ระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนี (ตอนที่ 1)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/aDiaryofaMomofThreeGirls/
เนื่องจากเพื่อนๆ หลายคนให้ความสนใจกับหัวข้อดังกล่าว เราก็จะเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวที่มีร่วมกับลูกสาวนะคะ ซึ่งตอนนี้อันนาก็เข้าโรงเรียนที่เรียกว่า Grundschule แล้ว ถ้าเปรียบก็เหมือน ป.1 บ้านเราค่ะ ส่วนเลาร่ายังอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล ซึ่งเป็นที่เดียวกับเนิรสเซอรี่ หรือ Kinderkrippe ของโซเฟีย สำหรับชั้นเรียนในระดับอื่นๆ ก็จะแบ่งปันเท่าที่ทราบจากเพื่อนๆ ชาวเยอรมันที่มีครอบครัวและลูกๆ ที่โตแล้วให้ฟังนะคะ

งั้นเรามาเริ่มกันเลย
ก่อนอื่น เราอยากเริ่มต้นให้เพื่อนๆ เข้าใจภาพโครงสร้างพื้นฐานของระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนีอย่างคร่าวๆ ก่อน แล้วหลังจากนั้น เราค่อยๆ เดินทางไปด้วยกันต่อในแต่ละหัวข้อนะคะ
Kinderkrippe หรือเนิรสเซอรี่ ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในระบบการศึกษานะคะ แต่ในบทความนี้ ตอนที่1 เราจะเล่าเกี่ยวกับเนิรสเซอรี่ของที่นี่ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันก่อนในฐานะที่เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะ (แหม ... ก็ลูกตั้งสามคนนี่เนอะ) รวมถึงการส่งลูกไปเนิรสเซอรี่ยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของเราและสามีในการสร้าง หล่อมหลอม และพัฒนาสาวๆ ของพวกเราอีกด้วย จะเป็นอย่างไรโปรดติดตามอ่านต่อไปเลยค่ะ

ทีนี้เมื่อกล่าวถึง ระบบการศึกษาในปรพเทศเยอรมนีนั้น หมายถึงระดับต่างๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. การศึกษาในวัยก่อนเข้าโรงเรียน โรงเรียนอนุบาลนั่นเองค่ะ
2. การศึกษาระดับประถม
3. การศึกษาระดับมัธยม ซึ่งประกอบไปด้วย
3.1 เฮาพ์ชูเล (Hauptschule)
3.2 เรอาลชูเล (Realschule)
3.3 กึมนาซิอุม (Gymnasium )
3.4 เกซัมท์ชูเล (Gesamtschule)
4. การเรียนสายอาชีพ
5. การเรียนระดับอุดมศึกษา เช่น ในมหาวิทยาลัย,
Fachhochschule หรือวิทยาลัยที่เน้นภาคปฏิบัติและเทคนิคเชิงอาชีพที่เจาะจงเฉพาะอย่าง เป็นต้น

- การเข้าเนิรสเซอรี่ในประเทศเยอรมนี -
อย่างที่กล่าวในตอนต้นที่ว่า เนิรสเซอรี่นั้นไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาของประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตาม เนิรสเซอรี่ มีความสำคัญต่อสังคมปัจจุบันในประเทศเยอรมนีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะมนุษย์แม่ชาวเยอรมันนั้นมีแนวโน้มออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ดังนั้น ในสมัยนี้จึงมีเนิรสเซอรี่ผุดขึ้นอย่างมากมายทั้งของรัฐบาล เอกชน และที่เรียกว่า Tagesmutter หรือ Babysister ที่คอยดูแลเด็กๆ ตามเวลาที่ตกลงกับผู้ปกครอง
