หลังจากที่เกิดเรื่อง ต่อจากกระทู้
https://pantip.com/topic/35970051
ผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากโฮสเทลที่พัก ผมได้สอบถามถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดว่าเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่ความผิดของทางโฮสเทล เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผมจะรับผิดชอบเอง ซึ่งสตาฟโฮสเทล ก็บอกผมว่า เดี๋ยวทางโฮสเทลจะช่วยเหลือเอง เพราะว่าผมไม่มีเงินติดตัวเหลือเลย ซึ่งผมก็ขอบคุณโฮสเทลมากๆ ณ ตอนนั้น
พอออกจากรพ.ได้ สตาฟโฮสเทลบอกผมว่า กลับไปโฮสเทลอาบน้ำ แล้วจะพาผมไปโรงพักเพื่อแจ้งความ
พอถึงที่โฮสเทล ทางสตาฟก็ได้เก็บของผมออกจากห้องพักมาให้แล้ว (ตอนแรกผมนอนเป็นห้องเดี่ยว) และให้ผมย้ายไปนอน dorm แทน ซึ่งผมก็ย้ำกับทางโฮสเทลว่าผมไม่มีเงินนะ ทางสตาฟก็บอกว่าไม่เป็นไร เราให้คุณนอนฟรีนะ หลังจากย้ายข้าวของเสร็จ ผมก็มาขอยืมโน๊ตบุ๊ค เพื่อที่จะติดต่อกลับทางบ้าน และเพื่อนที่สิงคโปร์ ทุกคนตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามช่วยเหลือทุกอย่าง
นอกจากการติดต่อคนทางบ้านแล้ว ผมยังล็อกอินใช้ Find my iPhone ด้วย แต่เครื่องผมโดนปิดไปแล้ว เป็นสถานะ Offline ที่ทำได้ก็แค่กด Lost mode และรอเครื่องเปิด หลังจากนั่งใช้โน๊ตบุ๊คสักพัก สตาฟก็มาบอกให้ผมไปอาบน้ำ และจะได้ไปสถานีตำรวจ แต่ผมไม่ได้อาบ เพราะอยากให้ตำรวจเห็นสภาพผมหลังจากที่โดนทำร้ายร่างกายจริงๆ ทางสตาฟก็เรียก UBER ให้ และพาไปสถานีตำรวจ เพื่อแจ้งความ
ผมก็ให้สตาฟช่วยติดต่อ และสื่อสารกับทางเจ้าหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย จนได้เป็นใบ Police Report มา ระหว่างที่กำลังให้ปากคำต่างๆ เหมือนจะมีเจ้าหน้าที่ท่านอื่นติดต่อเข้ามา และบอกว่าทางตำรวจจับคนร้ายได้ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ไม่แน่อาจจะเป็นคนร้ายที่ปล้นผม เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้ผม ไปชี้ตัวคนร้ายในตอน 19.00 น. ที่สถานีตำรวจใหญ่ของอิโปห์
หลังจากกลับจากสถานีตำรวจ ผมก็อาบน้ำแต่งตัว รอเวลา 19.00 น.เพื่อไปชี้ตัวคนร้าย ภาวนาในใจ ว่าขอให้เป็นคนร้ายที่ปล้นผม
ระหว่างรอเวลา ผมก็ขอยืมโน๊ตบุ๊คมาใช้อีกครั้ง เพื่อติดต่อญาติ และเพื่อนๆ พอดีว่าพี่สาวผม มีเพื่อนของเพื่อนอยู่ที่ อิโปห์ เค้าจะมาช่วยและให้ยืมเงินก้อนนึง เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายหลังจากนี้
