สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 41
มีเรื่องเกี่ยวกับอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชคือ

ถ้าเราสังเกตุที่หางม้าจะพบว่า "ชี้ขึ้น" ซึ่งเมื่อตอนที่ ศ.ศิลป์ สร้างเสร็จใหม่ๆ มีผู้คัดค้านจำนวนมาก
โดยให้เหตุผลว่า "หางม้าที่ชี้ขึ้น เป็นลักษณะของม้าที่กำลังจะถ่ายอุจาระ จึงไม่เหมาะ อยากให้แก้ให้หางตกเป็นปกติ"
แต่ ศ. ศิลป์ ได้ยกเหตุผลโดยการนำอนุสาวรีย์มากกว่า 5 แบบในโลกมาแย้ง เหตุผลของอาจารย์จึงเป็นที่ยอมรับ
และไม่ต้องแก้แบบ
ป.ล ภาพพระบรมรูปทรงม้า สมเด็จพระปิยะมหาราช (เปรียบเทียบหางม้า)

ถ้าเราสังเกตุที่หางม้าจะพบว่า "ชี้ขึ้น" ซึ่งเมื่อตอนที่ ศ.ศิลป์ สร้างเสร็จใหม่ๆ มีผู้คัดค้านจำนวนมาก
โดยให้เหตุผลว่า "หางม้าที่ชี้ขึ้น เป็นลักษณะของม้าที่กำลังจะถ่ายอุจาระ จึงไม่เหมาะ อยากให้แก้ให้หางตกเป็นปกติ"
แต่ ศ. ศิลป์ ได้ยกเหตุผลโดยการนำอนุสาวรีย์มากกว่า 5 แบบในโลกมาแย้ง เหตุผลของอาจารย์จึงเป็นที่ยอมรับ
และไม่ต้องแก้แบบ
ป.ล ภาพพระบรมรูปทรงม้า สมเด็จพระปิยะมหาราช (เปรียบเทียบหางม้า)

ความคิดเห็นที่ 12
เกร็ดประวัติศาสตร์เล่าสู่กันฟัง......เรื่องมีอยู่ว่า
เมื่ออดีตกาลก่อนนู้น....มีสามเณรสามรูปวัยไล่เรี่ยกัน บวชเรียนพร้อมกัน รูปแรกชื่อสามเณรสิน รูปสองชื่อสามเณรทองด้วง รูปที่สามชื่อสามเณรบุนนาค มีคราหนึ่งสามเณรบุนนาคขึ้นธรรมาสน์เทศน์แหล่มัทรีจนเป็นที่ติดอกติดใจญาติโยม ก่อนเทศน์เสร็จ สามเณรสินก็เลยแกล้งดึงบันไดตรงธรรมมาสน์ไปซ่อน สามเณรบุนนาคไม่ทันระวังรู้ก้าวลงจากธรรมาสน์หัวคะมำลงไปจูบพื้นศาลา เป็นที่อับอายขายหน้าญาติโยม
ต่อมาเมื่อทั้งสามสึกออกมา อดีตสามเณรบุนนาคเอาคืนบ้าง.....บุนนาคแอบมัดผมจุกของอดีตสามเณรสินไว้กับเรือขณะที่สินนอนหลับ พอเรือถูกพายออกไปก็กระตุกผมจุกจนสินเจ็บร้องโอยๆ สินกับบุนนาคเลยเกิดหมางใจไม่กินเส้นกันเรื่อยมา
ใครเลยจะเชื่อว่าเมื่อกาลผ่านไป เด็กสามคนที่มีพื้นเพแตกต่างกันจะได้เป็นใหญ่เป็นโตระดับชาติ บุนนาคมีเชื่อสายแขกเปอร์เชียที่มีทวดรับราชการเป็นขุนนางระดับสูงตั้งแต่สมัยพระเพทราชาจึงอาศัยเส้นสายได้งานทำในวัง ส่วนทองด้วงก็มีญาติๆ ใกล้ชิดกับขุนนางก็พออาศัยได้เป็นข้าราชการเป็นหลวงยกกระบัตรไปอยู่ราชบุรี ส่วนสินเป็นลูกจีนที่เส้นสายอาจจะเล็กกว่าเพื่อนทั้งสองรับราชการจนจับพลัดจับพลูได้ไปดูแลเมืองชายแดนไกลกว่าเพื่อนที่เมืองตาก
อดีตเด็กวัดทั้งสามคนโคจรมาอยู่ใกล้อีกครั้งเมื่อพระเจ้าตาก(สิน)ถูกเรียกตัวกลับมาอยุธยาเพื่อช่วยป้องกันพระนครจากการรุกรานของพม่า สุดท้ายเขาก็ตีฝ่าวงล้อมไปตั้งก๊กของตัวเองที่จันทบุรี ก่อนจะมาปราบพม่าเสียราบคาบที่ค่ายโพธิ์สามต้นแล้วสถานปนาตัวเอกเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยพระองค์ได้รับเอาทองด้วงผู้เป็นเพื่อนแต่วัยเด็กมาช่วยราชการและเลื่อนขั้นตามลำดับ ส่วนบุนนาคนั้น....