมาณไหน ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
อันนี้ตัวอย่างจากทางร้าน คุ้มคงเฟอร์นิเจอร์ ที่ทำให้เฟรนไชส์เจ้าใหญ่อยู่ ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 8000-25000 บาท ข้อดีคือมีหลายแบบและครบชุดยันสติกเกอร์ตกแต่ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การตกแต่งร้าน ส่วนใหญ่ที่ทำกันก็จะมี ป้ายธงญี่ปุ่น ป้ายชื่อร้าน ชาโน่น ชานี่ ว่ากันไป ป้ายเมนู ป้ายบอกราคาที่ชัดเจน ซึ่งสามารถสั่งทำได้ตามร้านไวนิลทั่วไป ตารางเมตรละ 150 บาท แต่หากเป็นป้ายเมนู อาจจะทำสติกเกอร์ติดบนโฟมบอร์ดหรือแผ่นพลาสวู้ด ซึ่งจะราคาประมาณ ตรม.ละ 450-600 บาท
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนโต๊ะเก้าอี้ ส่วนใหญ่จะมีไว้สักชุดสองชุด แล้วแต่ขนาดร้าน เพื่อให้ลูกค้าได้นั่งรอคิวบ้าง หรือวางของระหว่างรอบ้าง เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นแบบ take and go ก็ไม่ได้คาดหวังการนั่งแช่ที่ร้านอยู่แล้ว ประมาณ ชุดละ 2,500 บาท ภาพจากเพจร้าน นั่งดีมีสุข
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3.หาซื้ออุปกรณ์ ซึ่งก็หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายเครื่องครัว หรือร้านอุปกรณ์เบเกอรี่ จดรายการไป หรือไม่ก็ไปบอกว่าจะเปิดร้านแบบไหน ร้านพวกนี้เค้าชำนาญอยู่แล้วว่าต้องจัดของอะไรให้ลูกค้าบ้าง รายการก็จะประมาณนี้ (อันนี้คือ ตามชาเจ้าใหญ่เป๊ะๆนะครับ)
-ถังต้มน้ำร้อน ขนาด 6.8 ลิตร HW 3 ใบ (พักชา 2 ใบ ต้มน้ำร้อน 1 ใบ) ใบละ 2500 บาท
-กระติกน้ำร้อน 1 ใบ 800 บาท (เอาไว้ทำน้ำร้อนสำหรับละลายวัตถุดิบบางตัว)
-เครื่องตีฟองนมไฟฟ้า 2 ตัว (สำรอง) ราคา 900-1200 บาท
-แก้วชง 5 ใบ (แก้วหรือสแตนเลส)
-แก้วตวง 6 ออนซ์ (มีสเกล) 4 ใบ
-ถาดพลาสติกสำหรับรองชง 2 ใบ
-เหยือกชักชา 3 ใบ
-จวักขนาด 4 นิ้ว 1 อัน
-กระบวยตักน้ำร้อน 1 อัน
-ถุงชักชา 3 อัน
-ที่คีบสแตนเลส 1 อัน
-กระปุกใส่วัตถุดิบ+ช้อนตวง 6 กระปุก
-กระป๋องใหญ่ใส่ผงชา 2 กระป๋อง
-ที่คั้นมะนาว 1 อัน
-ขวดบีบนมจัมโบ้ 3 ใบ
-ที่เปิดกระป๋องนม 1 ชิ้น
-ลังใส่น้ำแข็ง 1 ลัง
-ที่ตักน้ำแข็ง 1 ชิ้น
-จุกปิดโซดา 1 ชิ้น
-กระปุกใส่หลอด 1 ใบ
-สายหิ้วแก้วเดี่ยว 1 แพ็ค
-สายหิ้วแก้วคู่ 1 แพ็ค
-ถุงร้อนสำหรับใส่แยกน้ำ 4.5x7 นิ้ว 1 แพ็ค
-ถุงหูหิ้ว 1 แพ็ค
-แก้ว 22 ออนซ์ YODO 10 แถว
-ฝาโดม 10 แถว
-หลอดงอจัมโบ้ 2 ห่อ
รายการประมาณนี้ ทั้งหมดรวมกันแล้ว ประมาณ 15,000-20,000 บาท
4.หาซื้อวัตถุดิบ แยกออกเป็นสองส่วน
-ส่วนแรก เป็นวัตถุดิบทั่วไป หาซื้อได้ตามร้านเบเกอรี่ทั่วไป
ผงกาแฟโบราณ (อันนี้ลองถามร้านดูอันไหนขายดีสุด รสชาดส่วนใหญ่จะคล้ายๆกัน)
ผงโกโก้ (ทิวลิป)
โอวัลติน
เนสกาแฟ
เฮลบลูบอยแดง/เขียว
นมข้นคาร์เนชั่น
นมสดไข่เจียวคาร์เนชั่น
น้ำตาลทราย
ครีมเทียม
เกลือผง
โซดา
มะนาว
