ก่อนอื่นต้องบอกก่อน เราเป็นแฟนคนหนึ่งของ Star wars นะ แล้วก็ชอบเจ้าหญิงเลอา มากๆ วันนี้ ได้มารู้ข่าวร้ายของ Carrie Fisher รู้สึกเสียใจมาก เพราะเราก็ทราบข่าวแต่แรกแล้วว่าเค้า โคม่า แต่ไม่คิดว่าเค้าจะจากไป เราไปแบบนี้ สุดท้ายแล้ว เรามารำลึก กับ ประวัติของเธอกันดีกว่า
Carrie Fisher
กล่าวลาเจ้าหญิงแห่งสตาร์วอร์ส
เป็นข่าวที่สร้างความช็อกวงการภาพยนตร์ทั่วโลกเป็นอย่างมาก กับการสูญเสียนักแสดงที่ทุกคนรักไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยเฉพาะกับแฟนหนังของ Star Wars เพราะบุคคลนั้นคือ แคร์รี่ ฟิสเชอร์ นักแสดงหญิงที่รับบทบาทเจ้าหญิงเลอา ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันบนเครื่องบินในระหว่างที่เดินทางไปนครลอสแอนเจลิส วันนี้เราจึงขอย้อนมาดูชีวิตของ "เจ้าหญิง" แห่งโลกภาพยนตร์ในยุคสมัยหนึ่งกันบ้าง ว่าชีวิตของเธอเป็นอย่างไร
แคร์รี่ ฟิสเชอร์ เกิดมาในครอบครัวแห่งวงการแสงสีอย่างแท้จริง เพราเธอคือลูกสาวของนักร้องชื่อดัง เอ็ดดี ฟิสเชอร์ และนักแสดงสาว เด็บบี เรย์โนลด์ส โดยแคร์รี่ได้แสดงหนังเรื่องแรกในตอนที่เธออายุ 19 ปี กับหนังเรื่อง Shampoo ที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการด้วยใบหน้าที่สวยงามบวกกับที่เธอเป็นลูกของผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงตอนนั้น จนกระทั่งในปี 1977 กับบทบาทที่ส่งให้เธอเป็นนักแสดงที่ดังที่สุดฮอลลีวูดในช่วงเวลานั้นกับ เจ้าหญิงเลอาในหนัง Star Wars ที่จอร์จ ลูคัส ผู้กำกับ ได้เห็นเทปแคสติ้งของเธอที่แม้จะไร้การเมคอัพและเครื่องแต่งกายเจ้าหญิง แต่แครรี่ก็เล่นออกมาเหมือนกับเจ้าหญิงเลอาจริง ๆ ทำให้ลูคัสเลือกให้เธอรับบทอันยิ่งใหญ่ ที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
ด้วยการแสดงบทที่ถูกขนานว่าเป็นหนึ่งในตัวละครทรงอิทธิพลและดังที่สุดในโลกในเวลานั้น (โดยแชร์กับ ฮัน โซโล, ลุค สกายวอล์คเกอร์ และ ดาร์ธ เวเดอร์) ทำให้ชีวิตของแคร์รี่ ฟิสเชอร์ ถูกจับจ้องอยู่ในแสงไฟ แต่ในเวลานั้นเธอมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้นเอง การขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยอายุเพียง 21 ปีนั้นเป็นเรื่องที่เกินคาดและนับเป็นการเปลี่ยนแปลงในที่ชีวิตที่เธออาจไม่ทันตั้งตัว และบวกกับอายุที่นับว่าไม่เยอะทำให้เกิดปัญหากับชีวิตส่วนตัว เธอมีปัญหากับทางบ้านโดยเฉพาะแม่ของเธอ และประสบปัญหาอาการติดเหล้าตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
จนกระทั่งจบไตรภาค Star Wars ในปี 1983 ชื่อเสียงของฟิสเตอร์ก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง แม้ว่าจะมีงานภาพยนตร์เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก นอกจากภาพยนตร์ชุด Star Wars แล้ว มีหนังเรื่องเดียวที่ดูจะดังที่สุดก็คือ When Harry Met Sally... หนังโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องเยี่ยมของ ร็อบ ไรเนอร์ ที่ฟิสเชอร์รับบทเป็นเพื่อนสุดฮาของนางเอกที่ได้ประกบนางเอกรอมคอมเบอร์หนึ่งในตอนนั้นอย่าง เม็ก ไรอัน ที่หนังได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมและได้ใจจากนักวิจารณ์ไปมากโข
หลังจากฟิสเชอร์ได้หันไปทำหางานเขียนหนังสือวรรณกรรมโดยนิยายกึ่งชีวประวัติ ที่ถ่ายทอดปัญหาของเธอและแม่ในชื่อ Postcards From The Edge พอได้วางขายก็สร้างสถิติติดอันดับขายดีของนิวยอร์ค ไทม์ และยังได้รางวัลนิยายเล่มแรกยอดเยี่ยมจากลอสแอนเจลิสเพ็น อวอร์ดอีกด้วย จากนั้นผลงานติดอันดับขายดีอีก 3 เรื่องก็ตามติดออกมา ได้แก่ Surrender The Pink, Delusions Of Grandma และ The Best Awful
ในปี 1990 ผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง ไมค์ นิโคลล์ สนใจนิยายเรื่อง Postcards From The Edge จึงติดต่อฟิสเชอร์ให้มาดัดแปลงนิยายเป็นบทหนังด้วยตนเองอีกด้วย โดยหนังเรื่องนี้ได้นักแสดงระดับ เมอริล สตรีฟ, ยีน แฮคแมน มาแสดงนำเลยทีเดียว พร้อมกวาดคำชื่นชมไปเพียบจากนักวิจารณ์ แต่ถึงจะได้รับคำชมอย่างไรก็ตาม หนังเรื่อง Postcards From The Edge ก็เป็นผลงานการเขียนบทหนังใหญ่ฉายโรงเพียงเรื่องเดียวของฟิสเชอร์
จนมาถึงในปี 2009 ฟิสเชอร์ได้จัดการแสดงเดี่ยวเพื่อถ่ายทอดชีวิตของเธอให้ผู้คนได้รู้ โดยเป็นการแสดงที่มีนักแสดงเพียงเธอคนเดียว คล้าย ๆ เป็นการเดี่ยวไมโครโฟนไปในตัว ในชื่อโชว์ Wishful Drinking ที่เป็นการหยิบเอาหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองในชื่อเดียวกัน มาดัดแปลงเป็นการแสดงเดี่ยว เพื่อถ่ายทอดชีวิตตั้งแต่จุดเริ่มต้น ได้แสดงด้านที่แตกต่างจากที่คนทั่วไปคุ้นเคยกัน อารมณ์ขันแบบตลกร้ายถูกเล่าและแสดงออกมาอย่างไม่บันยะบันยัง รวมถึงการล้อเลียนตัวละครสุดฮิตที่เธอเคยรับบทอย่าง เจ้าหญิงเลอา และบอกเล่าถึงแง่มุมปัญหาชีวิตทั้งเรื่องปัญหาระหว่างเธอกับแม่ อาการติดเหล้า ปัญหาความเครียดที่เธอต้องกินยาบำบัดจิต
ในช่วงหลัง ๆ เธอกลายเป็นนักพูดยอดนิยมเดินสายไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ เธอปรากฏตัวในงานที่สนับสนุนเงินโดย อีลี่ ลิลี่และบริษัทที่กระตุ้นให้รัฐบาลเพิ่มกองทุนด้านการรักษาโรคให้กับประชาชน จากการที่เธอช่วยงานต่าง ๆ ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมายสำหรับความกล้าและสัญญาที่มีต่อการต่อสู้กับการป่วยทางใจ
จนมาถึงปี 2015 กับการย้อนกลับมารับบทเดิมที่แจ้งเกิดให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกพร้อมกับเพื่อนนักแสดงอีกสองคนอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด และ มาร์ค แฮมิลล์ กับ Star Wars: The Force Awakens ที่ก็ได้เสียงตอบรับอย่างถล่มทลายจากแฟน ๆ ด้วยรายได้มหาศาล จนมาถึงวันที่ต้องลาจากไปจากไม่มีวันกลับอย่างกระทันหัน
สำหรับ Star Wars: Episode VIII ที่จะเข้าฉายในปลายหน้า ในส่วนของบท เจ้าหญิงเลอา มีการเปิดเผยว่าฟิสเชอร์ได้ถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นโชคดีที่อย่างน้อย เราจะยังมีโอกาสผลงานการแสดงของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะไปอยู่ในความทรงจำและดำรงอยู่ในความรู้สึกตลอดไป
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝ่าฝันอุปสรรคชีวิตที่ไม่ง่าย แม้จะอยู่ในจุดสูงสุดมาแล้วก็ตาม
ในฐานะผู้หญิงที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งงานแสดง งานเขียน และนักพูด
ในฐานะ "เจ้าหญิง" แห่งสตาร์วอร์ส ที่จะอยู่ในใจของแฟนหนังตลอดไป
ไม่รู้ว่าผิดกฎหรือเปล่า ที่เอาบทความมาลงแบบนี้ ยังไง เรา
ขออนุญาติ Page : Pyramid Digital
Credit :
https://www.facebook.com/pyramidall/photos/a.1498913520372034.1073741828.1497303403866379/1768982040031846/?type=3&theater
มาลงในที่นี้ด้วยนะค่ะ
ปล. ไม่ทราบว่าใครจะพอรู้เนื้อหา Star War ภาคต่อจากนี้ไหมคะ
รำลึก Carrie Fisher เจ้าหญิงเลอา แห่ง Star wars
Carrie Fisher
กล่าวลาเจ้าหญิงแห่งสตาร์วอร์ส
เป็นข่าวที่สร้างความช็อกวงการภาพยนตร์ทั่วโลกเป็นอย่างมาก กับการสูญเสียนักแสดงที่ทุกคนรักไปอย่างไม่มีวันกลับ โดยเฉพาะกับแฟนหนังของ Star Wars เพราะบุคคลนั้นคือ แคร์รี่ ฟิสเชอร์ นักแสดงหญิงที่รับบทบาทเจ้าหญิงเลอา ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันบนเครื่องบินในระหว่างที่เดินทางไปนครลอสแอนเจลิส วันนี้เราจึงขอย้อนมาดูชีวิตของ "เจ้าหญิง" แห่งโลกภาพยนตร์ในยุคสมัยหนึ่งกันบ้าง ว่าชีวิตของเธอเป็นอย่างไร
แคร์รี่ ฟิสเชอร์ เกิดมาในครอบครัวแห่งวงการแสงสีอย่างแท้จริง เพราเธอคือลูกสาวของนักร้องชื่อดัง เอ็ดดี ฟิสเชอร์ และนักแสดงสาว เด็บบี เรย์โนลด์ส โดยแคร์รี่ได้แสดงหนังเรื่องแรกในตอนที่เธออายุ 19 ปี กับหนังเรื่อง Shampoo ที่ทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการด้วยใบหน้าที่สวยงามบวกกับที่เธอเป็นลูกของผู้มีอิทธิพลในวงการบันเทิงตอนนั้น จนกระทั่งในปี 1977 กับบทบาทที่ส่งให้เธอเป็นนักแสดงที่ดังที่สุดฮอลลีวูดในช่วงเวลานั้นกับ เจ้าหญิงเลอาในหนัง Star Wars ที่จอร์จ ลูคัส ผู้กำกับ ได้เห็นเทปแคสติ้งของเธอที่แม้จะไร้การเมคอัพและเครื่องแต่งกายเจ้าหญิง แต่แครรี่ก็เล่นออกมาเหมือนกับเจ้าหญิงเลอาจริง ๆ ทำให้ลูคัสเลือกให้เธอรับบทอันยิ่งใหญ่ ที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
ด้วยการแสดงบทที่ถูกขนานว่าเป็นหนึ่งในตัวละครทรงอิทธิพลและดังที่สุดในโลกในเวลานั้น (โดยแชร์กับ ฮัน โซโล, ลุค สกายวอล์คเกอร์ และ ดาร์ธ เวเดอร์) ทำให้ชีวิตของแคร์รี่ ฟิสเชอร์ ถูกจับจ้องอยู่ในแสงไฟ แต่ในเวลานั้นเธอมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้นเอง การขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยอายุเพียง 21 ปีนั้นเป็นเรื่องที่เกินคาดและนับเป็นการเปลี่ยนแปลงในที่ชีวิตที่เธออาจไม่ทันตั้งตัว และบวกกับอายุที่นับว่าไม่เยอะทำให้เกิดปัญหากับชีวิตส่วนตัว เธอมีปัญหากับทางบ้านโดยเฉพาะแม่ของเธอ และประสบปัญหาอาการติดเหล้าตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
จนกระทั่งจบไตรภาค Star Wars ในปี 1983 ชื่อเสียงของฟิสเตอร์ก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง แม้ว่าจะมีงานภาพยนตร์เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็เป็นภาพยนตร์ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก นอกจากภาพยนตร์ชุด Star Wars แล้ว มีหนังเรื่องเดียวที่ดูจะดังที่สุดก็คือ When Harry Met Sally... หนังโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องเยี่ยมของ ร็อบ ไรเนอร์ ที่ฟิสเชอร์รับบทเป็นเพื่อนสุดฮาของนางเอกที่ได้ประกบนางเอกรอมคอมเบอร์หนึ่งในตอนนั้นอย่าง เม็ก ไรอัน ที่หนังได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมและได้ใจจากนักวิจารณ์ไปมากโข