ยังเกรงว่าเรื่องเก่าๆ ระหว่างเขากับอดีตเด็กที่ชื่อสินยังไม่จบ เขาจึงได้แต่ช่วยโดยไม่ไปยอมถวายตัว และขอร้องไม่ให้ทองด้วงเอ่ยชื่อเขาให้ถึงพระกรรณของพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ต่อเมื่อทองด้วงซึ่งต่อมาคือสมเด็จเจ้าพระยามหาษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิกเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว นายบุนนาคจึงออกหน้ามาช่วยราชการจนเลื่อนขั้นเป็นถึงเจ้าพระยาและเป็นต้นสกุลบุนนาค ที่ต่อมาลูกหลานของสกุลบุนนาคแทบจะกุมอำนาจสยามไว้เกือบทั้งหมดแม้แต่เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ยังต้องย่ำเกรง
เมื่ออดีตกาลก่อนนู้น....มีสามเณรสามรูปวัยไล่เรี่ยกัน บวชเรียนพร้อมกัน รูปแรกชื่อสามเณรสิน รูปสองชื่อสามเณรทองด้วง รูปที่สามชื่อสามเณรบุนนาค มีคราหนึ่งสามเณรบุนนาคขึ้นธรรมาสน์เทศน์แหล่มัทรีจนเป็นที่ติดอกติดใจญาติโยม ก่อนเทศน์เสร็จ สามเณรสินก็เลยแกล้งดึงบันไดตรงธรรมมาสน์ไปซ่อน สามเณรบุนนาคไม่ทันระวังรู้ก้าวลงจากธรรมาสน์หัวคะมำลงไปจูบพื้นศาลา เป็นที่อับอายขายหน้าญาติโยม
ต่อมาเมื่อทั้งสามสึกออกมา อดีตสามเณรบุนนาคเอาคืนบ้าง.....บุนนาคแอบมัดผมจุกของอดีตสามเณรสินไว้กับเรือขณะที่สินนอนหลับ พอเรือถูกพายออกไปก็กระตุกผมจุกจนสินเจ็บร้องโอยๆ สินกับบุนนาคเลยเกิดหมางใจไม่กินเส้นกันเรื่อยมา
ใครเลยจะเชื่อว่าเมื่อกาลผ่านไป เด็กสามคนที่มีพื้นเพแตกต่างกันจะได้เป็นใหญ่เป็นโตระดับชาติ บุนนาคมีเชื่อสายแขกเปอร์เชียที่มีทวดรับราชการเป็นขุนนางระดับสูงตั้งแต่สมัยพระเพทราชาจึงอาศัยเส้นสายได้งานทำในวัง ส่วนทองด้วงก็มีญาติๆ ใกล้ชิดกับขุนนางก็พออาศัยได้เป็นข้าราชการเป็นหลวงยกกระบัตรไปอยู่ราชบุรี ส่วนสินเป็นลูกจีนที่เส้นสายอาจจะเล็กกว่าเพื่อนทั้งสองรับราชการจนจับพลัดจับพลูได้ไปดูแลเมืองชายแดนไกลกว่าเพื่อนที่เมืองตาก
อดีตเด็กวัดทั้งสามคนโคจรมาอยู่ใกล้อีกครั้งเมื่อพระเจ้าตาก(สิน)ถูกเรียกตัวกลับมาอยุธยาเพื่อช่วยป้องกันพระนครจากการรุกรานของพม่า สุดท้ายเขาก็ตีฝ่าวงล้อมไปตั้งก๊กของตัวเองที่จันทบุรี ก่อนจะมาปราบพม่าเสียราบคาบที่ค่ายโพธิ์สามต้นแล้วสถานปนาตัวเอกเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยพระองค์ได้รับเอาทองด้วงผู้เป็นเพื่อนแต่วัยเด็กมาช่วยราชการและเลื่อนขั้นตามลำดับ ส่วนบุนนาคนั้น....ยังเกรงว่าเรื่องเก่าๆ ระหว่างเขากับอดีตเด็กที่ชื่อสินยังไม่จบ เขาจึงได้แต่ช่วยโดยไม่ไปยอมถวายตัว และขอร้องไม่ให้ทองด้วงเอ่ยชื่อเขาให้ถึงพระกรรณของพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ต่อเมื่อทองด้วงซึ่งต่อมาคือสมเด็จเจ้าพระยามหาษัตริย์ศึกได้ปราบดาภิกเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว นายบุนนาคจึงออกหน้ามาช่วยราชการจนเลื่อนขั้นเป็นถึงเจ้าพระยาและเป็นต้นสกุลบุนนาค ที่ต่อมาลูกหลานของสกุลบุนนาคแทบจะกุมอำนาจสยามไว้เกือบทั้งหมดแม้แต่เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ยังต้องย่ำเกรง