สำหรับการสมัครเข้าเนิรสเซอรี่นั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องไปติดต่อที่ว่าราชการประจำเมืองที่ตนอาศัยอยู่ โดยต้องเขียนข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อเนิรสเซอรี่ที่ต้องการส่งลูกไปสามรายชื่อ ตามลำดับความต้องหารมากน้อย รวมถึงการสำแดงเอกสารยืนยันว่าพ่อและแม่ต้องทำงานอย่างเป็นหลักเป็นแหล่ง เพื่อแสดงความจำเป็นอย่างแท้จริงว่าเพราะอะไรจึงส่งลูกเข้าเนิรสเซอรี่ หลังจากนั้น ทางรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองนั้นๆ ก็จะทำการสำรวจและติดต่อกับเนิรสเซอรี่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเมืองว่าในที่นั้นๆ ที่ถูกแจ้งความจำนงไว้นั้นมีที่ว่างเพียงพอให้กับครอบครัวที่แจ้งความจำนงไว้หรือไม่

ตอนที่เราลงทะเบียนให้ลูกๆ แต่ละคนนั้น เราใส่ชื่อโรงเรียนอนุบาลที่มีเนิรสเซอรี่ตามที่เราต้องการเพียงที่เดียวเท่านั้น เนื่องจากโรงเรียนอนุบาลที่เราต้องการนี้อยู่ใกล้บ้านเพียง 3 นาทีเดินเท้าเท่านั้น และแน่นอนว่า เป็นที่ที่มีชื่อเสียงที่ดีในการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเราที่เกี่ยวกับระบบเนิรสเซอรี่ที่นี่ก็คือ คุณครูเนิรสเซอรี่ทุกคนที่นี่ต้องจบหลักสูตรการเป็นครูเนิรสเซอรี่ นั่นหมายความว่า ไม่ใข่ใครก็ได้ที่อยู่ๆ จะมาเป็นครูอนุบาล ทุกคนต้องผ่านการเรียนการสอนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่อย่างน้อยใช้เวลาประมาณสองปีในการฝึกหัดงาน หรือเรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Ausbildung นั่นเอง เท่าที่เราพบมา คือ มีเด็กสาวๆจำนวนไม่น้อยของที่นี่อยากประกอบอาชีพเป็นคุณครูอนุบาลนะ น่าสนใจไหมล่ะ

ทีนี้ตามที่กล่าวมาในข้างต้นว่า การส่งลูกๆ ของเราเข้าเนิรสเซอรี่ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ นั้น เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของการเสริมสร้างและพัฒนาอันนา เลาร่า และโซเฟีย ทำไมน่ะหรือ?
นั่นก็เพราะว่า หนึ่ง ในสมัยเริ่มแรกตั้งแต่อันนา จนถึงโซเฟียในช่วงอายุหนึ่งขวบกว่าๆ เรายังคงต้องสาละวนอยู่กับการเขียนงานวิจัยในระดับปริญญาเอกอยู่ ดังนั้น การส่งเด็กๆ ไปเนิรสเซอรี่ในช่วงเช้าจนถึงบ่ายสองโมง จึงเป็นการให้เวลาแก่เราในการเขียนงานวิจัย
ส่วนเหตุผลประการที่สอง คือ เราและสามี มองเห็นว่า การส่งลูกๆ ไปเนิรสเซอรี่ที่ดีนั้น จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาพวกเขาเกี่ยวกับทักษะด้านสังคม และภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สาวๆ ทั้งสามเป็นลูกครึ่งที่ถูกเลี้ยงดูแบบสองภาษาเสียด้วย การไปเนิรสเซอรี่จึงข้วยให้พวกเขาถูกฝึกวินัย การกิน การนอน การทำกิจกรรม เช่น การเดินป่า (แบบใกล้) การทำงานฝีมือ แบบที่เรียกว่าเก็บเป็นคอลเลจชั่นได้ เพราะมีแทบทุกวัน รวมถึงการรู้จักเพื่อนๆ และคุณครู สำหรับเรื่องภาษานั้น เรียกได้ว่า ลูกๆ ของเราไม่เคยมีปัญหาเลย โดยเฉพาะเรื่องการออกเสียงภาษาเยอรมัน ทั้งนี้ สาวๆ ยังพูดแบบเต็มประโยคอย่างถูกต้องอีกด้วย (หมายถึง ไม่ได้พูดแบบเด็กๆ อ้อแอ้ หรือ เฉพาะบางคำเท่านั้น)

นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญคือ อันนา เลาร่า และโซเฟียชอบที่จะไปเนิรสเซอรี่กันมาก พอกลับมาบ้านก็พากันร้องเพลงต่างๆ ตามที่เรียนรู้มาจากที่นั่นกันอย่างครื้นเครง รวมถึงเวลารับประทานอาหารพวกเธอก็จะพากันสลับกันอธิษฐานก่อนทานอาหาร เห็นแบบนี้เราและสามีก็สุขใจที่เห็นก้าวแรกของการวางรากฐานการศึกษาให้แก่เด็กๆ นั้นประสบความสำเร็จด้วยดี
ปล. ค่าส่งเด็กเข้าเนิรสเซอรี่นั้นอยู่ที่ประมาณ 50 - 500 ยูโรต่อเด็กหนึ่งคนนะคะ ซึ่งก็จะแตกต่างกันในแต่ละเมืองหรือภูมิภาคค่ะ แต่ราคาต่อเด็กหนึ่งคนจะถูกลดหย่อนลงต่างๆ กันไป หากครอบครัวนั้นๆ มีลูกตั้งแต่สองคนขึ้นไปค่ะ
ครั้งหน้า ในตอนที่2 ของเรื่องระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนีนั้น เราจะเล่าถึง "โรงเรียนอนุบาลในประเทศเยอรมนี และประสบการณ์ของเรา" ให้ฟังนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกัน สวัสดีค่ะ
มนุษย์แม่ ดร. ลูกสามอยากเล่า: ระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนี (ตอนที่ 1)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เนื่องจากเพื่อนๆ หลายคนให้ความสนใจกับหัวข้อดังกล่าว เราก็จะเล่าจากประสบการณ์ส่วนตัวที่มีร่วมกับลูกสาวนะคะ ซึ่งตอนนี้อันนาก็เข้าโรงเรียนที่เรียกว่า Grundschule แล้ว ถ้าเปรียบก็เหมือน ป.1 บ้านเราค่ะ ส่วนเลาร่ายังอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล ซึ่งเป็นที่เดียวกับเนิรสเซอรี่ หรือ Kinderkrippe ของโซเฟีย สำหรับชั้นเรียนในระดับอื่นๆ ก็จะแบ่งปันเท่าที่ทราบจากเพื่อนๆ ชาวเยอรมันที่มีครอบครัวและลูกๆ ที่โตแล้วให้ฟังนะคะ
งั้นเรามาเริ่มกันเลย
ก่อนอื่น เราอยากเริ่มต้นให้เพื่อนๆ เข้าใจภาพโครงสร้างพื้นฐานของระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนีอย่างคร่าวๆ ก่อน แล้วหลังจากนั้น เราค่อยๆ เดินทางไปด้วยกันต่อในแต่ละหัวข้อนะคะ
Kinderkrippe หรือเนิรสเซอรี่ ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในระบบการศึกษานะคะ แต่ในบทความนี้ ตอนที่1 เราจะเล่าเกี่ยวกับเนิรสเซอรี่ของที่นี่ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันก่อนในฐานะที่เรามีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะ (แหม ... ก็ลูกตั้งสามคนนี่เนอะ) รวมถึงการส่งลูกไปเนิรสเซอรี่ยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของเราและสามีในการสร้าง หล่อมหลอม และพัฒนาสาวๆ ของพวกเราอีกด้วย จะเป็นอย่างไรโปรดติดตามอ่านต่อไปเลยค่ะ
ทีนี้เมื่อกล่าวถึง ระบบการศึกษาในปรพเทศเยอรมนีนั้น หมายถึงระดับต่างๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. การศึกษาในวัยก่อนเข้าโรงเรียน โรงเรียนอนุบาลนั่นเองค่ะ
2. การศึกษาระดับประถม
3. การศึกษาระดับมัธยม ซึ่งประกอบไปด้วย
