
บันทึกที่พักระหว่างการเดินทาง ที่ Attrap' Rêves Hotel Allauch: เวลาที่ใช้ในการท่องเที่ยวมักจะประกอบไปด้วย เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปอีกจุด เวลาที่ใช้กับที่หมาย และเวลาพักผ่อน โดยทั้งสามส่วนอาจทับซ้อนกันบ้างและล้วนเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆได้ทั้งสิ้น การเข้าพักที่ Attrap Rêves ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับเราในด้านที่พักเช่นกัน ห้องพักที่นี่เป็นทรงกลมที่มีเพียงแผ่นพลาสติกใสกั้นเราจากสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ท่ามกลางธรรมชาติในฝรั่งเศสตอนใต้ เป็นหนึ่งในที่ที่เราถ่ายรูปกันสนุกมาก เชิญชมภาพกันเลยครับ

Attrap' Rêves เป็นที่พักที่นำเสนอห้องพักรูปแบบใหม่ที่ออกแบบโดย Pierre Stephane Dumas (อย่าถามว่าอ่านว่าอะไร) มีลักษณะเป็นโดมพลาสติกใสเพื่อให้มีสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างผู้อาศัยและธรรมชาติภายนอกให้น้อยที่สุด ปัจจุบันมีสาขากระจายอยู่ใน Provence, ฝรั่งเศสตอนใต้ได้แก่ที่ Allauch, Forcalquier, La Bouilladisse, Montagnac Montpezat และ Puget Ville

เรื่องมันมีอยู่ว่า ขณะที่กำลังวางแผนเดินทางเซอร์เวย์มหาลัย เทียนจำได้ว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในฝรั่งเศส แล้วก็หาข้อมูลมาได้ เลยตัดสินใจวางแผนแวะที่นี่ในเส้นทาง พวกเราเลยเลือกจะพักในสาขา Allauch เนื่องจากดูน่าจะแวะง่ายที่สุด และมีสภาพแวดล้อมแบบที่เราชอบคืออยู่ในป่าสนและต้นไม้ประเภท evergreen ที่จะไม่เหลือแต่ต้นแห้งๆในฤดูใบไม้ร่วง (แบบในภาพ)

love nature bubble ครับ

การเดินทางมาที่สาขา Allauch(อโล) ก็ไม่ยาก จากตัวเมือง Marseille นั่งเมโทรสาย1ไปลงที่สถานี Métro la Rose ไปต่อรถเมล์สาย4 ปลายทาง La Valentine Centre Commercial ลงที่ Les Olives Village โดยผู้เข้าพักสามารถนัดหมายให้ทีมงานที่พักขับรถมารับที่นี่(3นาที) หรือเดินไปเอง(15นาที)ก็ได้ (ตามลิงค์)
https://goo.gl/maps/XnrSeg5gWyA2

เวลาที่เช็คอินได้คือ 4โมงเย็น พวกเรามีเวลาพอประมาณจึงเลือกเดินมา เผื่อมาเช็คอินได้ก่อน เพราะในฤดูใบไม้ร่วงพระอาทิตย์ตกค่อนข้างเร็ว ขาไปประกอบด้วยทางขึ้นเนินบางส่วน ถ้าใครเอากระเป๋ามาหนักๆแนะนำให้รอรถดีกว่าจ้า เมื่อเดินทางมาถึงก็กดรหัสที่ประตู ให้เดินไปเช็คอินได้ที่อาคารไม้ด้านใน พนักงานทุกคนที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีและพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ ให้ความรุ้สึกเหมือนรุ่นพี่ดูแลค่ายมากกว่า 55

เมื่อเช็คอินแล้วพนักงานที่นี่(จากนี้ขอเรียกว่าเดโบรา) ก็จะแนะนำเรื่องกฎเบื้องต้น แนะนำจุดที่รับอาหารเช้าและทางไปห้องน้ำ (ทั้งหมดอยู่ที่อาคารเดียวกัน แยกจาก 'ฟอง' ที่เป็นห้องพักแต่ละฟอง) และสอนวิธีการใช้ตะเกียงและกล้องดูดาว ก่อนที่จะพาเราไปที่ยูนิทที่พักของเรา (อยู่ในป่า)