หลังจากฟิสเชอร์ได้หันไปทำหางานเขียนหนังสือวรรณกรรมโดยนิยายกึ่งชีวประวัติ ที่ถ่ายทอดปัญหาของเธอและแม่ในชื่อ Postcards From The Edge พอได้วางขายก็สร้างสถิติติดอันดับขายดีของนิวยอร์ค ไทม์ และยังได้รางวัลนิยายเล่มแรกยอดเยี่ยมจากลอสแอนเจลิสเพ็น อวอร์ดอีกด้วย จากนั้นผลงานติดอันดับขายดีอีก 3 เรื่องก็ตามติดออกมา ได้แก่ Surrender The Pink, Delusions Of Grandma และ The Best Awful
ในปี 1990 ผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง ไมค์ นิโคลล์ สนใจนิยายเรื่อง Postcards From The Edge จึงติดต่อฟิสเชอร์ให้มาดัดแปลงนิยายเป็นบทหนังด้วยตนเองอีกด้วย โดยหนังเรื่องนี้ได้นักแสดงระดับ เมอริล สตรีฟ, ยีน แฮคแมน มาแสดงนำเลยทีเดียว พร้อมกวาดคำชื่นชมไปเพียบจากนักวิจารณ์ แต่ถึงจะได้รับคำชมอย่างไรก็ตาม หนังเรื่อง Postcards From The Edge ก็เป็นผลงานการเขียนบทหนังใหญ่ฉายโรงเพียงเรื่องเดียวของฟิสเชอร์
จนมาถึงในปี 2009 ฟิสเชอร์ได้จัดการแสดงเดี่ยวเพื่อถ่ายทอดชีวิตของเธอให้ผู้คนได้รู้ โดยเป็นการแสดงที่มีนักแสดงเพียงเธอคนเดียว คล้าย ๆ เป็นการเดี่ยวไมโครโฟนไปในตัว ในชื่อโชว์ Wishful Drinking ที่เป็นการหยิบเอาหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองในชื่อเดียวกัน มาดัดแปลงเป็นการแสดงเดี่ยว เพื่อถ่ายทอดชีวิตตั้งแต่จุดเริ่มต้น ได้แสดงด้านที่แตกต่างจากที่คนทั่วไปคุ้นเคยกัน อารมณ์ขันแบบตลกร้ายถูกเล่าและแสดงออกมาอย่างไม่บันยะบันยัง รวมถึงการล้อเลียนตัวละครสุดฮิตที่เธอเคยรับบทอย่าง เจ้าหญิงเลอา และบอกเล่าถึงแง่มุมปัญหาชีวิตทั้งเรื่องปัญหาระหว่างเธอกับแม่ อาการติดเหล้า ปัญหาความเครียดที่เธอต้องกินยาบำบัดจิต
ในช่วงหลัง ๆ เธอกลายเป็นนักพูดยอดนิยมเดินสายไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ เธอปรากฏตัวในงานที่สนับสนุนเงินโดย อีลี่ ลิลี่และบริษัทที่กระตุ้นให้รัฐบาลเพิ่มกองทุนด้านการรักษาโรคให้กับประชาชน จากการที่เธอช่วยงานต่าง ๆ ทำให้เธอได้รับรางวัลมากมายสำหรับความกล้าและสัญญาที่มีต่อการต่อสู้กับการป่วยทางใจ
จนมาถึงปี 2015 กับการย้อนกลับมารับบทเดิมที่แจ้งเกิดให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกพร้อมกับเพื่อนนักแสดงอีกสองคนอย่าง แฮร์ริสัน ฟอร์ด และ มาร์ค แฮมิลล์ กับ Star Wars: The Force Awakens ที่ก็ได้เสียงตอบรับอย่างถล่มทลายจากแฟน ๆ ด้วยรายได้มหาศาล จนมาถึงวันที่ต้องลาจากไปจากไม่มีวันกลับอย่างกระทันหัน
สำหรับ Star Wars: Episode VIII ที่จะเข้าฉายในปลายหน้า ในส่วนของบท เจ้าหญิงเลอา มีการเปิดเผยว่าฟิสเชอร์ได้ถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นโชคดีที่อย่างน้อย เราจะยังมีโอกาสผลงานการแสดงของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะไปอยู่ในความทรงจำและดำรงอยู่ในความรู้สึกตลอดไป
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ฝ่าฝันอุปสรรคชีวิตที่ไม่ง่าย แม้จะอยู่ในจุดสูงสุดมาแล้วก็ตาม
ในฐานะผู้หญิงที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งงานแสดง งานเขียน และนักพูด
ในฐานะ "เจ้าหญิง" แห่งสตาร์วอร์ส ที่จะอยู่ในใจของแฟนหนังตลอดไป
ไม่รู้ว่าผิดกฎหรือเปล่า ที่เอาบทความมาลงแบบนี้ ยังไง เรา
ขออนุญาติ Page : Pyramid Digital
Credit : https://www.facebook.com/pyramidall/photos/a.1498913520372034.1073741828.1497303403866379/1768982040031846/?type=3&theater
มาลงในที่นี้ด้วยนะค่ะ
ปล. ไม่ทราบว่าใครจะพอรู้เนื้อหา Star War ภาคต่อจากนี้ไหมคะ