.........ขออนุญาตใช้พื้นที่ระบายความเครียดที่สะสมมาเกือบ 25 ปี หน่อยครับ.........
ปัจจุบัน ผมอายุ 34 ปี ทำงานรับราชการชั้นผู้น้อยอยู่ครับ ผมเกิดในครอบครัวยากจนเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ตามต่างจังหวัดทั่ว ๆ ไปและที่สำคัญ ผมเกิดมาจากความผิดพลาดของ "แม่" ในขณะที่คลอดผมออกมา เขามีอายุ 14 ปี และถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก จาก ตา กับ ยายแต่ไม่เคยได้จาก พ่อ(ที่ไม่เคยเห็นหน้า) และ "แม่" ที่ผมไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันธ์เลย
ตั้งแต่ผมจำความได้ มีแต่ ตา ยาย ลุง ป้า เป็นคนเลี้ยงดูมาตลอด ส่วน แม่ นาน ๆ ผมจะได้เห็นหน้าเขาสักที (อุปนิสัยของแม่ผมเขาจะเป็นคนปากจัด ค่อนข้างจะโกหกเก่ง ฟุ้มเฟื่อยใช้จ่ายแบบไม่เคยประหยัด) เขาไปทำงานในตัวจังหวัด กลับมาหาที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราวช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกได้ว่าโหยหาความรักจากแม่มาก ทุกครั้งที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน ผมจะมีความสุข แต่เขาก็จะพาแฟนใหม่มาที่บ้านบ่อย ๆ นั้นทำให้ความสุขของผมปนไปด้วยความอึดอัด น้อยใจ จนกระทั้งผมเรียนอยู่ชั้นประถม 3 เขาก็กลับมาอยู่บ้าน แล้วก็เอาเงินมาสร้างบ้านใหม่ หลังเล็ก ๆ พร้อมกับแฟนใหม่ของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้กลับมาอยู่นาน เขาทำไปงานโรงงานทำอิฐแถวบ้าน เขาให้ผมเรียกแฟนใหม่เขาว่า พ่อ ตอนนั้นความรู้สึกผมมันกระอักกระอ่วนมาก ไม่อยากเรียก ไม่อยากอยู่บ้าน เหมือนเด็กที่กำลังจะถูกแย่งความรักไป แต่นานเข้าผมก็ชินจน พอผมขึ้น ป.5 ญาติพี่น้องของแม่เริ่มมีปัญหากันเรื่องที่ดิน ตาของผมเลยตัดปัญหา แบ่งที่ดินให้ลูกของตาทั้ง 5 คนเพื่อตัดปัญหาไปเลย (รวมทั้งแม่ผมด้วย) หลังจากได้ที่มา แม่ผมก็ขายให้กับป้าทันที หลังจากได้เงินค่าที่มา แม่ผมก็เอาเงินไปออกรถจักรยานยนต์ เงินที่เหลือ เขาก็ใช้จ่ายไปจนหมด กระทั้งผมจบชั้นมัธยม 2 เขาก็เลิกกัน แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ชีวิตผมช่วงนี้ห้วยแตกมาก ผมรับรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจาก แม่ และ พ่อใหม่ เขาทำงานโรงอิฐ เรียงอิฐเพื่อผมบ้าง ไปกับรถส่งอิฐบ้าง ตอนนั้นเขาเสพยาบ้า (สมัยนั้นยังเรียกยาม้าอยู่) เขาบอกผมว่าจะช่วยให้มีแรงจะได้หาเงินให้ผมไปโรงเรียนได้เยอะ ๆ พฤติกรรมทุกอย่างผมเห็นหมด สมบัติในบ้านผมเริ่มหายไปที่ละชิ้น ตั้งแต่ ทีวี ตู้เย็น รถจักรยานยนต์ นาฬิกาแขวนผนังโบราณที่ตาให้ไว้ จนไม่มีอะไรเลยในบ้าน นอกจากหม้อหุ้งข้าว กับเตาแก๊ส (เขาเคยใช้ผมปั้นจักยานไปซื้อยาบ้าให้เขาเสพด้วยนะ) ตอนนั้นแม่ผมเขาก็ทำงานที่โรงอิฐต่อไปสักพัก แล้วอยู่ดี ๆ เขาก็หายไป....หายไปช่วงที่ผมกำลังจะจบ ม.3 ผมไม่ได้ไปโรงเรียน จนบ้าข้างบ้านสงสัย เขาเลยให้เงินผมวันละ 20 บาท ไปโรงเรียน (ตอนนั้นผมโชคดีมากที่ยังมีญาติพี่น้องดูแล)
จนผมจบ ม.3 จบแบบไม่เห็นหน้าแม่ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ช่วงนั้นผมเคว้งคว้างมาก ไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิต อยากเรียนต่อแต่ก็ไปก็คงหมดโอกาสละ เลยหางานทำ เป็นงานล้างขวดเพชร ได้วันละ 50 บาทกินอยู่กับเขาเสร็จสรรพ ทำได้อยู่ ปีเดียวก็มีคนแนะนำให้ผมไปเรียนโรงเรียนประจำของรัฐ ผมเลยเขาไปสมัครเรียน ช่วงนั้นเริ่มติดต่อกับแม่ได้แล้ว เขาไปมีครอบครัวใหม่ แล้วก็มีลูกเพิ่มอีกคนหนึ่ง ความรู้สึกตอนนั้นผมเฉย ๆ มาก ไม่ได้รับรู้ถึงความดีใจเลยสักนิดที่รู้ว่าเขามีน้อง แต่ผมก็จำเป็นต้องติดต่อกับเขา เพราะผมต้องไปมอบตัวและเซ็นต์สัญญาที่โรงเรียน ผมไปเรียนที่นั้นจนจบ ม.5 ผมก็ย้ายโรงเรียนมาเรียนที่เดิม(ตั้งใจมาเอ็นทรานซ์) ผมทำงานกลางคืนไปด้วย เรียนไปด้วยจนจบ ม.6 ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจนิดหน่อยมีแอบอิจฉาเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียนเหมือนกัน ช่วงนั้นรู้สึกเพลียและเหนื่อยมากกลับมากจากโรงเรียนก็เริ่มงานเลย เลิกตี 1 ตื่น 6 โมงเช้า อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่ก็ถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ จนสอบเอ็นแล้วก็ติดคณะที่อยากเรียน แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ ผมไม่มีเงินทุนในการเข้าเรียนช่วงแรก ถ้าจะกู้ กยศ.ก็คงไม่ทัน ผมเลยตัดสินใจสละสิทธิ แล้วก็ไปสมัครทหารเกณฑ์ เพราะมีคนแนะนำผมว่าจะมีโค้วต้า สำหรับพลทหารเพื่อสอบ นักเรียนนายสิบ
ถึงตอนนี้ ผมใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ส่งเงินให้น้องผมเรียน ส่วนแม่เขามีครอบครัวใหม่ เลยเอาน้องผมมาฝากลูกของป้าผมเลี้ยง (ตั้งแต่ ป.4 จนตอนนี้อยู่ ม.3 แล้ว) เขาก็ทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่แถวรังสิต แล้วก็จะมีปัญหากับที่ทำงานบ่อย ๆ พอมีปัญหาเขาก็ลาออก แล้วก็จะอยู่เฉย ๆ ไม่มีงานทำ สักพักเขาก็จะไปสมัครงานใหม่ ระหว่างที่รองาน เขาก็จะโทรมาขอเงินผมบ้าง ขอเงินลูกของป้าบ้าง วนเวียนอยู่ในรูปแบบนี้มี 4-5 ปีแล้ว จนญาติพี่น้องไม่มีใครใส่ใจ ส่วนตัวผม ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดและเครียดทุกครั้ง ที่แม่ผมโทรมาหา ผมไม่มีความสุขเลย (แต่ลึก ๆ แล้วผมก็เป็นหวงนะ) ครั้งล่าสุดนี้เขาถูกไล่ออกจากงาน เพราะเก็บเงินค่าตั๋วรถแล้วไม่ส่งให้บริษัท แต่โทรมาโกหกผมว่า ลาออกจากงานแล้วนะ เพราะไม่สบายหมอให้หยุดงาน สำหรับน้องผมตอนนี้ผมโดนผลักภาระมาเรียบร้อยแล้วหลังจากจบ ม.3 เขาบอกกับผมว่ามันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องดูแลน้อง