ฟองแต่ละฟองจะอยู่แยกกันไปในป่า เพื่อให้แขกแต่ละคนได้รู้สึกว่ามีแค่กลุ่มของตนเองกับธรรมชาติ โดยที่แต่ละฟองก็จะมีขนาดและรูปแบบที่เราสามารถเลือกได้เมื่อทำการจอง ใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษก็สามารถเลือกฟองที่มีความทึบบางส่วนได้ แต่พวกเราอยากได้ฟองที่มันใสๆทั้งอัน **ข้อสำคัญคือ นอกจากฟรอนท์และห้องน้ำแล้ว ห้ามเดินไปทางอื่นที่ไม่ใช่ทางไปฟองของตัวเองเด็ดขาด

เมื่อไปถึงฟองแล้ว เดโบราก็แนะนำเกี่ยวกับการใช้งานต่างๆของฟอง ฟองจะมีลักษณะเป็นโดมใสอัดลม (นึกถึงลูกบอลชายหาดที่มีปั๊มลมทำงานตลอดเวลา) ฟองจะมีประตูเป็นซิปสองชั้น เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศ (เหมือนบ้านดาวอังคาร) เดโบราย้ำกับเราว่า ห้ามเปิดสองประตูพร้อมกัน ไม่งั้นฟองจะแฟบ โดยเฉพาะในขณะที่มีคนอยู่ข้างในจะเป็นอันตรายได้

ในฟองมีฮีตเตอร์สองตัว เมื่อตกดึกแล้วอุ่นกว่าข้างนอกมาก กลายเป็นคอมฟอร์ทโซนที่ไม่ค่อยอยากออกไปเลย 55 ในภาพเป็นมุมที่มองไปทางยอดของโดม ถ้าใครมาในหน้าหนาวก็อาจมีหิมะปกคลุมบนนี้ด้วย ดูในรูปคนอื่นสวยไปอีกแบบ

นอกจากนี้ ข้อห้ามที่เหลือได้แก่ ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามจุดเทียน และห้ามรับประทานอาหารในฟอง หากใครต้องการก็สามารถนั่งที่โต๊ะด้านนอกใกล้ๆฟองได้

วิวระหว่างทางไปฟอง

แสงแดดตอนเช้า

ห้องพักมีให้เลือกทั้งหมดสี่แบบครับ คือ Zen, Love Nature, Glamour, 1001 สิ่งที่แตกต่างกันในแต่ละห้องคือการตกแต่ง ราคาห้องพักlow season เริ่มที่109ยูโร และช่วงhigh seasonเริ่มที่139ยูโรครับ รวมอาหารเช้า เข้าพักได้2ท่าน เข้าพักเพิ่มคิด40ยูโรต่อท่าน บริการอื่นๆสามารถจองพร้อมที่พักได้ครับ เช่น จากุซซี่ (60ยูโร), แชมเปญ (45ยูโร) , อาหารเย็น (17-25ยูโร) และ บริการนวด (85-110ยูโร)ครับ

(เนิร์ด) โดยทั่วๆไปแล้ว ถ้าคนอยู่ในตึกนานๆก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต พวกเรามีความโหยหาธรรมชาติอยู่ในใจไม่มากก็น้อย เพียงแต่ว่าในธรรมชาติแบบดิบๆก็อาจไม่ได้มีความสบายทางกายภาพนัก เช่นอากาศหนาวไป แดดร้อนไป แมลงสัตว์กัดเจ็บ ฯลฯ คนเราจึงสร้างสวนขึ้นมา (ธรรมชาติที่ควบคุมได้) การได้มาพักที่นี่ทำให้เราได้เข้าใกล้กับอุดมคติแบบหนึ่งของที่พักอาศัย คือการได้ใกล้ชิดธรรมชาติในคอมฟอร์ทโซนเท่าที่จะเป็นไปได้ (อุ่นสบายอยู่ในฟอง)