3.1 เฮาพ์ชูเล (Hauptschule)
3.2 เรอาลชูเล (Realschule)
3.3 กึมนาซิอุม (Gymnasium )
3.4 เกซัมท์ชูเล (Gesamtschule)
4. การเรียนสายอาชีพ
5. การเรียนระดับอุดมศึกษา เช่น ในมหาวิทยาลัย,
Fachhochschule หรือวิทยาลัยที่เน้นภาคปฏิบัติและเทคนิคเชิงอาชีพที่เจาะจงเฉพาะอย่าง เป็นต้น
- การเข้าเนิรสเซอรี่ในประเทศเยอรมนี -
อย่างที่กล่าวในตอนต้นที่ว่า เนิรสเซอรี่นั้นไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาของประเทศเยอรมนี อย่างไรก็ตาม เนิรสเซอรี่ มีความสำคัญต่อสังคมปัจจุบันในประเทศเยอรมนีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะมนุษย์แม่ชาวเยอรมันนั้นมีแนวโน้มออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ดังนั้น ในสมัยนี้จึงมีเนิรสเซอรี่ผุดขึ้นอย่างมากมายทั้งของรัฐบาล เอกชน และที่เรียกว่า Tagesmutter หรือ Babysister ที่คอยดูแลเด็กๆ ตามเวลาที่ตกลงกับผู้ปกครอง
สำหรับการสมัครเข้าเนิรสเซอรี่นั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องไปติดต่อที่ว่าราชการประจำเมืองที่ตนอาศัยอยู่ โดยต้องเขียนข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อเนิรสเซอรี่ที่ต้องการส่งลูกไปสามรายชื่อ ตามลำดับความต้องหารมากน้อย รวมถึงการสำแดงเอกสารยืนยันว่าพ่อและแม่ต้องทำงานอย่างเป็นหลักเป็นแหล่ง เพื่อแสดงความจำเป็นอย่างแท้จริงว่าเพราะอะไรจึงส่งลูกเข้าเนิรสเซอรี่ หลังจากนั้น ทางรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองนั้นๆ ก็จะทำการสำรวจและติดต่อกับเนิรสเซอรี่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเมืองว่าในที่นั้นๆ ที่ถูกแจ้งความจำนงไว้นั้นมีที่ว่างเพียงพอให้กับครอบครัวที่แจ้งความจำนงไว้หรือไม่
ตอนที่เราลงทะเบียนให้ลูกๆ แต่ละคนนั้น เราใส่ชื่อโรงเรียนอนุบาลที่มีเนิรสเซอรี่ตามที่เราต้องการเพียงที่เดียวเท่านั้น เนื่องจากโรงเรียนอนุบาลที่เราต้องการนี้อยู่ใกล้บ้านเพียง 3 นาทีเดินเท้าเท่านั้น และแน่นอนว่า เป็นที่ที่มีชื่อเสียงที่ดีในการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับเราที่เกี่ยวกับระบบเนิรสเซอรี่ที่นี่ก็คือ คุณครูเนิรสเซอรี่ทุกคนที่นี่ต้องจบหลักสูตรการเป็นครูเนิรสเซอรี่ นั่นหมายความว่า ไม่ใข่ใครก็ได้ที่อยู่ๆ จะมาเป็นครูอนุบาล ทุกคนต้องผ่านการเรียนการสอนภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติที่อย่างน้อยใช้เวลาประมาณสองปีในการฝึกหัดงาน หรือเรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Ausbildung นั่นเอง เท่าที่เราพบมา คือ มีเด็กสาวๆจำนวนไม่น้อยของที่นี่อยากประกอบอาชีพเป็นคุณครูอนุบาลนะ น่าสนใจไหมล่ะ
ทีนี้ตามที่กล่าวมาในข้างต้นว่า การส่งลูกๆ ของเราเข้าเนิรสเซอรี่ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ นั้น เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของการเสริมสร้างและพัฒนาอันนา เลาร่า และโซเฟีย ทำไมน่ะหรือ?
