ตายยังไงให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และไม่เป็นภาระคนข้างหลังมากที่สุด

เราคิดว่าเรามีปัญหาในเรื่องทัศนะคติและการใช้ชีวิตในสังคมค่ะ

ปัจจุบันมีงานที่มั่นคง เพิ่งแต่งงานได้ไม่ถึงปี.. ชีวิตการทำงาน ครอบครัวแฮปปี้ดีค่ะ
กับที่ทำงานไม่ได้มีปัญหา ส่วนกับแฟนก็รักกันดีนะคะ.. แต่บางครั้งรู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทาง อยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองอยู่เรื่อยเลย

ภายนอกเราเป็นคนไม่คิดอะไร ไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบข้างนัก  แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย.. เราไม่รู้ว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไร ตัวตนของเราเป็นแบบไหน?
เราไม่ชอบคนเห็นแก่ตัว ไม่ชอบคนที่รักตัวเองจนเอาเปรียบและไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น
แต่เราดันอิจฉาคนพวกนั้น  อิจฉาที่เค้ามีความสุขกับสิ่งที่ทำชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น
ไม่ใช่ว่าเราเกลียดสิ่งที่ตัวเองเป็นหรือไม่พอใจในสิ่งที่มีหรอกนะคะ (อย่าเพิ่งงงนะ.. ถึงเราจะงงกับตัวเองอยู่นิดๆ ก็เหอะ 55)

เราอยากทำแต่สิ่งดีๆ อยากช่วยคนที่เค้าแย่กว่าเรา .. อยากใช้ความรู้ ความสามารถที่มีให้เป็นประโยชน์
เรารู้ว่าถ้าให้อยู่ต่อไปแบบนี้จริงๆ ก็อยู่ได้ แต่ลึกๆ ก็คิดว่าคงจมอยู่กับความคิดพวกนี้จนแก่ตาย  เลยไม่รู้ว่าจะทนกับความฟุ้งซ่านของตัวเองไปทำไม

ติดนิดเดียวค่ะ.. เราเป็นลูกคนเดียว และเราก็รู้ว่าพ่อแม่รักเรามาก  เราเคยกรีดข้อมือฆ่าตัวตายเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
แต่นั่นมันตอนที่ยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไม่คิดหน้าคิดหลัง  ลืมคิดถึงคนที่รักเราว่าเค้าจะรู้สึกยังไง จะอยู่ยังไง? ตอนนี้จะทำอะไรทีเลยคิดมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ

จขกท.บริจาคร่างกายแล้วนะคะ อยากได้แนวทางที่สร้างประโยชน์ได้มากกว่านี้ค่ะ  (เป็นผญ.จะสมัครไปเป็นทหารลงสามจังหวัดชายแดนใต้ก็กลัวเค้าไม่เอา 55)

ไม่รู้ว่าแท็กถูกห้องหรือเปล่าเพราะเป็นกระทู้แรก  ยังไงก็ขอขอบคุณสำหรับคำชี้แนะนะคะ  หรือถ้าคิดว่ากระทู้นี้ไร้สาระจะข้ามไปเลยหรือคอมเมนท์ด่ากันก็ไม่เป็นไรค่ะ
ยินดีที่ได้แชร์ความรู้สึก ^^
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้าจขกท.ยังหลงทิฏฐิอันฟุ้งซ่านและทุกข์เครียดเดิมๆ ก็จะยังต้องทุกข์ทนเดิมๆหรืออาจต้องหาทางการุณยฆาตตัวเอง(ฆ่าตัวตาย)เพื่อให้รอดพ้นทุกข์หนักดังกล่าว ซึ่งการเกิดทุกข์ทางร่างกายหรือจิตใจใดๆนั้นล้วนการรับผลบาปผลกรรมที่น่าสงสารเห็นใจ ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิติเตียนตราบที่เราไม่ได้มุ่งสร้างบาปสร้างทุกข์ต่อผู้อื่นหรือตัวเอง

ส่วนการมีความคิดที่จะตายอย่างไรให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน นั้นคือสัมมาสังกัปปะหรือการมีความนึกคิดที่น่าสรรเสริญอย่างหนึ่ง ซึ่งความนึกคิดที่ดีใดๆ(ที่ไม่สะเปะสะปะฟุ้งซ่านจนเกินไป)ก็ล้วนมาจากสัมมาทิฏฐิหรือจิตใจที่ประเสริฐในตัวเรานั่นเอง

กรณีปัญหาที่เด่นชัดของจขกท.ก็คือ มีความทุกข์ในจิตใจซึ่งเป็นมาอย่างหนักและยาวนานจนอาจถึงคราวที่ต้องการุณยฆาตตัวเองเพื่อให้รอดพ้นทุกข์หนักดังกล่าว แต่ถึงอย่างไรแล้วมรรคาการแก้ปัญหานั้นพระพุทธเจ้าท่านชี้สอนว่ามีอยู่ ซึ่งคือการเปลี่ยนทิฏฐิจิตใจเป็นคนใหม่ที่ผ่องใส(เกิดสัมมาทิฏฐิอย่างยิ่ง) ซึ่งย่อมพ้นทุกข์พ้นบาปในใจได้อย่างยิ่ง แล้วจะแก้ปัญหาในชีวิตได้เสมอ  อย่างไรก็ตามถ้าทิฏฐิจิตใจเรายังคงยึดจนเกิดภาวะทุกข์หนักแบบเดิมๆจนไม่อาจเปลี่ยนสักที ก็อาจการุณยฆาตตัวเองลงซึ่งถือเป็นมรรคาเพื่อให้รอดพ้นทุกข์อันยิ่งอย่างหนึ่ง

ส่วนปัญหาใหญ่ยิ่งที่หลายคนมักเหลิงหลงกัน แต่แท้จริงแล้วอาจเป็นปรัชญาบริสุทธิ์ที่นำพาสู่ผลความทุกข์ร้ายที่สูงล้ำน่าสงสารอย่างยิ่งนั้นคือบาปหรือพฤติกรรมจากกิเลสสมุทัย แต่นับว่าน่ายินดีที่คุณไม่ได้เหลิงหลงพฤติกรรมบาปๆแย่ๆนะครับ ขอให้กำลังใจให้รักษาคุณสมบัติของบัณฑิตแม้ตกทุกข์ก็ไม่เลิกปฏิบัติธรรมเช่นนี้เอาไว้(แม้ในอนาคตใกล้ไกลคุณอาจจะกลายเป็นคนใหม่มีชีวิตใหม่แล้ว หรือได้การุณยฆาตตัวเองลงแล้ว หรือกลายเป็นคนทุกข์ใจรุนแรงจนปฏิกริยา self defense ทางจิตใจช่วยให้ไม่ต้องยึดถือใดๆให้ทุกข์หนักอีก ซึ่งก็ย่อมถูกชาวบ้านตราหน้าว่าเป็นคนบ้าเพราะไม่ได้ยึดเหนี่ยวยึดถือเหมือนชาวบ้านเขา ฯลฯ ก็ตาม)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่