ประสบการณ์ของการพักในฟองจะต่างไปมากหากมันไปตั้งอยู่ที่อื่น เช่นในประเทศไทยที่อากาศสบายๆ¹อยู่แล้ว เวลาไปเที่ยวธรรมชาติคนก็คงไม่ต้องการอะไรมากั้นระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมภายนอก (นอกจากร่มเงากันแดด) ผมจึงมีความเห็นว่า ฟองมันเหมาะกับที่นี่ที่สุดแล้วแหละ กลางป่าที่ทำให้รู้สึกว่ามีแค่เรากับธรรมชาติ ในเขตอากาศที่ว่ากันว่าสบาย²ที่สุดในโลก ถ้าใครสนใจก็ขอแนะนำให้มาที่นี่ครับ
————————————
¹ กับ ² คือสบายกันคนละแบบ

อันนี้ความพยายามในการถ่ายภาพจากในฟองในเวลากลางคืน เทียบกับที่ตาเห็นไม่ได้เลยครับ คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงและสว่างจนเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน (ยกเว้นดาว) ผมชอบป่าตอนกลางคืนมากเลยแหละ และคิดว่าคงหาประสบการณ์การนอนนอกบ้านแบบนี้ไม่ได้จากที่อื่น (นอนในเปลในป่ากาญจนบุรีก็จะเป็นอีกอย่างนึง)

ที่พักมีกล้องดูดาวให้สำหรับทุกห้องครับ นอนรอพระจันทร์ขึ้นบรรยากาศดีมาก พอตกดึกเอากล้องส่องๆบนฟ้าแล้วเจอแสงกลมๆอันนี้ครับ คิดว่าคงใช่พระจันทร์แหละ อันที่จริงผมประทับใจสถานที่นี้กับตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพให้ได้เห็นกันได้ (ใครเชี่ยวชาญการถ่ายภาพและวิดีโอในเวลากลางคืนก็แนะนำกันได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง) มันดีจริงๆนะ

วิวอีกภาพก่อนลากันไป สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็ถามกันได้ครับ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์
http://www.attrap-reves.com/en/ เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ พนักงานทุกคนที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีและพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอครับ ถ้าใครได้ไปก็ถ่ายรูปสวยๆมาฝากกันบ้างนะครับ
ติดตามการเดินทางได้ที่
https://www.facebook.com/decidedtolivefulltimeinahotel
แนะนำที่พัก โรงแรมฟองสบู่ที่ฝรั่งเศส
บันทึกที่พักระหว่างการเดินทาง ที่ Attrap' Rêves Hotel Allauch: เวลาที่ใช้ในการท่องเที่ยวมักจะประกอบไปด้วย เวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปอีกจุด เวลาที่ใช้กับที่หมาย และเวลาพักผ่อน โดยทั้งสามส่วนอาจทับซ้อนกันบ้างและล้วนเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆได้ทั้งสิ้น การเข้าพักที่ Attrap Rêves ก็ถือเป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับเราในด้านที่พักเช่นกัน ห้องพักที่นี่เป็นทรงกลมที่มีเพียงแผ่นพลาสติกใสกั้นเราจากสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ท่ามกลางธรรมชาติในฝรั่งเศสตอนใต้ เป็นหนึ่งในที่ที่เราถ่ายรูปกันสนุกมาก เชิญชมภาพกันเลยครับ
Attrap' Rêves เป็นที่พักที่นำเสนอห้องพักรูปแบบใหม่ที่ออกแบบโดย Pierre Stephane Dumas (อย่าถามว่าอ่านว่าอะไร) มีลักษณะเป็นโดมพลาสติกใสเพื่อให้มีสิ่งที่ขวางกั้นระหว่างผู้อาศัยและธรรมชาติภายนอกให้น้อยที่สุด ปัจจุบันมีสาขากระจายอยู่ใน Provence, ฝรั่งเศสตอนใต้ได้แก่ที่ Allauch, Forcalquier, La Bouilladisse, Montagnac Montpezat และ Puget Ville
เรื่องมันมีอยู่ว่า ขณะที่กำลังวางแผนเดินทางเซอร์เวย์มหาลัย เทียนจำได้ว่ามีสถานที่แบบนี้อยู่ในฝรั่งเศส แล้วก็หาข้อมูลมาได้ เลยตัดสินใจวางแผนแวะที่นี่ในเส้นทาง พวกเราเลยเลือกจะพักในสาขา Allauch เนื่องจากดูน่าจะแวะง่ายที่สุด และมีสภาพแวดล้อมแบบที่เราชอบคืออยู่ในป่าสนและต้นไม้ประเภท evergreen ที่จะไม่เหลือแต่ต้นแห้งๆในฤดูใบไม้ร่วง (แบบในภาพ)
love nature bubble ครับ
การเดินทางมาที่สาขา Allauch(อโล) ก็ไม่ยาก จากตัวเมือง Marseille นั่งเมโทรสาย1ไปลงที่สถานี Métro la Rose ไปต่อรถเมล์สาย4 ปลายทาง La Valentine Centre Commercial ลงที่ Les Olives Village โดยผู้เข้าพักสามารถนัดหมายให้ทีมงานที่พักขับรถมารับที่นี่(3นาที) หรือเดินไปเอง(15นาที)ก็ได้ (ตามลิงค์) https://goo.gl/maps/XnrSeg5gWyA2
เวลาที่เช็คอินได้คือ 4โมงเย็น พวกเรามีเวลาพอประมาณจึงเลือกเดินมา เผื่อมาเช็คอินได้ก่อน เพราะในฤดูใบไม้ร่วงพระอาทิตย์ตกค่อนข้างเร็ว ขาไปประกอบด้วยทางขึ้นเนินบางส่วน ถ้าใครเอากระเป๋ามาหนักๆแนะนำให้รอรถดีกว่าจ้า เมื่อเดินทางมาถึงก็กดรหัสที่ประตู ให้เดินไปเช็คอินได้ที่อาคารไม้ด้านใน พนักงานทุกคนที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีและพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ ให้ความรุ้สึกเหมือนรุ่นพี่ดูแลค่ายมากกว่า 55
เมื่อเช็คอินแล้วพนักงานที่นี่(จากนี้ขอเรียกว่าเดโบรา) ก็จะแนะนำเรื่องกฎเบื้องต้น แนะนำจุดที่รับอาหารเช้าและทางไปห้องน้ำ (ทั้งหมดอยู่ที่อาคารเดียวกัน แยกจาก 'ฟอง' ที่เป็นห้องพักแต่ละฟอง) และสอนวิธีการใช้ตะเกียงและกล้องดูดาว ก่อนที่จะพาเราไปที่ยูนิทที่พักของเรา (อยู่ในป่า)
ฟองแต่ละฟองจะอยู่แยกกันไปในป่า เพื่อให้แขกแต่ละคนได้รู้สึกว่ามีแค่กลุ่มของตนเองกับธรรมชาติ โดยที่แต่ละฟองก็จะมีขนาดและรูปแบบที่เราสามารถเลือกได้เมื่อทำการจอง ใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นพิเศษก็สามารถเลือกฟองที่มีความทึบบางส่วนได้ แต่พวกเราอยากได้ฟองที่มันใสๆทั้งอัน **ข้อสำคัญคือ นอกจากฟรอนท์และห้องน้ำแล้ว ห้ามเดินไปทางอื่นที่ไม่ใช่ทางไปฟองของตัวเองเด็ดขาด
เมื่อไปถึงฟองแล้ว เดโบราก็แนะนำเกี่ยวกับการใช้งานต่างๆของฟอง ฟองจะมีลักษณะเป็นโดมใสอัดลม (นึกถึงลูกบอลชายหาดที่มีปั๊มลมทำงานตลอดเวลา) ฟองจะมีประตูเป็นซิปสองชั้น เพื่อป้องกันการรั่วไหลของอากาศ (เหมือนบ้านดาวอังคาร) เดโบราย้ำกับเราว่า ห้ามเปิดสองประตูพร้อมกัน ไม่งั้นฟองจะแฟบ โดยเฉพาะในขณะที่มีคนอยู่ข้างในจะเป็นอันตรายได้
ในฟองมีฮีตเตอร์สองตัว เมื่อตกดึกแล้วอุ่นกว่าข้างนอกมาก กลายเป็นคอมฟอร์ทโซนที่ไม่ค่อยอยากออกไปเลย 55 ในภาพเป็นมุมที่มองไปทางยอดของโดม ถ้าใครมาในหน้าหนาวก็อาจมีหิมะปกคลุมบนนี้ด้วย ดูในรูปคนอื่นสวยไปอีกแบบ
นอกจากนี้ ข้อห้ามที่เหลือได้แก่ ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามจุดเทียน และห้ามรับประทานอาหารในฟอง หากใครต้องการก็สามารถนั่งที่โต๊ะด้านนอกใกล้ๆฟองได้
วิวระหว่างทางไปฟอง
แสงแดดตอนเช้า
ห้องพักมีให้เลือกทั้งหมดสี่แบบครับ คือ Zen, Love Nature, Glamour, 1001 สิ่งที่แตกต่างกันในแต่ละห้องคือการตกแต่ง ราคาห้องพักlow season เริ่มที่109ยูโร และช่วงhigh seasonเริ่มที่139ยูโรครับ รวมอาหารเช้า เข้าพักได้2ท่าน เข้าพักเพิ่มคิด40ยูโรต่อท่าน บริการอื่นๆสามารถจองพร้อมที่พักได้ครับ เช่น จากุซซี่ (60ยูโร), แชมเปญ (45ยูโร) , อาหารเย็น (17-25ยูโร) และ บริการนวด (85-110ยูโร)ครับ
(เนิร์ด) โดยทั่วๆไปแล้ว ถ้าคนอยู่ในตึกนานๆก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต พวกเรามีความโหยหาธรรมชาติอยู่ในใจไม่มากก็น้อย เพียงแต่ว่าในธรรมชาติแบบดิบๆก็อาจไม่ได้มีความสบายทางกายภาพนัก เช่นอากาศหนาวไป แดดร้อนไป แมลงสัตว์กัดเจ็บ ฯลฯ คนเราจึงสร้างสวนขึ้นมา (ธรรมชาติที่ควบคุมได้) การได้มาพักที่นี่ทำให้เราได้เข้าใกล้กับอุดมคติแบบหนึ่งของที่พักอาศัย คือการได้ใกล้ชิดธรรมชาติในคอมฟอร์ทโซนเท่าที่จะเป็นไปได้ (อุ่นสบายอยู่ในฟอง)
ประสบการณ์ของการพักในฟองจะต่างไปมากหากมันไปตั้งอยู่ที่อื่น เช่นในประเทศไทยที่อากาศสบายๆ¹อยู่แล้ว เวลาไปเที่ยวธรรมชาติคนก็คงไม่ต้องการอะไรมากั้นระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมภายนอก (นอกจากร่มเงากันแดด) ผมจึงมีความเห็นว่า ฟองมันเหมาะกับที่นี่ที่สุดแล้วแหละ กลางป่าที่ทำให้รู้สึกว่ามีแค่เรากับธรรมชาติ ในเขตอากาศที่ว่ากันว่าสบาย²ที่สุดในโลก ถ้าใครสนใจก็ขอแนะนำให้มาที่นี่ครับ
————————————
¹ กับ ² คือสบายกันคนละแบบ
อันนี้ความพยายามในการถ่ายภาพจากในฟองในเวลากลางคืน เทียบกับที่ตาเห็นไม่ได้เลยครับ คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงและสว่างจนเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน (ยกเว้นดาว) ผมชอบป่าตอนกลางคืนมากเลยแหละ และคิดว่าคงหาประสบการณ์การนอนนอกบ้านแบบนี้ไม่ได้จากที่อื่น (นอนในเปลในป่ากาญจนบุรีก็จะเป็นอีกอย่างนึง)
ที่พักมีกล้องดูดาวให้สำหรับทุกห้องครับ นอนรอพระจันทร์ขึ้นบรรยากาศดีมาก พอตกดึกเอากล้องส่องๆบนฟ้าแล้วเจอแสงกลมๆอันนี้ครับ คิดว่าคงใช่พระจันทร์แหละ อันที่จริงผมประทับใจสถานที่นี้กับตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ว่าไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพให้ได้เห็นกันได้ (ใครเชี่ยวชาญการถ่ายภาพและวิดีโอในเวลากลางคืนก็แนะนำกันได้ครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง) มันดีจริงๆนะ
วิวอีกภาพก่อนลากันไป สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็ถามกันได้ครับ หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.attrap-reves.com/en/ เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ พนักงานทุกคนที่นี่สื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดีและพร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอครับ ถ้าใครได้ไปก็ถ่ายรูปสวยๆมาฝากกันบ้างนะครับ
ติดตามการเดินทางได้ที่ https://www.facebook.com/decidedtolivefulltimeinahotel