นั่นก็เพราะว่า หนึ่ง ในสมัยเริ่มแรกตั้งแต่อันนา จนถึงโซเฟียในช่วงอายุหนึ่งขวบกว่าๆ เรายังคงต้องสาละวนอยู่กับการเขียนงานวิจัยในระดับปริญญาเอกอยู่ ดังนั้น การส่งเด็กๆ ไปเนิรสเซอรี่ในช่วงเช้าจนถึงบ่ายสองโมง จึงเป็นการให้เวลาแก่เราในการเขียนงานวิจัย
ส่วนเหตุผลประการที่สอง คือ เราและสามี มองเห็นว่า การส่งลูกๆ ไปเนิรสเซอรี่ที่ดีนั้น จะช่วยเสริมสร้างและพัฒนาพวกเขาเกี่ยวกับทักษะด้านสังคม และภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สาวๆ ทั้งสามเป็นลูกครึ่งที่ถูกเลี้ยงดูแบบสองภาษาเสียด้วย การไปเนิรสเซอรี่จึงข้วยให้พวกเขาถูกฝึกวินัย การกิน การนอน การทำกิจกรรม เช่น การเดินป่า (แบบใกล้) การทำงานฝีมือ แบบที่เรียกว่าเก็บเป็นคอลเลจชั่นได้ เพราะมีแทบทุกวัน รวมถึงการรู้จักเพื่อนๆ และคุณครู สำหรับเรื่องภาษานั้น เรียกได้ว่า ลูกๆ ของเราไม่เคยมีปัญหาเลย โดยเฉพาะเรื่องการออกเสียงภาษาเยอรมัน ทั้งนี้ สาวๆ ยังพูดแบบเต็มประโยคอย่างถูกต้องอีกด้วย (หมายถึง ไม่ได้พูดแบบเด็กๆ อ้อแอ้ หรือ เฉพาะบางคำเท่านั้น)
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญคือ อันนา เลาร่า และโซเฟียชอบที่จะไปเนิรสเซอรี่กันมาก พอกลับมาบ้านก็พากันร้องเพลงต่างๆ ตามที่เรียนรู้มาจากที่นั่นกันอย่างครื้นเครง รวมถึงเวลารับประทานอาหารพวกเธอก็จะพากันสลับกันอธิษฐานก่อนทานอาหาร เห็นแบบนี้เราและสามีก็สุขใจที่เห็นก้าวแรกของการวางรากฐานการศึกษาให้แก่เด็กๆ นั้นประสบความสำเร็จด้วยดี
ปล. ค่าส่งเด็กเข้าเนิรสเซอรี่นั้นอยู่ที่ประมาณ 50 - 500 ยูโรต่อเด็กหนึ่งคนนะคะ ซึ่งก็จะแตกต่างกันในแต่ละเมืองหรือภูมิภาคค่ะ แต่ราคาต่อเด็กหนึ่งคนจะถูกลดหย่อนลงต่างๆ กันไป หากครอบครัวนั้นๆ มีลูกตั้งแต่สองคนขึ้นไปค่ะ
ครั้งหน้า ในตอนที่2 ของเรื่องระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนีนั้น เราจะเล่าถึง "โรงเรียนอนุบาลในประเทศเยอรมนี และประสบการณ์ของเรา" ให้ฟังนะคะ ขอบคุณที่ติดตามกัน สวัสดีค่ะ