ประสบการณ์กับภาพยนตร์ Passengers ที่เมเจอร์ สยามพารากอน
เมื่อวันอังคารที่ 20 ธ.ค. 59 เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมกับภรรยาได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง Passengers ของค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน เนื่องจากเป็น “ผู้โชคดี” ได้รับบัตรชมภาพยนตร์ 2 ใบ จากการลงทะเบียนในเคมเปญ “หนังดี... ดูฟรี ส่งท้ายปี” ของบริษัทบางจาก ทำให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง จึงอยากแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รับทราบกัน
ภายหลังจากที่ได้รับบัตรชมภาพยนตร์ 2 ใบ จากเจ้าหน้าที่บางจากบริเวณหน้าโรงหนังแล้ว ก็รอเวลาใกล้ 2 ทุ่ม ซึ่งเป็นรอบฉายของหนัง จึงเดินไปที่บริเวณทางเข้าโรงหนังเช่นเดียวกับผู้ชมภาพยนตร์คนอื่นๆ ที่ก็ได้รับบัตรเช่นกัน จึงพบว่าผู้ชมทุกคนจะต้องถูกยึดโทรศัพท์มือถือ และมีการตรวจค้นกระเป๋าและตรวจค้นตัว โดยใช้มือและเครื่องตรวจจับโลหะอย่างเข้มงวดทุกคน ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเพื่อความปลอดภัย ทั้งๆ ที่ก็ตะหงิดใจว่าไม่เคยเห็นโรงหนังที่ไหนตรวจเข้มมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ปัญหาอยู่ที่ว่าผมและภรรยาไม่เคยได้รับการแจ้งหรือบอกกล่าวจากเจ้าหน้าที่หรือเอกสารของเคมเปญนี้จากบริษัทบางจากเลยว่าจะต้องถูกตรวจยึดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าชมภาพยนตร์ เราจึงบอกกับเจ้าหน้าที่บริเวณทางเข้าโรงหนังว่าจะไม่ยอมให้ยึดโทรศัพท์มือถือ ทำให้ต้องพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า เป็นนโยบายของทางค่ายหนัง โซนี่ พิคเจอร์ส ที่จะต้องยึดโทรศัพท์ของผู้ที่จะเข้าชมภาพยตร์ เนื่องจากต้องการป้องกันการลักลอบถ่ายวีดิโอ โดยเฉพาะในรอบฉายรอบปฐมทัศน์ ซึ่งเรื่องนี้ฉายก่อนในอเมริกา (เข้าใจว่า 1 วัน) ซึ่งหากผู้ชมไม่ยินยอมก็ไม่อนุญาตให้เข้าโรงหนังได้
จริงๆ แล้ว การที่จะยึดหรือไม่ยึดโทรศัพท์ของผู้ชมก็อาจเป็นสิทธิของเจ้าของค่ายหนังที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผมและภรรยาตั้งใจมาดูหนังด้วยใจสุจริต ไม่ได้คิดจะมาลักลอบถ่ายหนังของใคร จึงไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นอาชญากร และเห็นว่าโทรศัพท์มือถือเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลที่มีข้อมูลส่วนตัวอยู่มากมาย ไม่พร้อมที่จะให้ใครซึ่งไม่รู้จักมายึดไป แม้จะเป็นเพียง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ตาม อีกทั้งเรายังต้องการเปิดรับการติดต่อในกรณีฉุกเฉินทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ซึ่งก็จะใช้ระบบสั่นที่ไม่ได้เป็นการรบกวนใครแต่อย่างใดในระหว่างชมภาพยนตร์ ผมและภรรยามีความรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกเมื่อบอกกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ถ้าไม่ได้เข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจะเป็นคนที่เสียประโยขน์ เนื่องจากถูกตัดคะแนนในบัตรสมาชิกบางจากไปแล้ว (แม้ว่า “โชคดี” แล้วแต่ก็ยังต้องเสียคะแนนสะสมด้วยส่วนหนึ่ง) เจ้าหน้าที่ก็เลยตอกกลับมาในทันทีว่า ตั๋วหนังที่เรากำลังถืออยู่เป็นตั๋วฟรีที่ทางโรงหนังมอบให้กับบริษัทบางจาก และพูดในทำนองให้ผมกับภรรยารู้สึกว่า “ได้ตั๋วฟรีมาแล้ว อย่าเรื่องมาก” และเมื่อเราบอกว่า ไม่มีใครบอกเราล่วงหน้าเลยว่าต้องถูกยึดโทรศัพท์มือถือแม้ตอนที่ไปรับบัตรบริเวณหน้าโรง ก็ถูกตอกกลับมาในทันทีว่า เจ้าหน้าที่ตรงนั้นเขาต้องบอก ถ้าไม่แน่ใจให้เดินกลับไปถามเขาอีกที (ซึ่งจุดที่รับบัตรกับจุดที่จะเข้าโรงหนังนั้นอยู่คนละชั้นกัน) และเจ้าหน้าที่เองก็พูดให้เรารู้สึกว่า เราเองเป็นฝ่ายโกหกเขาว่าไม่มีใครบอกว่าจะต้องถูกยึดโทรศัพท์ สุดท้ายเรายืนยันจะกลับ เพราะไม่ต้องการถูกยึดโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่ที่กำลังคุยอยู่ด้วย ก็บอก “ไม่เป็นไร” ทำให้เรารู้สึกว่า หรือเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตรงนั้นรู้สึกว่า เราไม่ได้เป็นลูกค้าที่มาชมภาพยนตร์ แต่เป็นแค่เพียงคนได้รับตั๋วหนังฟรีมา จึงปฏิบัติกับเราในแบบที่ไม่มีเซอร์วิสมายด์เลยแม้แต่น้อย
ก่อนกลับผมกับภรรยามาแวะที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วของเมเจอร์เพื่อขอคุยกับผู้จัดการโรงหนัง เพื่อแจ้งให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เด็กที่ให้บริการอยู่ตรงนั้นให้บริการดีมาก โดยต่อสายให้ผู้จัดการซึ่งขณะนั้นอยู่ข้างนอกให้ได้คุยกัน ผมแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และสงสัยว่าทำไมทางเมเจอร์ไม่แจ้งข้อมูลให้กับทางบางจากว่าลูกค้าจะต้องถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวดและถูกตรวจยึดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าชมภาพยนตร์ ซึ่งถ้าผมทราบในเงื่อนไขนี้ก็จะได้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมรายการ ซึ่งก็จะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับและเสียเวลารอรอบหนังรวมเกือบ 5 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถและค่าอาหารมื้อเย็นนอกบ้านในวันนั้น และที่สำคัญที่สุดก็จะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกกับบริษัทบางจากที่ออกเคมเปญหวังสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า แต่กลับกลายเป็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง จะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกกับค่ายหนังโซนี่ พิคเจอร์สที่ปฏิบัติต่อผู้ชมในรอบดังกล่าวที่ทำให้เข้าใจได้ว่าบริษัทมีมุมมองว่าคนไทยเป็นคนไม่ซื่อตรง ไม่ต้องเสียความรู้สึกกับโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสดๆ ร้อนๆ ที่ลูกค้าเพิ่งประสบมาได้เลย เพราะภายหลังจากที่ผมพูดคุยกับผู้จัดการโรงหนังผ่านโทรศัพท์มือถืออยู่นานร่วมครึ่งชั่วโมง และสุดท้ายเราปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้ชมภาพยนตร์เรื่องอื่นที่กำลังฉายอยู่แทน เนื่องจากผมและภรรยาไม่อยู่ในอารมณ์จะดูหนังเรื่องใดๆ แล้วในเวลานั้น ผู้จัดการโรงหนังก็ทำได้แค่เพียงบอกให้เด็กหน้าเคาน์เตอร์บอกให้ผมโทรหาที่เบอร์ของเด็กคนนั้นเมื่อมาที่นี่อีกในวันหน้า แต่ให้โทรหาเพื่ออะไร ไม่อาจทราบได้เนื่องจากไม่ได้รับการบอกกล่าวอะไรไปมากกว่านั้น