ผมก็เลยบอกกับทางสตาฟโฮสเทลไปว่า เดี๋ยวจะมีเพื่อนพี่สาวมาช่วยนะ จะนำเงินมาช่วยเหลือนิดหน่อย
พอสตาฟรู้แบบนั้น ไม่นาน ทางสตาฟก็มาบอกว่า "ผมขอเก็บเงินค่าใช้จ่ายที่ผมออกไปเมื่อเช้า พอดีว่าบอสผมให้มาเก็บเงินกับคุณ เพราะผมได้ใช้เวลางานช่วงเช้าถึงเย็น ไปกับคุณ และเงินที่ออกไปให้ก่อน ก็คือเงินของโฮสเทล"
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ตกใจ ไหนบอกตอนแรกว่าจะช่วยเหลือ ? เค้าขอเก็บเงินผมทั้งหมด 220 ริงกิต เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่า uber ค่าอาหาร และค่าที่พัก 1 คืน ซึ่งผมก็บอกเค้าว่า ผมจ่ายให้หลังจากที่กลับถึงไทยแล้วได้ไหม เพราะตอนนี้มีเงินไม่พอนะ เค้าก็ยืนยันทำหน้าเศร้าจะให้ผมจ่ายภายในคืนนี้ เพราะบอสเค้าต้องการเงินพรุ่งนี้เช้า พร้อมกับโชว์ข้อความที่เค้ารับจากบอสเค้าให้ผมดู (อารมณ์แบบโดดบอสกดดันมา)
ผมก็เลยต้องจำใจ ขอยืมเงินจากเพื่อนของเพื่อนพี่สาวเพิ่มจาก 200 เป็น 450 ริงกิต เพื่อจ่ายให้ทางโฮสเทล เพราะยังไง มันก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ผมต้องจ่ายเองอยู่แล้ว ผมก็รู้สึกว่าผมต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง แต่แค่เสียความรู้สึกนิดหน่อย เพราะตอนนั้นเราไม่มีเงินเลยจริงๆ
พอถึงเวลา 19.00 ทางโฮสเทลก็เรียก Uber ให้ผม เพื่อเดินทางไปยังสถานีตำรวจใหญ่ของอิโปห์ ครั้งนี้ผมไปคนเดียว เพราะสตาฟที่ช่วยผมในตอนเช้า เค้าต้องทำงานต่อแล้ว เมื่อถึงสถานีตำรวจ ผมก็ติดต่อที่ป้อมยามข้างหน้า เค้าบอกว่าให้เดินเข้าไปตึก Team C ซึ่งพอผมเดินเข้าไป มันเปลี่ยวมาก เป็นตึกเงียบๆ พอไปถึงก็ไม่มีใคร ปรากฏว่าตำรวจท่านที่ผมต้องไปหา เค้าออกไปข้างนอก อีกสักพักจะกลับเข้ามา ผมเลยออกมานั่งรอตรงป้อมยาม จนตำรวจท่านนั้นมา
ตำรวจท่านนี้ช่วยเหลือผมทุกทาง ถึงแม้ภาษาอังกฤษเค้าไม่ได้ดีมาก เค้าพยายามเอาโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อใช้ google translate แปล เพื่อที่จะได้สื่อสารกันได้รู้เรื่อง แต่สุดท้ายแล้ว คนร้ายที่จับมา ก็ไม่ใช่คนที่รุมผมเมื่อเช้า
ตำรวจท่านนั้นจึงอาสา ขับรถพาผมกลับไปส่งที่โฮสเทล และให้ผมชี้สถานที่ที่เกิดเหตุให้ดู เพื่อที่เข้าจะไปขยายผลต่อ
หลังจากผิดหวังที่สถานีตำรวจ คืนนั้นผมก็ต้องมานั่งวางแผน เพื่อที่จะกลับไทย
แผนของผมในคืนนั้นคือ
- จองตั๋วรถไฟไป KL
- ไปสถานฑูตไทย
- กลับไทย
จองตั๋วรถไฟไป KL
ผมให้เพื่อนที่สิงคโปร์ช่วยจองตั๋วรถไฟให้ และผมก็ปริ้นท์ตั๋ว ซึ่งรอบที่ได้คือ 9.30 น. ซึ่งจะถึง KL SENTRAL ตอน 11.30 น.
พี่สาวผมได้ติดต่อเพื่อนของเพื่อนอีกที ที่อยู่ที่ KL ให้ เพื่อมารับผม และพาผมไปสถานฑูต (จากสถานีรถไฟไปสถานฑูตค่อนข้างไกลมาก)
ไปสถานฑูตไทย
เมื่อถึงสถานฑูตไทย ผมก็ได้ติดต่อของทำพาสปอร์ตใหม่ แต่ทางสถานฑูตบอกว่า ที่จะออกให้คือพาสปอร์ตชั่วคราว ต้องกลับไปทำใหม่อีกที ที่ประเทศไทย และเมื่อหลังจากได้พาสปอร์ชั่วคราวแล้ว ผมก็ต้องไปเอาใบ Special Pass เพื่อออกจากประเทศ ที่ Immigration Center ที่เมืองพุทาจายาอีก
พอได้ยินแบบนั้น ผมท้อใจมาก เพราะผมอยากกลับไทยมาก วันนั้นได้เลยยิ่งดี หลังจากบอกขั้นตอนผมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้ผมกรอกเอกสารสองใบ และขอรูปถ่ายสองใบ เจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อไปถ่ายรูป และให้กลับมาหลัง 14.30น. เพราะสถานฑูตจะพักเที่ยงถึงตอนนั้น
ผมขอแตกประเด็นตรงนี้นิดนึงครับ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับอื่นๆ หากทำพาสปอร์ตหายที่ประเทศมาเลเซีย
เอกสารที่ต้องใช้ในการทำพาสปอร์ตชั่วคราว
- เอกสารคำร้อง 2 ใบ (สถานฑูตจะเป็นคนให้กรอกเอง)
- รูปถ่ายสองใบ
- ใบแจ้งความ (ตรงส่วนนี้ผมไม่มั่นใจว่าใช้ไหม แต่ผมมีแนบไปด้วย)
เอกสารที่ใช้ในการขอ Special Pass ที่พุทาจายา
- พาสปอร์ตชั่วคราวที่ทางสถานฑูตออกให้
- ใบแจ้งความ
- ตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย (ผมให้พี่สาวจองให้จากไทย)
ผมก็เลยต้องข้ามฝั่งไปอีกฝั่ง ไปยังวิลล่า เป็นโรงแรม ซึ่งภายในตัวอาคารก็มีร้านต่างๆ รวมถึงร้านถ่ายรูป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมขอบอกเลยว่าการข้ามถนนที่นี่ น่ากลัวมาก ทางม้าลายก็หายากมาก กรีดร้องในใจทุกครั้งเวลาข้ามถนน เพราะรถขับไวมาก T___T
พอมาถึงวิลล่า ผมก็เข้าไปร้านถ่ายรูป สภาพเป็นเหมือนออฟฟิศเล็กๆ ที่เจ้าของมีงานอดิเรกถ่ายรูป เจ้าของเป็นคนแขกขาวมีอายุแล้ว ผมก็เล่าเหตุการณ์ให้เค้าฟัง เค้าก็ถ่ายรูปให้ พร้อมให้ผมยืมโน๊ตบุ๊คเพื่อติดต่อทางบ้าน มากกว่านั้นเค้ายังไม่คิดค่ารูปถ่ายผม แต่ให้ผมเขียนเป็นจดหมายให้แทน ว่าถ้าหากมีเพื่อนหรือคนรู้จักผ่านมา จะนำเงินมาจ่ายให้ หลังจากนั้นเค้าก็พาผมไปทานอาหาร เพราะเห็นว่าผมยังไม่ได้ทานอะไรแต่เช้า
เมื่อผมทานอาหารเสร็จ ก็ข้ามฝั่งกลับไปสถานฑูตไทย แล้วรอประตูเปิด จนเวลามาถึง ผมก็รีบขึ้นไปยื่นเอกสารทั้งหมด เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องรอให้คนเซ็นก่อนนะ ประมาณ 15.00 น. คนเซ็นถึงจะเข้ามา ผมเลยถามไปว่า แล้วผมจะไปทัน พุทาจายาไหม ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงจะไปถึงที่นั่น ? เจ้าหน้าที่ตอบว่า ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงนึง และวันนี้อาจจะไม่ทันแล้ว เพราะปิดประมาณ 4 โมงเย็น ในใจก็ท้อครับ เพราะอยากกลับบ้านวันนั้นเลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ
ทางสถานฑูตให้ทำเรื่องขอยืมเงิน เพื่อเป็นค่าทำ Special Pass 100 MYR และค่าโรงแรม 1 คืน + ค่ายังชีพ อีก 150 MYR รวมเป็น 250 MYR
ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี เพราะในวันรุ่งขึ้นสถานฑูตจะทำการแค่ครึ่งวัน และเจ้าหน้าที่หลายคนก็ได้ลากลับบ้านกันเยอะแล้ว รถจึงว่าง พี่ๆที่สถานฑูตจึงอาสา พาขับรถไปทำเรื่องที่พุทาจายา และพาไปส่งที่สนามบินให้ (เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นแล้วแต่เคสไปนะครับ บางเคสทางสถานฑูตอาจจะไม่ได้ไปส่งเอง)
เมื่อทำธุระที่สถานฑูตเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็เรียกแท็กซี่ให้ เพื่อไปยังที่โรงแรม ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูต
พอไปถึงโรงแรม ย่านนั้นจะติดกับห้างใหญ่ๆ สตาฟโรงแรมเป็นชาวมาเลย์แขกดำ ผมบอกเลยว่า กลัวมากกก พอได้กุญแจ ผมรีบเข้าห้องพักทันที รีบออกไปซื้ออาหารเข้ามากินก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และไม่ออกไปไหนอีกเลย ด้วยความกลัวสุดขีดของตัวเอง 5555
กลับไทย
วันรุ่งขึ้น พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็ขับรถพาผมไปที่พุทาจายา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำการวันสุดท้ายของปีก่อนหยุดยาว คนจึงเยอะมากกก ผมต้องรอนานมาก โชคดีมากๆ ที่พี่เจ้าหน้าที่สถานฑูตช่วยเต็มที่มาก จนได้ Special Pass มาในวันนั้น และพี่เจ้าหน้าที่ก็พาขับรถไปส่งที่สนามบิน ไฟลท์บินผมคือ 21.05 น. ผมถึงที่สนามบินประมาณ 15.00น. ผมจึงต้องรอนานมาก แต่ก็ดีครับ ผมได้ใช้เวลาที่รอนั้นเดินเล่นภายในสนามบิน ถือว่าเป็นการหาความสุขเล็กๆน้อยๆ หลังจากเจอเรื่องแย่ๆมา ผมบอกเลยว่า แค่ได้อ่านหนังสือ หรือดูหนัง ก็ทำให้ผมมีความสุขขึ้นมาได้มากโขเลย
หากท่านไหนมีคำถาม หลังไมค์มาถามผมได้เลยนะครับ
ผมหวังว่ากระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกิดอุบัติเหตุในประเทศมาเลเซียได้ ไม่มากก็น้อยครับ
สุดท้ายนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่ผู้ที่ท่องเที่ยวต่างถิ่น ต่างแดนทุกคน ว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัย
อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากลางวัน หรือกลางคืน ขอแนะนำให้ทุกคนระมัดระวังตัว และทำประกันท่องเที่ยวทุกครั้ง เวลาเดินทางครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ผมขอน้อมรับคำอวยพร คำติ คำแนะนำต่างๆไว้ครับ
ขอให้การท่องเที่ยวของคุณในทริปต่อไป มีความระมัดระวัง และไม่ประมาทมากขึ้นครับ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการท่องเที่ยวครับ
อุทาหรณ์เที่ยวคนเดียว : โดนปล้น และทำร้ายร่างกายที่ อิโปห์ มาเลเซีย (ตอนที่ 2)
ผมก็ได้รับความช่วยเหลือจากโฮสเทลที่พัก ผมได้สอบถามถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดว่าเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่ความผิดของทางโฮสเทล เพราะฉะนั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผมจะรับผิดชอบเอง ซึ่งสตาฟโฮสเทล ก็บอกผมว่า เดี๋ยวทางโฮสเทลจะช่วยเหลือเอง เพราะว่าผมไม่มีเงินติดตัวเหลือเลย ซึ่งผมก็ขอบคุณโฮสเทลมากๆ ณ ตอนนั้น
พอออกจากรพ.ได้ สตาฟโฮสเทลบอกผมว่า กลับไปโฮสเทลอาบน้ำ แล้วจะพาผมไปโรงพักเพื่อแจ้งความ
พอถึงที่โฮสเทล ทางสตาฟก็ได้เก็บของผมออกจากห้องพักมาให้แล้ว (ตอนแรกผมนอนเป็นห้องเดี่ยว) และให้ผมย้ายไปนอน dorm แทน ซึ่งผมก็ย้ำกับทางโฮสเทลว่าผมไม่มีเงินนะ ทางสตาฟก็บอกว่าไม่เป็นไร เราให้คุณนอนฟรีนะ หลังจากย้ายข้าวของเสร็จ ผมก็มาขอยืมโน๊ตบุ๊ค เพื่อที่จะติดต่อกลับทางบ้าน และเพื่อนที่สิงคโปร์ ทุกคนตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น และพยายามช่วยเหลือทุกอย่าง
นอกจากการติดต่อคนทางบ้านแล้ว ผมยังล็อกอินใช้ Find my iPhone ด้วย แต่เครื่องผมโดนปิดไปแล้ว เป็นสถานะ Offline ที่ทำได้ก็แค่กด Lost mode และรอเครื่องเปิด หลังจากนั่งใช้โน๊ตบุ๊คสักพัก สตาฟก็มาบอกให้ผมไปอาบน้ำ และจะได้ไปสถานีตำรวจ แต่ผมไม่ได้อาบ เพราะอยากให้ตำรวจเห็นสภาพผมหลังจากที่โดนทำร้ายร่างกายจริงๆ ทางสตาฟก็เรียก UBER ให้ และพาไปสถานีตำรวจ เพื่อแจ้งความ
ผมก็ให้สตาฟช่วยติดต่อ และสื่อสารกับทางเจ้าหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เลย จนได้เป็นใบ Police Report มา ระหว่างที่กำลังให้ปากคำต่างๆ เหมือนจะมีเจ้าหน้าที่ท่านอื่นติดต่อเข้ามา และบอกว่าทางตำรวจจับคนร้ายได้ในช่วงเช้าที่ผ่านมา ไม่แน่อาจจะเป็นคนร้ายที่ปล้นผม เจ้าหน้าที่เลยแนะนำให้ผม ไปชี้ตัวคนร้ายในตอน 19.00 น. ที่สถานีตำรวจใหญ่ของอิโปห์
หลังจากกลับจากสถานีตำรวจ ผมก็อาบน้ำแต่งตัว รอเวลา 19.00 น.เพื่อไปชี้ตัวคนร้าย ภาวนาในใจ ว่าขอให้เป็นคนร้ายที่ปล้นผม