ความคิดเห็นที่ 2
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 28/12/2016 (ทุบหม้อข้าว ตีเมืองฯ)
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
วันที่ 28 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากพระองค์ทรงกอบกู้เอกราชให้ไทยจากพม่า
แล้วยกทัพกลับมาตั้งราชธานีใหม่ ณ กรุงธนบุรี ขนานนามว่า "กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร"
และทรงปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2310 ในพระชนมายุ 34 พรรษา
วันนี้เลยจะเล่าถึงกลยุทธการรบอย่างหนึ่งที่มีส่วนสำคัญทำให้เราได้เอกราชมา นั่นคือ
"ทุบหม้อข้าว ตีเมืองจันท์"
เมื่อไทยเสียกรุงครั้งที่ 2 ทัพพม่ามีกำลังและอาวุธมากกว่า พระยาวชิรปราการ (พระเจ้าตาก) จึงนำไพร่พล 500 คน
ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกจากค่ายพิชัย ไปยึดเมืองระยองได้สำเร็จ ระหว่างนั้น ได้เกิดเหตุอัศจรรย์
พายุหมุนอย่างรุนแรงจนบิดต้นตาลเป็นเกลียวโดยไม่คลายตัว ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ตาลขด"
ขณะที่เหล่าเสนาบดี ทหารทั้งหลายก็ยกย่องพระยาวชิรปราการเป็น "เจ้าตาก"
หลังจากนั้น พระเจ้าตาก วางแผนจะเข้ายึดเมืองจันทบูร เพื่อรวบรวมกำลังกลับมาตีพม่า จึงสั่งทหารทุกคนว่า
"เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำวันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเสร็จแล้ว ทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและต่อยหม้อเสียให้หมด
หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้ในค่ำวันนี้ ก็จะให้ได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว"
พระเจ้าตากตีเมืองจันทบุรีได้หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว 2 เดือน ใช้เป็นที่มั่นวางแผน รวบรวมอาวุธ และฝึกไพร่พล
จากนั้นพระเจ้าตากได้ยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเข้าโจมตีข้าศึกที่เมืองธนบุรี
เมื่อพระเจ้าตากยึดเมืองธนบุรีได้แล้ว จึงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา เข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบพม่าจนราบคาบ
จึงสามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้สำเร็จ
ภาพด้านหลังธนบัตร 20 บาท เป็นพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
จำลองจากพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ สวนสาธารณะทุ่งนาเชย อำเภอเมืองจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี
เส้นทางการรบของทัพพระเจ้าตาก
เรื่องการ "ทุบหม้อข้าว ตีเมืองจันท์" นี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่มีมานานแล้วตั้งแต่สมัยก่อนสถาปนาราชวงศ์ฮั่น
เรียกกันว่าเป็นกลยุทธ "ทุบหม้อข้าว จมเรือ"
"ทุบหม้อข้าว จมเรือ" (破釜沉舟 โพ่ฝู่เฉินโจว)
เรื่องคร่าวๆ คือในยุคราชวงศ์ฉินมีการขูดรีดราษฎรอย่างทารุณ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ตกทุกข์ได้ยาก