อันที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตรรกะสักเท่าไหร่หรอกเมื่อผู้จัดการโรงหนังบอกมาว่า ทางเมเจอร์ไม่อาจทราบได้ว่าหนังเข้าใหม่เรื่องใดบ้างที่จะต้องมีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ชม เนื่องจากไม่ได้เป็นไปในลักษณะดังกล่าวทุกเรื่อง และค่ายหนังก็ไม่ได้แจ้งให้กับทางโรงหนังได้ทราบ จึงทำให้ไม่สามารถแจ้งให้กับทางบางจาก เพื่อแจ้งให้กับลูกค้าทราบล่วงหน้าได้ ทั้งๆ ที่การตรวจค้นและยึดโทรศัพท์ดำเนินการอยู่ในพื้นที่ของโรงภาพยนตร์เมเจอร์ และวิธีการปฏิบัติดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้น ผมจึงสรุปเอาเองตามข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้ (20 ธ.ค.) ว่า ถ้าผู้ชมภาพยนตร์คนใดไม่สามารถรับเงื่อนไขที่จะต้องถูกยึดโทรศัพท์มือถือไว้กับกลุ่มคนที่เราไม่รู้จักได้ ก็ไม่ควรมาชมภาพยนตร์ในรอบแรกๆ ของการฉาย โดยเฉพาะภาพยนตร์จากค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส หรือที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงที่จะเจอกับประสบการณ์แย่ๆ อย่างนี้ ที่แม้ไม่อยากจะจดจำ แต่ก็คงอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน
การยึดโทรศัพท์มือถือหน้าโรงหนัง
เมื่อวันอังคารที่ 20 ธ.ค. 59 เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ผมกับภรรยาได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์เรื่อง Passengers ของค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน เนื่องจากเป็น “ผู้โชคดี” ได้รับบัตรชมภาพยนตร์ 2 ใบ จากการลงทะเบียนในเคมเปญ “หนังดี... ดูฟรี ส่งท้ายปี” ของบริษัทบางจาก ทำให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง จึงอยากแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รับทราบกัน
ภายหลังจากที่ได้รับบัตรชมภาพยนตร์ 2 ใบ จากเจ้าหน้าที่บางจากบริเวณหน้าโรงหนังแล้ว ก็รอเวลาใกล้ 2 ทุ่ม ซึ่งเป็นรอบฉายของหนัง จึงเดินไปที่บริเวณทางเข้าโรงหนังเช่นเดียวกับผู้ชมภาพยนตร์คนอื่นๆ ที่ก็ได้รับบัตรเช่นกัน จึงพบว่าผู้ชมทุกคนจะต้องถูกยึดโทรศัพท์มือถือ และมีการตรวจค้นกระเป๋าและตรวจค้นตัว โดยใช้มือและเครื่องตรวจจับโลหะอย่างเข้มงวดทุกคน ซึ่งตอนแรกก็เข้าใจว่าเพื่อความปลอดภัย ทั้งๆ ที่ก็ตะหงิดใจว่าไม่เคยเห็นโรงหนังที่ไหนตรวจเข้มมากเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต ปัญหาอยู่ที่ว่าผมและภรรยาไม่เคยได้รับการแจ้งหรือบอกกล่าวจากเจ้าหน้าที่หรือเอกสารของเคมเปญนี้จากบริษัทบางจากเลยว่าจะต้องถูกตรวจยึดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าชมภาพยนตร์ เราจึงบอกกับเจ้าหน้าที่บริเวณทางเข้าโรงหนังว่าจะไม่ยอมให้ยึดโทรศัพท์มือถือ ทำให้ต้องพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่า เป็นนโยบายของทางค่ายหนัง โซนี่ พิคเจอร์ส ที่จะต้องยึดโทรศัพท์ของผู้ที่จะเข้าชมภาพยตร์ เนื่องจากต้องการป้องกันการลักลอบถ่ายวีดิโอ โดยเฉพาะในรอบฉายรอบปฐมทัศน์ ซึ่งเรื่องนี้ฉายก่อนในอเมริกา (เข้าใจว่า 1 วัน) ซึ่งหากผู้ชมไม่ยินยอมก็ไม่อนุญาตให้เข้าโรงหนังได้
จริงๆ แล้ว การที่จะยึดหรือไม่ยึดโทรศัพท์ของผู้ชมก็อาจเป็นสิทธิของเจ้าของค่ายหนังที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ผมและภรรยาตั้งใจมาดูหนังด้วยใจสุจริต ไม่ได้คิดจะมาลักลอบถ่ายหนังของใคร จึงไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นอาชญากร และเห็นว่าโทรศัพท์มือถือเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลที่มีข้อมูลส่วนตัวอยู่มากมาย ไม่พร้อมที่จะให้ใครซึ่งไม่รู้จักมายึดไป แม้จะเป็นเพียง 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ตาม อีกทั้งเรายังต้องการเปิดรับการติดต่อในกรณีฉุกเฉินทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ซึ่งก็จะใช้ระบบสั่นที่ไม่ได้เป็นการรบกวนใครแต่อย่างใดในระหว่างชมภาพยนตร์ ผมและภรรยามีความรู้สึกแย่มากขึ้นไปอีกเมื่อบอกกับเจ้าหน้าที่ไปว่า ถ้าไม่ได้เข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมจะเป็นคนที่เสียประโยขน์ เนื่องจากถูกตัดคะแนนในบัตรสมาชิกบางจากไปแล้ว (แม้ว่า “โชคดี” แล้วแต่ก็ยังต้องเสียคะแนนสะสมด้วยส่วนหนึ่ง) เจ้าหน้าที่ก็เลยตอกกลับมาในทันทีว่า ตั๋วหนังที่เรากำลังถืออยู่เป็นตั๋วฟรีที่ทางโรงหนังมอบให้กับบริษัทบางจาก และพูดในทำนองให้ผมกับภรรยารู้สึกว่า “ได้ตั๋วฟรีมาแล้ว อย่าเรื่องมาก” และเมื่อเราบอกว่า ไม่มีใครบอกเราล่วงหน้าเลยว่าต้องถูกยึดโทรศัพท์มือถือแม้ตอนที่ไปรับบัตรบริเวณหน้าโรง ก็ถูกตอกกลับมาในทันทีว่า เจ้าหน้าที่ตรงนั้นเขาต้องบอก ถ้าไม่แน่ใจให้เดินกลับไปถามเขาอีกที (ซึ่งจุดที่รับบัตรกับจุดที่จะเข้าโรงหนังนั้นอยู่คนละชั้นกัน) และเจ้าหน้าที่เองก็พูดให้เรารู้สึกว่า เราเองเป็นฝ่ายโกหกเขาว่าไม่มีใครบอกว่าจะต้องถูกยึดโทรศัพท์ สุดท้ายเรายืนยันจะกลับ เพราะไม่ต้องการถูกยึดโทรศัพท์ เจ้าหน้าที่ที่กำลังคุยอยู่ด้วย ก็บอก “ไม่เป็นไร” ทำให้เรารู้สึกว่า หรือเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตรงนั้นรู้สึกว่า เราไม่ได้เป็นลูกค้าที่มาชมภาพยนตร์ แต่เป็นแค่เพียงคนได้รับตั๋วหนังฟรีมา จึงปฏิบัติกับเราในแบบที่ไม่มีเซอร์วิสมายด์เลยแม้แต่น้อย