ระหว่างรอเวลา ผมก็ขอยืมโน๊ตบุ๊คมาใช้อีกครั้ง เพื่อติดต่อญาติ และเพื่อนๆ พอดีว่าพี่สาวผม มีเพื่อนของเพื่อนอยู่ที่ อิโปห์ เค้าจะมาช่วยและให้ยืมเงินก้อนนึง เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายหลังจากนี้
ผมก็เลยบอกกับทางสตาฟโฮสเทลไปว่า เดี๋ยวจะมีเพื่อนพี่สาวมาช่วยนะ จะนำเงินมาช่วยเหลือนิดหน่อย
พอสตาฟรู้แบบนั้น ไม่นาน ทางสตาฟก็มาบอกว่า "ผมขอเก็บเงินค่าใช้จ่ายที่ผมออกไปเมื่อเช้า พอดีว่าบอสผมให้มาเก็บเงินกับคุณ เพราะผมได้ใช้เวลางานช่วงเช้าถึงเย็น ไปกับคุณ และเงินที่ออกไปให้ก่อน ก็คือเงินของโฮสเทล"
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ตกใจ ไหนบอกตอนแรกว่าจะช่วยเหลือ ? เค้าขอเก็บเงินผมทั้งหมด 220 ริงกิต เป็นค่ารักษาพยาบาล ค่า uber ค่าอาหาร และค่าที่พัก 1 คืน ซึ่งผมก็บอกเค้าว่า ผมจ่ายให้หลังจากที่กลับถึงไทยแล้วได้ไหม เพราะตอนนี้มีเงินไม่พอนะ เค้าก็ยืนยันทำหน้าเศร้าจะให้ผมจ่ายภายในคืนนี้ เพราะบอสเค้าต้องการเงินพรุ่งนี้เช้า พร้อมกับโชว์ข้อความที่เค้ารับจากบอสเค้าให้ผมดู (อารมณ์แบบโดดบอสกดดันมา)
ผมก็เลยต้องจำใจ ขอยืมเงินจากเพื่อนของเพื่อนพี่สาวเพิ่มจาก 200 เป็น 450 ริงกิต เพื่อจ่ายให้ทางโฮสเทล เพราะยังไง มันก็เป็นค่าใช้จ่ายที่ผมต้องจ่ายเองอยู่แล้ว ผมก็รู้สึกว่าผมต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้เอง แต่แค่เสียความรู้สึกนิดหน่อย เพราะตอนนั้นเราไม่มีเงินเลยจริงๆ
พอถึงเวลา 19.00 ทางโฮสเทลก็เรียก Uber ให้ผม เพื่อเดินทางไปยังสถานีตำรวจใหญ่ของอิโปห์ ครั้งนี้ผมไปคนเดียว เพราะสตาฟที่ช่วยผมในตอนเช้า เค้าต้องทำงานต่อแล้ว เมื่อถึงสถานีตำรวจ ผมก็ติดต่อที่ป้อมยามข้างหน้า เค้าบอกว่าให้เดินเข้าไปตึก Team C ซึ่งพอผมเดินเข้าไป มันเปลี่ยวมาก เป็นตึกเงียบๆ พอไปถึงก็ไม่มีใคร ปรากฏว่าตำรวจท่านที่ผมต้องไปหา เค้าออกไปข้างนอก อีกสักพักจะกลับเข้ามา ผมเลยออกมานั่งรอตรงป้อมยาม จนตำรวจท่านนั้นมา
ตำรวจท่านนี้ช่วยเหลือผมทุกทาง ถึงแม้ภาษาอังกฤษเค้าไม่ได้ดีมาก เค้าพยายามเอาโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อใช้ google translate แปล เพื่อที่จะได้สื่อสารกันได้รู้เรื่อง แต่สุดท้ายแล้ว คนร้ายที่จับมา ก็ไม่ใช่คนที่รุมผมเมื่อเช้า
ตำรวจท่านนั้นจึงอาสา ขับรถพาผมกลับไปส่งที่โฮสเทล และให้ผมชี้สถานที่ที่เกิดเหตุให้ดู เพื่อที่เข้าจะไปขยายผลต่อ
หลังจากผิดหวังที่สถานีตำรวจ คืนนั้นผมก็ต้องมานั่งวางแผน เพื่อที่จะกลับไทย
แผนของผมในคืนนั้นคือ
- จองตั๋วรถไฟไป KL
- ไปสถานฑูตไทย
- กลับไทย
ผมให้เพื่อนที่สิงคโปร์ช่วยจองตั๋วรถไฟให้ และผมก็ปริ้นท์ตั๋ว ซึ่งรอบที่ได้คือ 9.30 น. ซึ่งจะถึง KL SENTRAL ตอน 11.30 น.
พี่สาวผมได้ติดต่อเพื่อนของเพื่อนอีกที ที่อยู่ที่ KL ให้ เพื่อมารับผม และพาผมไปสถานฑูต (จากสถานีรถไฟไปสถานฑูตค่อนข้างไกลมาก)
เมื่อถึงสถานฑูตไทย ผมก็ได้ติดต่อของทำพาสปอร์ตใหม่ แต่ทางสถานฑูตบอกว่า ที่จะออกให้คือพาสปอร์ตชั่วคราว ต้องกลับไปทำใหม่อีกที ที่ประเทศไทย และเมื่อหลังจากได้พาสปอร์ชั่วคราวแล้ว ผมก็ต้องไปเอาใบ Special Pass เพื่อออกจากประเทศ ที่ Immigration Center ที่เมืองพุทาจายาอีก
พอได้ยินแบบนั้น ผมท้อใจมาก เพราะผมอยากกลับไทยมาก วันนั้นได้เลยยิ่งดี หลังจากบอกขั้นตอนผมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ให้ผมกรอกเอกสารสองใบ และขอรูปถ่ายสองใบ เจ้าหน้าที่จึงแนะนำให้ข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อไปถ่ายรูป และให้กลับมาหลัง 14.30น. เพราะสถานฑูตจะพักเที่ยงถึงตอนนั้น
ผมขอแตกประเด็นตรงนี้นิดนึงครับ เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับอื่นๆ หากทำพาสปอร์ตหายที่ประเทศมาเลเซีย
- เอกสารคำร้อง 2 ใบ (สถานฑูตจะเป็นคนให้กรอกเอง)
- รูปถ่ายสองใบ
- ใบแจ้งความ (ตรงส่วนนี้ผมไม่มั่นใจว่าใช้ไหม แต่ผมมีแนบไปด้วย)
เอกสารที่ใช้ในการขอ Special Pass ที่พุทาจายา
- พาสปอร์ตชั่วคราวที่ทางสถานฑูตออกให้
- ใบแจ้งความ
- ตั๋วเครื่องบินกลับประเทศไทย (ผมให้พี่สาวจองให้จากไทย)
ผมก็เลยต้องข้ามฝั่งไปอีกฝั่ง ไปยังวิลล่า เป็นโรงแรม ซึ่งภายในตัวอาคารก็มีร้านต่างๆ รวมถึงร้านถ่ายรูป
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอมาถึงวิลล่า ผมก็เข้าไปร้านถ่ายรูป สภาพเป็นเหมือนออฟฟิศเล็กๆ ที่เจ้าของมีงานอดิเรกถ่ายรูป เจ้าของเป็นคนแขกขาวมีอายุแล้ว ผมก็เล่าเหตุการณ์ให้เค้าฟัง เค้าก็ถ่ายรูปให้ พร้อมให้ผมยืมโน๊ตบุ๊คเพื่อติดต่อทางบ้าน มากกว่านั้นเค้ายังไม่คิดค่ารูปถ่ายผม แต่ให้ผมเขียนเป็นจดหมายให้แทน ว่าถ้าหากมีเพื่อนหรือคนรู้จักผ่านมา จะนำเงินมาจ่ายให้ หลังจากนั้นเค้าก็พาผมไปทานอาหาร เพราะเห็นว่าผมยังไม่ได้ทานอะไรแต่เช้า
เมื่อผมทานอาหารเสร็จ ก็ข้ามฝั่งกลับไปสถานฑูตไทย แล้วรอประตูเปิด จนเวลามาถึง ผมก็รีบขึ้นไปยื่นเอกสารทั้งหมด เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องรอให้คนเซ็นก่อนนะ ประมาณ 15.00 น. คนเซ็นถึงจะเข้ามา ผมเลยถามไปว่า แล้วผมจะไปทัน พุทาจายาไหม ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ถึงจะไปถึงที่นั่น ? เจ้าหน้าที่ตอบว่า ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงนึง และวันนี้อาจจะไม่ทันแล้ว เพราะปิดประมาณ 4 โมงเย็น ในใจก็ท้อครับ เพราะอยากกลับบ้านวันนั้นเลย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ครับ
ทางสถานฑูตให้ทำเรื่องขอยืมเงิน เพื่อเป็นค่าทำ Special Pass 100 MYR และค่าโรงแรม 1 คืน + ค่ายังชีพ อีก 150 MYR รวมเป็น 250 MYR
ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี เพราะในวันรุ่งขึ้นสถานฑูตจะทำการแค่ครึ่งวัน และเจ้าหน้าที่หลายคนก็ได้ลากลับบ้านกันเยอะแล้ว รถจึงว่าง พี่ๆที่สถานฑูตจึงอาสา พาขับรถไปทำเรื่องที่พุทาจายา และพาไปส่งที่สนามบินให้ (เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นแล้วแต่เคสไปนะครับ บางเคสทางสถานฑูตอาจจะไม่ได้ไปส่งเอง)
เมื่อทำธุระที่สถานฑูตเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็เรียกแท็กซี่ให้ เพื่อไปยังที่โรงแรม ซึ่งไม่ไกลจากสถานฑูต
พอไปถึงโรงแรม ย่านนั้นจะติดกับห้างใหญ่ๆ สตาฟโรงแรมเป็นชาวมาเลย์แขกดำ ผมบอกเลยว่า กลัวมากกก พอได้กุญแจ ผมรีบเข้าห้องพักทันที รีบออกไปซื้ออาหารเข้ามากินก่อนพระอาทิตย์ตกดิน และไม่ออกไปไหนอีกเลย ด้วยความกลัวสุดขีดของตัวเอง 5555
วันรุ่งขึ้น พี่ๆเจ้าหน้าที่ก็ขับรถพาผมไปที่พุทาจายา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันทำการวันสุดท้ายของปีก่อนหยุดยาว คนจึงเยอะมากกก ผมต้องรอนานมาก โชคดีมากๆ ที่พี่เจ้าหน้าที่สถานฑูตช่วยเต็มที่มาก จนได้ Special Pass มาในวันนั้น และพี่เจ้าหน้าที่ก็พาขับรถไปส่งที่สนามบิน ไฟลท์บินผมคือ 21.05 น. ผมถึงที่สนามบินประมาณ 15.00น. ผมจึงต้องรอนานมาก แต่ก็ดีครับ ผมได้ใช้เวลาที่รอนั้นเดินเล่นภายในสนามบิน ถือว่าเป็นการหาความสุขเล็กๆน้อยๆ หลังจากเจอเรื่องแย่ๆมา ผมบอกเลยว่า แค่ได้อ่านหนังสือ หรือดูหนัง ก็ทำให้ผมมีความสุขขึ้นมาได้มากโขเลย
หากท่านไหนมีคำถาม หลังไมค์มาถามผมได้เลยนะครับ
ผมหวังว่ากระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกิดอุบัติเหตุในประเทศมาเลเซียได้ ไม่มากก็น้อยครับ
สุดท้ายนี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมอยากให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจแก่ผู้ที่ท่องเที่ยวต่างถิ่น ต่างแดนทุกคน ว่าไม่มีที่ไหนปลอดภัย
อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่ากลางวัน หรือกลางคืน ขอแนะนำให้ทุกคนระมัดระวังตัว และทำประกันท่องเที่ยวทุกครั้ง เวลาเดินทางครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม ผมขอน้อมรับคำอวยพร คำติ คำแนะนำต่างๆไว้ครับ
ขอให้การท่องเที่ยวของคุณในทริปต่อไป มีความระมัดระวัง และไม่ประมาทมากขึ้นครับ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการท่องเที่ยวครับ