จึงมีกองกำลังเกิดขึ้นมากมาย ที่เด่นๆ ก็คือ “เซี่ยงหยี่” หรือ “ฌ้อปาอ๋อง” กับ “หลิวปัง” หรือ “เล่าปัง”
ในตอนนี้เป็นเรื่องการรบของเซี่ยงหยี่ค่ะ ช่วงที่ทำศึกต่อต้านฉิน
เรื่องมีอยู่ว่าในคราหนึ่ง เซี่ยงหยี่นำทัพไปบุกกรุงเสียนหยางราชธานีของราชวงศ์ฉิน
ซึ่งกองทัพฉินนั้นมีมากมายกว่าเป็นสิบเท่า คือเซี่ยงหยี่ 2 หมื่น ส่วนทัพฉิน 2 แสน ใครๆ ก็คิดว่าไปไม่กลับแน่ๆ แพ้เห็นๆ
แต่เซี่ยงหยี่เป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว หลังจากยกทัพข้ามแม่น้ำจางเหอไปแล้ว เขาก็สั่งให้ทหารพกเสบียงเท่าที่จะอยู่ได้ 3 วัน
แล้วให้ทุบทำลายหม้อสำหรับการปรุงอาหาร อีกทั้งให้เจาะเรือให้รั่วจมเรือทั้งหมด
เพื่อบีบให้ทหารฉู่ต้องเอาชีวิตรอดด้วยการเอาชนะทัพฉินเท่านั้น เพราะไม่มีเสบียง และไม่มีเรือให้ข้ามน้ำถอยหนีกลับได้
แล้วเซี่ยงหยี่ก็กล่าวปลุกใจกองทัพว่า
"ความเจริญรุ่งเรืองหรือความหายนะของบ้านเมือง ขึ้นอยู่กับการทำศึกครั้งนี้ครั้งเดียว
ต้องเอาชนะให้ได้ แพ้ไม่ได้เป็นอันขาด"
ผลคือกองทัพของเซี่ยงหยี่เปิดฉากสู้รบกับกองทัพฉินที่มีกำลังพลมากกว่าเป็นสิบเท่าอย่างฮึกเหิม ดุเดือด
สู้ถวายหัวอย่างไม่กลัวตาย ยุทธการครั้งนั้นเป็นที่มาของสำนวนว่า "ใช้หนึ่งต้านสิบ” อีกด้วย
เซี่ยงหยี่นำหน้าบุกทะลุที่มั่นศัตรูฆ่าซูเจียว ขุนพลของกองทัพฉินขาดสองท่อนภายในดาบเดียว
คำว่า “ทุบหม้อจมเรือ” จึงได้กลายเป็นสุภาษิตของจีนในเวลาต่อมา หมายถึงว่ายอมสู้ตายไม่ถอย
ขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพประกอบ
http://hilight.kapook.com/view/54795
http://pantip.com/topic/13123244
http://pantip.com/topic/35957446
http://thai.cri.cn/1/2005/11/29/21@57712.htm
http://www.oknation.net/blog/chailasalle/2011/07/06/entry-1
https://www.facebook.com/WipakHistory/photos/pcb.1099290990134370/1099290850134384/?type=3&theater
http://www.iseehistory.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538711097
พี่ cnck ที่เล่าถึงสุภาษิตทุบหม้อข้าวจมเรือ
...........................................................
ในการรบ บางครั้งจำนวนทหารไม่ใช่สิ่งสำคัญ
"สิบต้านหนึ่ง" เกิดขึ้นได้ ถ้าผู้นำกล้าหาญ มีใจองอาจ นักรบไม่กล้วตาย สู้ไม่ถอย และมีความสามัคคีกัน
วันนี้ที่เพลี่ยงพล้ำ ไม่ได้สำคัญไปกว่า "วันข้างหน้า ข้าจะมาทวงคืน"
เจ้าตาก คาราบาว vocal cover by The Mario
ยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ่ ความตั้งใจเด็ดเดี่ยว
มื้อนี้เราจะเคี้ยวข้าว และทุบหม้อข้าว
ตีแหกฝ่าวงล้อม ลุยพม่าข้าศึก
นึกถึงความเป็นไทย ดีกว่าไปเป็นทาส
* สองมือถือดาบอย่างมั่นใจ นักรบไทยของพระเจ้าตาก
ฝากฝังกรุงอยุธยา วันข้างหน้าข้าจะมาทวงคืน ...
https://www.youtube.com/watch?v=EGxmHE4Jw5Q
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้