ก่อนกลับผมกับภรรยามาแวะที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วของเมเจอร์เพื่อขอคุยกับผู้จัดการโรงหนัง เพื่อแจ้งให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เด็กที่ให้บริการอยู่ตรงนั้นให้บริการดีมาก โดยต่อสายให้ผู้จัดการซึ่งขณะนั้นอยู่ข้างนอกให้ได้คุยกัน ผมแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และสงสัยว่าทำไมทางเมเจอร์ไม่แจ้งข้อมูลให้กับทางบางจากว่าลูกค้าจะต้องถูกตรวจค้นอย่างเข้มงวดและถูกตรวจยึดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าชมภาพยนตร์ ซึ่งถ้าผมทราบในเงื่อนไขนี้ก็จะได้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมรายการ ซึ่งก็จะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับและเสียเวลารอรอบหนังรวมเกือบ 5 ชั่วโมง ไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถและค่าอาหารมื้อเย็นนอกบ้านในวันนั้น และที่สำคัญที่สุดก็จะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกกับบริษัทบางจากที่ออกเคมเปญหวังสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า แต่กลับกลายเป็นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง จะได้ไม่ต้องเสียความรู้สึกกับค่ายหนังโซนี่ พิคเจอร์สที่ปฏิบัติต่อผู้ชมในรอบดังกล่าวที่ทำให้เข้าใจได้ว่าบริษัทมีมุมมองว่าคนไทยเป็นคนไม่ซื่อตรง ไม่ต้องเสียความรู้สึกกับโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สยามพารากอน ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสดๆ ร้อนๆ ที่ลูกค้าเพิ่งประสบมาได้เลย เพราะภายหลังจากที่ผมพูดคุยกับผู้จัดการโรงหนังผ่านโทรศัพท์มือถืออยู่นานร่วมครึ่งชั่วโมง และสุดท้ายเราปฏิเสธข้อเสนอที่จะให้ชมภาพยนตร์เรื่องอื่นที่กำลังฉายอยู่แทน เนื่องจากผมและภรรยาไม่อยู่ในอารมณ์จะดูหนังเรื่องใดๆ แล้วในเวลานั้น ผู้จัดการโรงหนังก็ทำได้แค่เพียงบอกให้เด็กหน้าเคาน์เตอร์บอกให้ผมโทรหาที่เบอร์ของเด็กคนนั้นเมื่อมาที่นี่อีกในวันหน้า แต่ให้โทรหาเพื่ออะไร ไม่อาจทราบได้เนื่องจากไม่ได้รับการบอกกล่าวอะไรไปมากกว่านั้น
อันที่จริงผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจตรรกะสักเท่าไหร่หรอกเมื่อผู้จัดการโรงหนังบอกมาว่า ทางเมเจอร์ไม่อาจทราบได้ว่าหนังเข้าใหม่เรื่องใดบ้างที่จะต้องมีการตรวจยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ชม เนื่องจากไม่ได้เป็นไปในลักษณะดังกล่าวทุกเรื่อง และค่ายหนังก็ไม่ได้แจ้งให้กับทางโรงหนังได้ทราบ จึงทำให้ไม่สามารถแจ้งให้กับทางบางจาก เพื่อแจ้งให้กับลูกค้าทราบล่วงหน้าได้ ทั้งๆ ที่การตรวจค้นและยึดโทรศัพท์ดำเนินการอยู่ในพื้นที่ของโรงภาพยนตร์เมเจอร์ และวิธีการปฏิบัติดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ดังนั้น ผมจึงสรุปเอาเองตามข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้รับในวันนี้ (20 ธ.ค.) ว่า ถ้าผู้ชมภาพยนตร์คนใดไม่สามารถรับเงื่อนไขที่จะต้องถูกยึดโทรศัพท์มือถือไว้กับกลุ่มคนที่เราไม่รู้จักได้ ก็ไม่ควรมาชมภาพยนตร์ในรอบแรกๆ ของการฉาย โดยเฉพาะภาพยนตร์จากค่ายโซนี่ พิคเจอร์ส หรือที่โรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ จะได้ไม่ต้องเสี่ยงที่จะเจอกับประสบการณ์แย่ๆ อย่างนี้ ที่แม้ไม่อยากจะจดจำ แต่ก็คงอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน