สวัสดีค่าาาาา
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวตามธรรมเนียมก่อนเลย >> นี่เป็นการประเดิมกระทู้แรกของเราเลย ปรบมืออ!!!


เนื่องจากวันที่ 19 - 21 ธันวาคม ที่ผ่านมาเรากับน้องชายได้รับการอนุมัติจากท่านแม่ให้หอบหิ้วตัวเองไปผ่อนคลายหลังการสอบที่แสนโหดร้าย
โดยเราทำการจองที่พักและจัดการทุกสิ่งอย่างระหว่างการอ่านหนังสือสอบ จึงไม่ได้อ่านรีวิวหาข้อมูลอะไรมาก
ที่เลือกไปที่นี่ก็เพราะเห็นในรูปมันสวยดี ว่างก็ไปสิคะ รออะไรรรร
การเดินทาง
หลังจากนั่งเครื่องไปลงสนามบินสุราษ เวลาประมาณ 10.00 น.
เราเหมารถยนต์ส่วนบุคคลของทางที่พักคิดเป็นเที่ยว เที่ยวละ 1,700 บาท (ไป-กลับ 3,400 บาท)
รถที่มารอรับเป็นรถกระบะ Ford ranger ค่ะ สะดวก สบาย พอสมควรเลย รถจะรับเราไปส่งที่ท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พอไปถึงท่าเรือก็จะมีเรือหางยาวของที่พักรออยู่แล้วเช่นกันค่ะ ถ้าวันนั้นมีผู้เข้าพักหลายคณะก็ต้องรอมากันให้ครบ เพราะเรือมารับวันละรอบ
เราขึ้นเรือประมาณ 11.30 ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เรือก็พามาถึงที่พักค่ะ (ชมบรรยากาศเพลินๆ แปปเดียวก็ถึงแล้ว)
พอถึงแพปุ๊บเราก็ไม่รีรอ รีบเช็คอิน เก็บสัมภาระ และมาที่ห้องอาหารทันที (ท้องร้องหนักมาก)
ที่พักจะจัดอาหารปริมาณแปรผันตามจำนวนแขกที่เข้าพักค่ะ ไป 2 คนก็จะได้กับข้าวถ้วยเล็กหน่อย ถ้าไปกันหลายคนก็ถ้วยใหญ่เบ่อเริ่มเลย
สำหรับเมนูอาหารในมื้อแรกนั้น ต้องบอกว่ามันอลังฯมวากกก!!
เมนูหลากหลาย ปริมาณเยอะ(มาก) และพี่ๆพนักงานทุกคนก็ใจดีมากค่ะ ถ้าใครไม่อิ่มสามารถเติมได้ไม่อั้นเลย
เราขออนุญาตลงภาพอาหารรวดเดียวไปเลยนะคะ เพราะบางมื้อก็ถ่ายไม่ทันค่ะ ปากไวไปหน่อย แหะๆ


(มื้อเที่ยงจะมีกับข้าว 4 อย่าง ส่วนมื้อเย็นจะเพิ่มเป็น 5 อย่างค่ะ)

หลังจากมื้อเที่ยงจะเป็นช่วงฟรีค่ะ เราก็เดินชมแพ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ (ตอนเที่ยงก็แดดไม่แรงค่ะ เพราะเมฆหนาเกือบตลอด)

ในห้องนอนจะมีเตียงคู่ 1 เตียง และมีชั้นลอยให้ปีนขึ้นไปนอนด้านบนได้อีก 3 คนค่ะ
แพแต่ละหลังจะมีห้องน้ำในตัวเลย อยู่ด้านหลังของแต่ละห้อง เป็นฝักบัว และมีเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้แก๊สให้ด้วย เริ่ดสุดๆ
หลังจากอาหารเริ่มย่อย เรากับน้องก็ไปยืมเสื้อชูชีพและเรือคายัคมาพายกันค่ะ
โดยที่พักจะให้เราจ่ายมัดจำไปก่อน 500 บาท ค่อยมารับเงินคืนตอนเอาทุกอย่างมาคืนในวันเช็คเอ้าท์
ได้เรือมาก็พายโลดด ไม่ชอบพายก็กระโดดน้ำเลยค่ะ แอบมีปลาตะเพียนสีสวยมาว่ายเป็นเพื่อนด้วยนะ

พอ 16.00 น. มีกิจกรรมล่องเรือชมความงดงามของ “กุ้ยหลินเมืองไทย”
เราได้นั่งเรือไปดูเขาสามเกลอค่ะ และถ้าโชคดีก็จะเห็นนกเงือก ซึ่งเจอค่อนข้างยาก แต่เราโชคดีมาก บินโฉบให้เราเห็บแวบนึงด้วย ><

กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ ชื่นชมเสร็จก็กลับมาพักผ่อน เตรียมท้องรอไปทานมื้อเย็นตอน 18.30 น.
ตอน 20.00 มีกิจกรรมลอยกระทง ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งคุณลุงคนขับเรือจะเป็นคนเล่าประวัติความเป็นมาของเขื่อนเชี่ยวหลานให้ฟังอย่างละเอียด ชนิดที่ว่าไปนั่งจดเลคเชอร์กันได้เลย 555555
ในส่วนเรื่องเล่าเราขอข้ามนะคะ ใครอยากรู้ต้องลองไปค่ะ เดี๋ยวคุณลุงแกเล่าให้ฟัง
กระทงที่ใช้ลอยเป็นกระทงขนมปังซึ่งที่พักเตรียมไว้ให้แล้วเรียบร้อย ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่สามารถร่วมทำบุญได้ค่ะ

และก็เป็นอันจบวันที่ 1 ลงอย่างสวยงาม เย่ เย่
วันที่ 2 เริ่มมมมมม !!!!!
กิจกรรมวันนี้เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เลยค่ะ ประมาณ 6.30 น. ทุกคนก็มาพร้อมกันที่เรือ เพื่อออกไปชมหมอกยามเช้า
ตลอดทางจะเป็นยอดเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวเต็มไปหมด ขอบอกว่า อากาศดีมวากกกกก ฟินไปอีก อิอิ
ใช้เวลาไป-กลับ บวกเวลาจอดเรือถ่ายรูป(รัวๆ)ประมาณ 1 ชั่วโมงพอดีค่ะ

ตรงนี้ถ่ายรูปตัวเองเพลินไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้เก็บบรรยากาศมาฝากทุกคน (เก๊าผิดไปแย้ววววว)

พอกลับมาจากการล่องเรือชมหมอกก็เป็นเวลาอาหารเช้าพอดี อาหารเช้าเป็นแบบบุฟเฟต์ให้เลือกตักเอง
หลักๆจะมีขนมปังปิ้ง ข้าวต้ม ข้าวผัด (แต่ละวันก็จะใช้เนื้อต่างชนิดกันค่ะ)
วันที่เราไปมีข้าวต้มปลากับข้าวผัดหมู วันต่อมาเป็นข้าวต้มหมูกับข้าวผัดทูน่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วแต่วันค่ะ
ส่วนเครื่องดื่มมีน้ำส้ม กาแฟสำเร็จรูป และไมโล 3 in 1 เตรียมไว้ให้บริการตัวเอง
ทานอาหารเช้าเสร็จน้องเราก็ขอตัวไปงีบต่ออีกแปปนึง หลังจากที่เมื่อเช้าได้พาร่างไร้วิญญาณไปชมหมอกมา
พอสายๆหน่อยเราเอาเงิน 20 บาทไปหยอดตู้แล้วถืออาหารปลามาที่แพ เพื่อล่อน้องให้ลุกจากเตียงซะที 55555
อาหารปลาที่นี่จะใช้เมล็ดข้าวโพดแห้ง ส่วนปลามีเฉพาะปลาตะเพียนที่รีสอร์ทเลี้ยงไว้เองค่ะ
กิจกรรมช่วงเช้าเป็นการให้อาหารปลา ว่ายน้ำและพายเรือวนไป เพื่อรอเวลามื้อเที่ยง (ทริปนี้มีความสุขทุกครั้งที่ได้กินจริงๆค่ะ)

รับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย ก็กลับแพมาเตรียมตัวเพื่อออกไปเดินป่าตอน 13.30 น.
รอบนี้จะนั่งเรือออกไปไกลหน่อย ผ่านแพเพื่อนบ้านหลายแพเลยค่ะ กว่าจะไปถึงป่าที่เขาว่ากัน

วันนั้นฝนตกปรอยๆตั้งแต่เช้าเลย ทำให้ดินค่อนข้างชื้น ถ้าเตรียมรองเท้าผ้าใบไปด้วยก็จะเดินสบายขึ้นมาหน่อย
ทางเดินป่าจะชันแค่ช่วงแรกๆค่ะ หลังจากนั้นเป็นทางลาดยาวไปประมาณ 1 กิโล ผลัดกันลื่นคนละทีสองทีก็ถึงแล้ว


คุณลุงบอกว่าตรงนี้เป็นแอ่งน้ำที่มีเขาล้อมรอบทุกด้าน ทำให้เอาเรือเข้ามาไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้แพไม้ไผ่ในการข้ามฟาก
ใช้แพไม้ไผ่ข้ามฟากไม่ไกลมาก แต่แพจะพาเราเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ไปถึงปากถ้ำ
ถ้ำนี้มีชื่อว่า ถ้ำปะการัง เป็นถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกๆเต็มไปหมด
ส่วนทีเด็ดก็คงจะเป็นผนังถ้ำที่คล้ายปะการังค่ะ (ต้องลองถามไกด์ดูนะคะ เค้าจะพาหามุมถ่ายให้ดูเหมือนปะการัง)

ชมถ้ำเสร็จก็กลับทางเดิมทุกประการเลยค่ะ กิจกรรมนี้ใช้เวลาทั้งบ่าย กลับถึงที่พักก็ประมาณ 16.30 น.
กลับถึงที่พักแล้วก็ยังพอมีเวลาให้ว่ายน้ำพายเรืออีกรอบ ก่อนจะนำเรือไปเก็บและเตรียมตัวกลับในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 3 วันสุดท้ายยยยยย T^T
เช้าวันนี้ไม่มีกิจกรรมที่เขื่อนแล้วค่ะ ตื่นมาทานอาหารเช้าตามปกติ แล้วเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ตอน 9 โมง
พอ 9 โมงปุ๊บเรือก็ออกจากที่พัก พาเรามาส่งที่ท่าเรือและรอรับแขกที่จะเข้าพักใหม่ในวันนั้น
พอมาถึงท่าเรือก็มีรถยนต์ส่วนบุคคลของรีสอร์ทมารับเพื่อไปส่งเราที่สนามบินสุราษฯเหมือนตอนขามาค่ะ
ระหว่างทางพี่คนขับแกใจดีพาเราแวะชมสันเขื่อนและภูเขารูปหัวใจด้วย เป็นการปิดท้ายทริปที่คุ้มค่ามากจริงๆค่ะ

และแล้วในที่สุดก็เป็นอันจบทริป 3 วัน 2 คืน ที่แพพันวารีย์ เขื่อนเชี่ยวหลานของเราอย่างสวยงาม


ข้อมูลน่ารู้
- ในเขื่อนมีเฉพาะสัญญาณของ AIS เท่านั้น! เครือข่ายอื่นไม่ต้องรอคอยความหวังเลยค่ะ
- สภาพอากาศเขาว่ากันว่า ฝน 8 แดด 4 เพราะฉะนั้นเตรียมใจไปเลยว่าวันที่ไปอาจจะเจอฝนตกตลอดก็ได้ แต่ไม่ต้องกังวลมากค่ะ ฝนมักจะตกปรอยๆ แต่ตกแทบทั้งวัน ช่วงที่เราไป(กลางธันวา) เมฆค่อนข้างหนา ครีมกันแดดไม่ต้องเอาไปก็ได้ ว่ายน้ำตอนเที่ยงได้เลยค่ะ
- คนที่เมาเรือมากๆต้องเตรียมตัวดีนิดนึงค่ะ เพราะที่พักเป็นแพทั้งหมด ทุกอย่างลอยอยู่บนน้ำ ถ้าลมแรงหน่อยก็จะรู้สึกโยงเยงได้ค่ะ (โดยเฉพาะเวลาอาบน้ำ อาบนานๆหน่อยเราก็เริ่มมึนเหมือนกัน)
- ใครกลัวน้ำ ไม่ชอบเล่นน้ำ เตรียมอะไรไปแก้เบื่อก็ได้นะคะ อาจจะถือหนังไปด้วย(ที่พักมีเครื่องเล่นให้ค่ะ) หรือจะเอาหนังสือไปอ่านก็ชิวดีเหมือนกัน
สุดท้ายยยย... ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กระทู้แรกของเราเป็นยังไงบ้าง สามารถติชมได้เลยนะคะ
แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า (ถ้ามีโอกาส) สำหรับวันนี้ สวัสดีค่าาาา
[CR] หนีเที่ยว 3 วัน 2 คืน ที่แพพันวารีย์ เขื่อนเชี่ยวหลาน
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวตามธรรมเนียมก่อนเลย >> นี่เป็นการประเดิมกระทู้แรกของเราเลย ปรบมืออ!!!
เนื่องจากวันที่ 19 - 21 ธันวาคม ที่ผ่านมาเรากับน้องชายได้รับการอนุมัติจากท่านแม่ให้หอบหิ้วตัวเองไปผ่อนคลายหลังการสอบที่แสนโหดร้าย
โดยเราทำการจองที่พักและจัดการทุกสิ่งอย่างระหว่างการอ่านหนังสือสอบ จึงไม่ได้อ่านรีวิวหาข้อมูลอะไรมาก
ที่เลือกไปที่นี่ก็เพราะเห็นในรูปมันสวยดี ว่างก็ไปสิคะ รออะไรรรร
การเดินทาง
หลังจากนั่งเครื่องไปลงสนามบินสุราษ เวลาประมาณ 10.00 น.
เราเหมารถยนต์ส่วนบุคคลของทางที่พักคิดเป็นเที่ยว เที่ยวละ 1,700 บาท (ไป-กลับ 3,400 บาท)
รถที่มารอรับเป็นรถกระบะ Ford ranger ค่ะ สะดวก สบาย พอสมควรเลย รถจะรับเราไปส่งที่ท่าเรือ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พอไปถึงท่าเรือก็จะมีเรือหางยาวของที่พักรออยู่แล้วเช่นกันค่ะ ถ้าวันนั้นมีผู้เข้าพักหลายคณะก็ต้องรอมากันให้ครบ เพราะเรือมารับวันละรอบ
เราขึ้นเรือประมาณ 11.30 ใช้เวลาประมาณ 45 นาที เรือก็พามาถึงที่พักค่ะ (ชมบรรยากาศเพลินๆ แปปเดียวก็ถึงแล้ว)
พอถึงแพปุ๊บเราก็ไม่รีรอ รีบเช็คอิน เก็บสัมภาระ และมาที่ห้องอาหารทันที (ท้องร้องหนักมาก)
ที่พักจะจัดอาหารปริมาณแปรผันตามจำนวนแขกที่เข้าพักค่ะ ไป 2 คนก็จะได้กับข้าวถ้วยเล็กหน่อย ถ้าไปกันหลายคนก็ถ้วยใหญ่เบ่อเริ่มเลย
สำหรับเมนูอาหารในมื้อแรกนั้น ต้องบอกว่ามันอลังฯมวากกก!!
เมนูหลากหลาย ปริมาณเยอะ(มาก) และพี่ๆพนักงานทุกคนก็ใจดีมากค่ะ ถ้าใครไม่อิ่มสามารถเติมได้ไม่อั้นเลย
เราขออนุญาตลงภาพอาหารรวดเดียวไปเลยนะคะ เพราะบางมื้อก็ถ่ายไม่ทันค่ะ ปากไวไปหน่อย แหะๆ
(มื้อเที่ยงจะมีกับข้าว 4 อย่าง ส่วนมื้อเย็นจะเพิ่มเป็น 5 อย่างค่ะ)
หลังจากมื้อเที่ยงจะเป็นช่วงฟรีค่ะ เราก็เดินชมแพ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ (ตอนเที่ยงก็แดดไม่แรงค่ะ เพราะเมฆหนาเกือบตลอด)
ในห้องนอนจะมีเตียงคู่ 1 เตียง และมีชั้นลอยให้ปีนขึ้นไปนอนด้านบนได้อีก 3 คนค่ะ
แพแต่ละหลังจะมีห้องน้ำในตัวเลย อยู่ด้านหลังของแต่ละห้อง เป็นฝักบัว และมีเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้แก๊สให้ด้วย เริ่ดสุดๆ
หลังจากอาหารเริ่มย่อย เรากับน้องก็ไปยืมเสื้อชูชีพและเรือคายัคมาพายกันค่ะ
โดยที่พักจะให้เราจ่ายมัดจำไปก่อน 500 บาท ค่อยมารับเงินคืนตอนเอาทุกอย่างมาคืนในวันเช็คเอ้าท์
ได้เรือมาก็พายโลดด ไม่ชอบพายก็กระโดดน้ำเลยค่ะ แอบมีปลาตะเพียนสีสวยมาว่ายเป็นเพื่อนด้วยนะ
พอ 16.00 น. มีกิจกรรมล่องเรือชมความงดงามของ “กุ้ยหลินเมืองไทย”
เราได้นั่งเรือไปดูเขาสามเกลอค่ะ และถ้าโชคดีก็จะเห็นนกเงือก ซึ่งเจอค่อนข้างยาก แต่เราโชคดีมาก บินโฉบให้เราเห็บแวบนึงด้วย ><
กิจกรรมนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ ชื่นชมเสร็จก็กลับมาพักผ่อน เตรียมท้องรอไปทานมื้อเย็นตอน 18.30 น.
ตอน 20.00 มีกิจกรรมลอยกระทง ณ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งคุณลุงคนขับเรือจะเป็นคนเล่าประวัติความเป็นมาของเขื่อนเชี่ยวหลานให้ฟังอย่างละเอียด ชนิดที่ว่าไปนั่งจดเลคเชอร์กันได้เลย 555555
ในส่วนเรื่องเล่าเราขอข้ามนะคะ ใครอยากรู้ต้องลองไปค่ะ เดี๋ยวคุณลุงแกเล่าให้ฟัง
กระทงที่ใช้ลอยเป็นกระทงขนมปังซึ่งที่พักเตรียมไว้ให้แล้วเรียบร้อย ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่สามารถร่วมทำบุญได้ค่ะ
และก็เป็นอันจบวันที่ 1 ลงอย่างสวยงาม เย่ เย่
วันที่ 2 เริ่มมมมมม !!!!!
กิจกรรมวันนี้เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เลยค่ะ ประมาณ 6.30 น. ทุกคนก็มาพร้อมกันที่เรือ เพื่อออกไปชมหมอกยามเช้า
ตลอดทางจะเป็นยอดเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวเต็มไปหมด ขอบอกว่า อากาศดีมวากกกกก ฟินไปอีก อิอิ
ใช้เวลาไป-กลับ บวกเวลาจอดเรือถ่ายรูป(รัวๆ)ประมาณ 1 ชั่วโมงพอดีค่ะ
ตรงนี้ถ่ายรูปตัวเองเพลินไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้เก็บบรรยากาศมาฝากทุกคน (เก๊าผิดไปแย้ววววว)
พอกลับมาจากการล่องเรือชมหมอกก็เป็นเวลาอาหารเช้าพอดี อาหารเช้าเป็นแบบบุฟเฟต์ให้เลือกตักเอง
หลักๆจะมีขนมปังปิ้ง ข้าวต้ม ข้าวผัด (แต่ละวันก็จะใช้เนื้อต่างชนิดกันค่ะ)
วันที่เราไปมีข้าวต้มปลากับข้าวผัดหมู วันต่อมาเป็นข้าวต้มหมูกับข้าวผัดทูน่า เปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วแต่วันค่ะ
ส่วนเครื่องดื่มมีน้ำส้ม กาแฟสำเร็จรูป และไมโล 3 in 1 เตรียมไว้ให้บริการตัวเอง
ทานอาหารเช้าเสร็จน้องเราก็ขอตัวไปงีบต่ออีกแปปนึง หลังจากที่เมื่อเช้าได้พาร่างไร้วิญญาณไปชมหมอกมา
พอสายๆหน่อยเราเอาเงิน 20 บาทไปหยอดตู้แล้วถืออาหารปลามาที่แพ เพื่อล่อน้องให้ลุกจากเตียงซะที 55555
อาหารปลาที่นี่จะใช้เมล็ดข้าวโพดแห้ง ส่วนปลามีเฉพาะปลาตะเพียนที่รีสอร์ทเลี้ยงไว้เองค่ะ
กิจกรรมช่วงเช้าเป็นการให้อาหารปลา ว่ายน้ำและพายเรือวนไป เพื่อรอเวลามื้อเที่ยง (ทริปนี้มีความสุขทุกครั้งที่ได้กินจริงๆค่ะ)
รับประทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย ก็กลับแพมาเตรียมตัวเพื่อออกไปเดินป่าตอน 13.30 น.
รอบนี้จะนั่งเรือออกไปไกลหน่อย ผ่านแพเพื่อนบ้านหลายแพเลยค่ะ กว่าจะไปถึงป่าที่เขาว่ากัน
วันนั้นฝนตกปรอยๆตั้งแต่เช้าเลย ทำให้ดินค่อนข้างชื้น ถ้าเตรียมรองเท้าผ้าใบไปด้วยก็จะเดินสบายขึ้นมาหน่อย
ทางเดินป่าจะชันแค่ช่วงแรกๆค่ะ หลังจากนั้นเป็นทางลาดยาวไปประมาณ 1 กิโล ผลัดกันลื่นคนละทีสองทีก็ถึงแล้ว
คุณลุงบอกว่าตรงนี้เป็นแอ่งน้ำที่มีเขาล้อมรอบทุกด้าน ทำให้เอาเรือเข้ามาไม่ได้ จึงจำเป็นต้องใช้แพไม้ไผ่ในการข้ามฟาก
ใช้แพไม้ไผ่ข้ามฟากไม่ไกลมาก แต่แพจะพาเราเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ไปถึงปากถ้ำ
ถ้ำนี้มีชื่อว่า ถ้ำปะการัง เป็นถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีหินงอกหินย้อยรูปร่างแปลกๆเต็มไปหมด
ส่วนทีเด็ดก็คงจะเป็นผนังถ้ำที่คล้ายปะการังค่ะ (ต้องลองถามไกด์ดูนะคะ เค้าจะพาหามุมถ่ายให้ดูเหมือนปะการัง)
ชมถ้ำเสร็จก็กลับทางเดิมทุกประการเลยค่ะ กิจกรรมนี้ใช้เวลาทั้งบ่าย กลับถึงที่พักก็ประมาณ 16.30 น.
กลับถึงที่พักแล้วก็ยังพอมีเวลาให้ว่ายน้ำพายเรืออีกรอบ ก่อนจะนำเรือไปเก็บและเตรียมตัวกลับในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 3 วันสุดท้ายยยยยย T^T
เช้าวันนี้ไม่มีกิจกรรมที่เขื่อนแล้วค่ะ ตื่นมาทานอาหารเช้าตามปกติ แล้วเตรียมตัวเช็คเอ้าท์ตอน 9 โมง
พอ 9 โมงปุ๊บเรือก็ออกจากที่พัก พาเรามาส่งที่ท่าเรือและรอรับแขกที่จะเข้าพักใหม่ในวันนั้น
พอมาถึงท่าเรือก็มีรถยนต์ส่วนบุคคลของรีสอร์ทมารับเพื่อไปส่งเราที่สนามบินสุราษฯเหมือนตอนขามาค่ะ
ระหว่างทางพี่คนขับแกใจดีพาเราแวะชมสันเขื่อนและภูเขารูปหัวใจด้วย เป็นการปิดท้ายทริปที่คุ้มค่ามากจริงๆค่ะ
และแล้วในที่สุดก็เป็นอันจบทริป 3 วัน 2 คืน ที่แพพันวารีย์ เขื่อนเชี่ยวหลานของเราอย่างสวยงาม
ข้อมูลน่ารู้
- ในเขื่อนมีเฉพาะสัญญาณของ AIS เท่านั้น! เครือข่ายอื่นไม่ต้องรอคอยความหวังเลยค่ะ
- สภาพอากาศเขาว่ากันว่า ฝน 8 แดด 4 เพราะฉะนั้นเตรียมใจไปเลยว่าวันที่ไปอาจจะเจอฝนตกตลอดก็ได้ แต่ไม่ต้องกังวลมากค่ะ ฝนมักจะตกปรอยๆ แต่ตกแทบทั้งวัน ช่วงที่เราไป(กลางธันวา) เมฆค่อนข้างหนา ครีมกันแดดไม่ต้องเอาไปก็ได้ ว่ายน้ำตอนเที่ยงได้เลยค่ะ
- คนที่เมาเรือมากๆต้องเตรียมตัวดีนิดนึงค่ะ เพราะที่พักเป็นแพทั้งหมด ทุกอย่างลอยอยู่บนน้ำ ถ้าลมแรงหน่อยก็จะรู้สึกโยงเยงได้ค่ะ (โดยเฉพาะเวลาอาบน้ำ อาบนานๆหน่อยเราก็เริ่มมึนเหมือนกัน)
- ใครกลัวน้ำ ไม่ชอบเล่นน้ำ เตรียมอะไรไปแก้เบื่อก็ได้นะคะ อาจจะถือหนังไปด้วย(ที่พักมีเครื่องเล่นให้ค่ะ) หรือจะเอาหนังสือไปอ่านก็ชิวดีเหมือนกัน
สุดท้ายยยย... ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กระทู้แรกของเราเป็นยังไงบ้าง สามารถติชมได้เลยนะคะ
แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า (ถ้ามีโอกาส) สำหรับวันนี้ สวัสดีค่าาาา