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ที่ใก้ผมระบายมากครับ
แปลกมากไหม...ที่รู้สึกไม่ได้รักแม่
ปัจจุบัน ผมอายุ 34 ปี ทำงานรับราชการชั้นผู้น้อยอยู่ครับ ผมเกิดในครอบครัวยากจนเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ตามต่างจังหวัดทั่ว ๆ ไปและที่สำคัญ ผมเกิดมาจากความผิดพลาดของ "แม่" ในขณะที่คลอดผมออกมา เขามีอายุ 14 ปี และถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก จาก ตา กับ ยายแต่ไม่เคยได้จาก พ่อ(ที่ไม่เคยเห็นหน้า) และ "แม่" ที่ผมไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันธ์เลย
ตั้งแต่ผมจำความได้ มีแต่ ตา ยาย ลุง ป้า เป็นคนเลี้ยงดูมาตลอด ส่วน แม่ นาน ๆ ผมจะได้เห็นหน้าเขาสักที (อุปนิสัยของแม่ผมเขาจะเป็นคนปากจัด ค่อนข้างจะโกหกเก่ง ฟุ้มเฟื่อยใช้จ่ายแบบไม่เคยประหยัด) เขาไปทำงานในตัวจังหวัด กลับมาหาที่บ้านบ้างเป็นครั้งคราวช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกได้ว่าโหยหาความรักจากแม่มาก ทุกครั้งที่เขากลับมาเยี่ยมบ้าน ผมจะมีความสุข แต่เขาก็จะพาแฟนใหม่มาที่บ้านบ่อย ๆ นั้นทำให้ความสุขของผมปนไปด้วยความอึดอัด น้อยใจ จนกระทั้งผมเรียนอยู่ชั้นประถม 3 เขาก็กลับมาอยู่บ้าน แล้วก็เอาเงินมาสร้างบ้านใหม่ หลังเล็ก ๆ พร้อมกับแฟนใหม่ของเขาอีกครั้ง ครั้งนี้กลับมาอยู่นาน เขาทำไปงานโรงงานทำอิฐแถวบ้าน เขาให้ผมเรียกแฟนใหม่เขาว่า พ่อ ตอนนั้นความรู้สึกผมมันกระอักกระอ่วนมาก ไม่อยากเรียก ไม่อยากอยู่บ้าน เหมือนเด็กที่กำลังจะถูกแย่งความรักไป แต่นานเข้าผมก็ชินจน พอผมขึ้น ป.5 ญาติพี่น้องของแม่เริ่มมีปัญหากันเรื่องที่ดิน ตาของผมเลยตัดปัญหา แบ่งที่ดินให้ลูกของตาทั้ง 5 คนเพื่อตัดปัญหาไปเลย (รวมทั้งแม่ผมด้วย) หลังจากได้ที่มา แม่ผมก็ขายให้กับป้าทันที หลังจากได้เงินค่าที่มา แม่ผมก็เอาเงินไปออกรถจักรยานยนต์ เงินที่เหลือ เขาก็ใช้จ่ายไปจนหมด กระทั้งผมจบชั้นมัธยม 2 เขาก็เลิกกัน แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ชีวิตผมช่วงนี้ห้วยแตกมาก ผมรับรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจาก แม่ และ พ่อใหม่ เขาทำงานโรงอิฐ เรียงอิฐเพื่อผมบ้าง ไปกับรถส่งอิฐบ้าง ตอนนั้นเขาเสพยาบ้า (สมัยนั้นยังเรียกยาม้าอยู่) เขาบอกผมว่าจะช่วยให้มีแรงจะได้หาเงินให้ผมไปโรงเรียนได้เยอะ ๆ พฤติกรรมทุกอย่างผมเห็นหมด สมบัติในบ้านผมเริ่มหายไปที่ละชิ้น ตั้งแต่ ทีวี ตู้เย็น รถจักรยานยนต์ นาฬิกาแขวนผนังโบราณที่ตาให้ไว้ จนไม่มีอะไรเลยในบ้าน นอกจากหม้อหุ้งข้าว กับเตาแก๊ส (เขาเคยใช้ผมปั้นจักยานไปซื้อยาบ้าให้เขาเสพด้วยนะ) ตอนนั้นแม่ผมเขาก็ทำงานที่โรงอิฐต่อไปสักพัก แล้วอยู่ดี ๆ เขาก็หายไป....หายไปช่วงที่ผมกำลังจะจบ ม.3 ผมไม่ได้ไปโรงเรียน จนบ้าข้างบ้านสงสัย เขาเลยให้เงินผมวันละ 20 บาท ไปโรงเรียน (ตอนนั้นผมโชคดีมากที่ยังมีญาติพี่น้องดูแล)
จนผมจบ ม.3 จบแบบไม่เห็นหน้าแม่ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน ช่วงนั้นผมเคว้งคว้างมาก ไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิต อยากเรียนต่อแต่ก็ไปก็คงหมดโอกาสละ เลยหางานทำ เป็นงานล้างขวดเพชร ได้วันละ 50 บาทกินอยู่กับเขาเสร็จสรรพ ทำได้อยู่ ปีเดียวก็มีคนแนะนำให้ผมไปเรียนโรงเรียนประจำของรัฐ ผมเลยเขาไปสมัครเรียน ช่วงนั้นเริ่มติดต่อกับแม่ได้แล้ว เขาไปมีครอบครัวใหม่ แล้วก็มีลูกเพิ่มอีกคนหนึ่ง ความรู้สึกตอนนั้นผมเฉย ๆ มาก ไม่ได้รับรู้ถึงความดีใจเลยสักนิดที่รู้ว่าเขามีน้อง แต่ผมก็จำเป็นต้องติดต่อกับเขา เพราะผมต้องไปมอบตัวและเซ็นต์สัญญาที่โรงเรียน ผมไปเรียนที่นั้นจนจบ ม.5 ผมก็ย้ายโรงเรียนมาเรียนที่เดิม(ตั้งใจมาเอ็นทรานซ์) ผมทำงานกลางคืนไปด้วย เรียนไปด้วยจนจบ ม.6 ตอนนั้นรู้สึกน้อยใจนิดหน่อยมีแอบอิจฉาเพื่อนร่วมห้องในชั้นเรียนเหมือนกัน ช่วงนั้นรู้สึกเพลียและเหนื่อยมากกลับมากจากโรงเรียนก็เริ่มงานเลย เลิกตี 1 ตื่น 6 โมงเช้า อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง แต่ก็ถู ๆ ไถ ๆ ไปได้ จนสอบเอ็นแล้วก็ติดคณะที่อยากเรียน แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ ผมไม่มีเงินทุนในการเข้าเรียนช่วงแรก ถ้าจะกู้ กยศ.ก็คงไม่ทัน ผมเลยตัดสินใจสละสิทธิ แล้วก็ไปสมัครทหารเกณฑ์ เพราะมีคนแนะนำผมว่าจะมีโค้วต้า สำหรับพลทหารเพื่อสอบ นักเรียนนายสิบ
ถึงตอนนี้ ผมใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ส่งเงินให้น้องผมเรียน ส่วนแม่เขามีครอบครัวใหม่ เลยเอาน้องผมมาฝากลูกของป้าผมเลี้ยง (ตั้งแต่ ป.4 จนตอนนี้อยู่ ม.3 แล้ว) เขาก็ทำงานเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่แถวรังสิต แล้วก็จะมีปัญหากับที่ทำงานบ่อย ๆ พอมีปัญหาเขาก็ลาออก แล้วก็จะอยู่เฉย ๆ ไม่มีงานทำ สักพักเขาก็จะไปสมัครงานใหม่ ระหว่างที่รองาน เขาก็จะโทรมาขอเงินผมบ้าง ขอเงินลูกของป้าบ้าง วนเวียนอยู่ในรูปแบบนี้มี 4-5 ปีแล้ว จนญาติพี่น้องไม่มีใครใส่ใจ ส่วนตัวผม ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดและเครียดทุกครั้ง ที่แม่ผมโทรมาหา ผมไม่มีความสุขเลย (แต่ลึก ๆ แล้วผมก็เป็นหวงนะ) ครั้งล่าสุดนี้เขาถูกไล่ออกจากงาน เพราะเก็บเงินค่าตั๋วรถแล้วไม่ส่งให้บริษัท แต่โทรมาโกหกผมว่า ลาออกจากงานแล้วนะ เพราะไม่สบายหมอให้หยุดงาน สำหรับน้องผมตอนนี้ผมโดนผลักภาระมาเรียบร้อยแล้วหลังจากจบ ม.3 เขาบอกกับผมว่ามันเป็นหน้าที่ผมที่ต้องดูแลน้อง
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ที่ใก้ผมระบายมากครับ