ส่วนที่ 2 เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด คือ "ใบชา" ทั้งใบชาแดงสำหรับทำชาเย็น และใบชาเขียวสำหรับทำชาเขียว ผมขออนุญาตแนะนำใบชาจากร้าน "ชาฮีโร่" ที่มีผงชาที่มีรสชาดเดียวกับชาเฟรนไชส์เจ้าใหญ่(ที่ค่าเฟรนไชส์แพงที่สุด) ราคาก็ใกล้เคียงกับใบชาในท้องตลาดทั่วไป และมีการสนับสนุนทุกอย่างให้สามารถเปิดร้านด้วยตัวเองได้อย่างง่ายๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือข้อผูกมัดใดๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4.เตรียมเมนูที่จะขาย โดยปกติจะมีประมาณ 20 เมนูหลัก
อาจจะมีเมนูเสริมใหม่ๆบ้างเป็นช่วงๆไป แต่บางเฟรนไชส์ที่บอกว่าให้มาถึง 60 เมนู นั้น ก็ทำให้ต้องเตรียมวัตถุดิบหลายตัวเกินไป ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วลูกค้าสั่งจริงๆอยู่เพียงไม่กี่เมนูเท่านั้น
5.สูตรการชง จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วน
-ส่วนแรก เป็นวิธีการทำน้ำชาเบส ทั้งชาแดงและชาเขียว (สังเกตเวลาไปซื้อชาเย็นเฟรนไชส์ จะใช้วิธีกดออกมาจากถัง แล้วเอามาผสมส่วนผสมอื่น) ซึ่งต้องทำวันต่อวัน และต้องอุ่นไว้ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถละลายส่วนผสมอื่นได้ง่าย (ควรใช้หม้อต้มไฟฟ้า แต่บางที่ใช้หม้อกาแฟโบราณก็ได้ โดยวางเหยือกไว้บนหม้อกาแฟเพื่ออุ่นน้ำชา)
-ส่วนที่ 2 เป็นสูตรการชง ติดตามการชงชาเย็นไปที่กระทู้นี้ได้เลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
6.ทดลองชง ซ้อมมือ ให้เพื่อนๆชิม ซอฟท์โอเพนนิ่ง และเปิดจริง สอบถามลูกค้า สังเกตการกลับมาซื้อซ้ำ อาจจะมีโปรโมชั่นในช่วงที่เปิดแรกๆ หรือในระยะที่เปิดไปแล้วเพื่อดึงดูดลูกค้า
7.คำนวณต้นทุนกำไร อันที่จริงถ้านับเฉพาะต้นทุนในแก้วแล้วนั้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อแก้วอยู่ที่ประมาณ 10-13 บาท (ไม่นับค่าแรง/ค่าเช่า/ค่าก่อสร้างร้าน) ซึ่งตรงนี้คิดไม่ยาก สามารถชั่งน้ำหนักวัตถุดิบและนับอุปกรณ์ทุกอย่าง(แก้ว/ฝา/หลอด)เพื่อเอามาคำนวณได้ไม่ยาก
สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยประมาณ หากไม่มีรายจ่ายข้อไหนก็ตัดออกได้เลย
1.ค่าเคาเตอร์ 10,000 บาท (แบบธรรมดา) ถ้าแบบธรรมดาจริงๆ ให้ร้านเหล็กแถวบ้านเชื่อมให้ ประมาณ 4,000 บาท
2.ค่าตกแต่งร้าน ป้ายญี่ปุ่น ป้ายเมนู 3,000 บาท ได้ครบ
3.ค่าอุปกรณ์ครบชุด 15,000-20,000 บาท
4.ค่าวัตถุดิบเริ่มต้น 5,000 บาท
5.โต๊ะเก้าอี้ (ถ้ามี) 2,500 บาท
6.ค่าเช่าร้าน........... บาท (อันนี้ใส่เอาเอง)
รวมแล้วประมาณ 40,000 บาท (อันนี้แบบสวยกลางๆ) ก็สามารถเปิดร้านได้แล้ว
สุดท้ายแล้ว ธุรกิจเครื่องดื่มชา 25 บาททุกแก้ว อาจจะไม่สวยหรู หรือทำแล้วขายได้แน่นอนอย่างที่หลายคนบอกว่า มันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว แต่ธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนไม่เยอะมาก(หากไม่ต้องซื้อเฟรนไชส์) และเราก็ยังเห็นว่าในที่ต่างๆมันก็ยังมี "ทำเล" ที่มันน่าจะขายได้อยู่ ยังมีคนเดินหิ้วแก้วเครื่องดื่มเดินไปเดินมากันอยู่ ธุรกิจนี้ก็ยังน่าจะไปได้นะครับ