"2 ชนชาติที่ดำเนินในความมืด จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน แห่งเงามัจจุราช สว่างจะได้ส่องมาบนเขา
3 พระองค์จะได้ทรงทวีชนในประชาชาตินั้นขึ้น พระองค์จะทรงเพิ่มความชื่นบานของเขา เขาทั้งหลายจะเปรมปรีดิ์ต่อพระพักตร์พระองค์ ดั่งด้วยความชื่นบานเมื่อฤดูเกี่ยวเก็บ ดั่งคนเปรมปรีดิ์เมื่อเขาแบ่งของริบมานั้นแก่กัน
4 เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขาก็ดี ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี พระองค์จะทรงหักเสียอย่างในวันของคนมีเดียน
5 เพราะรองเท้าทุกคู่ที่กระทืบไป อย่างสั่นสะเทือน และเสื้อคลุมทุกตัวที่เกลือกอยู่ในโลหิต จะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ
6 ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า 'ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช'
7 เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด เหนือพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ ที่จะสถาปนาไว้ และเชิดชูไว้ ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้"
(อิสยาห์ 9:2-7)
เรื่องราวของวันคริสมาสต์ เป็นเรื่องราวของพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นด้วยความรักของพระองค์ แต่มนุษย์ได้ทำบาปต่อพระเจ้า และปฏิเสธพระองค์ มนุษย์และลูกหลานของมนุษย์จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้าเพราะบาปที่ตนเองได้กระทำ มนุษย์กลับกลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับมนุษย์ด้วยกันเอง หรือแม้แต่เป็นศัตรูกับตัวเอง ความบาปที่มนุษย์กระทำ ได้ทำให้มนุษย์กลับกลายเป็นทาส ดำเนินชีวิตในความมืด และสุดท้ายก็นำมนุษย์ไปสู่ความพินาศ ความตาย และ การตกนรกบึงไฟชั่วนิจนิรันดร์เมื่อตายจากโลกนี้ไป
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มนุษย์ได้สร้างศาสนาและปรัชญาต่างๆ และพระเจ้าเทียมเท็จต่างๆขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของตน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะช่วยมนุษย์ได้เลย เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เพราะความบาปที่ตนเองกระทำ และความบาปนี้ก็ไม่สามารถลบล้างได้
น่าแปลกในที่พระเจ้าเทียมเท็จต่างๆ ศาสนา และหลักปรัชญาเกือบทั้งหมดที่มนุษย์สร้างขึ้น ถ้าไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เลย ก็มักจะมีแนวคิดในเรื่องนี้ว่า ความบาปทั้งสิ้นที่มนุษย์ทำนั้น มนุษย์เองสามารถลบล้างหรือทำให้หมดไปได้ อาจจะด้วยความดี ด้วยการกระทำดี ด้วยเงินทอง หรือด้วยสิ่งของต่างๆ
แต่ถ้าความบาป หรือความชั่วลบล้างด้วยความดีได้จริงแล้ว ความดีก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย และความบาปก็จะไม่เป็นความบาปอีกต่อไป สุดท้ายทั้งความดี และความชั่ว ก็จะกลายเป็นแค่เรื่องไร้สาระที่ว่างเปล่าไปเท่านั้น ... ความดีที่เราเคยทำได้ 10 ครั้งเมื่อวานนี้ อาจจะเหลือแค่ 0 ในวันนี้ หรือ ความชั่วที่เราเคยทำไว้ 5 ครั้งเมื่อวานนี้ วันนี้อาจจะเหลือแค่ 2 เท่านั้น บวก ลบกันไปในแต่ละวัน ... ใครที่ไม้ได้เรียนเลข คิดเลขผิด หรือ คำนวณไม่เป็น ก็อาจจะไม่สามารถลบล้างความบาปได้หมด ... ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดขึ้นตามความฉลาดของเรา ... ??? และในบางครั้งก็เลยเถิดไปถึงการใช้เงินทอง หรือสิ่งอื่น เพื่อลบล้างความผิดบาป ... นั่นก็เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดขึ้นตามความฉลาดของเราเหมือนกัน ... ???
แต่พระเจ้าตรัสว่า ... โทษเพียงอย่างเดียวของความบาปนั้นคือความตาย จะลบล้างด้วยอย่างอื่นไม่ได้เลย ... แม้ว่าจะด้วยการกระทำดี เงินทอง หรือ สิ่งของอื่น ... แม้แต่คุณความดีของพระเจ้าก็ลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ไม่ได้เช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจแก้ไขได้อย่างนั้นหรือ ?
แต่เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ และพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความพินาศนี้ พระองค์จึงทรงทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ... พระเจ้าได้ทรงเสด็จเข้ามาในโลก และบังเกิดเป็นมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะตายบนไม้กางเขนเพื่อชดใช้โทษบาปของมนุษย์ทุกคนด้วยความตายของพระองค์บนไม้กางเขน และโดยความตายของพระองค์ พระเจ้าได้รับเอาความผิดบาปทั้งสิ้นของเราไป ถ้าเราเชื่อวางใจในพระองค์ เราก็จะได้รับการอภัยบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์
เรื่องนี้มนุษย์หลายคนหัวเราะเยาะ และถือเป็นเรื่องโง่ หลายคนไม่เข้าใจว่า ความตายของคนเพียงคนเดียวคือพระเยซู จะลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ทุกคนได้อย่างไร ... อันที่จริงพวกเขาก็เข้าใจถูกอยู่บ้าง คือ ถ้าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์คนนึง เรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆตามที่พวกเขาเข้าใจ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงๆแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสนใจให้มากทีเดียว เพราะเรารู้อยู่ว่าเจ้าหนี้คนหนึ่ง ถ้าเขามีใจเมตตา ก็สามารถยกหนี้ให้กับลูกหนี้ทุกคนที่เป็นหนี้เขาอยู่ได้ฉันใด ... พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ที่มีความรักเมตตา ก็สามารถยกโทษบาปให้แก่มนุษย์ทุกคนที่ทำบาปต่อพระองค์ได้ฉันนั้น และเจ้าหนี้คนหนึ่งชดใช้เงินทั้งหมดของตนให้ลูกหนี้ทุกคนของตนได้อย่างไร พระเจ้าหนึ่งเดียวก็ทรงชดใช้ความตายของพระองค์เพื่อมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาปได้ฉันนั้น
คริสต์มาสนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราทั้งหลายจะทราบข่าวดี ว่าพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าได้ทรงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อนำแสงส่วาง ความชื่นชมยินดี และนำสันติสุขมาสู่ชีวิตของเรา ทรงกระทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง ขอพระเจ้าทรงอวยพรและประทานความเข้าใจในพระวจนะของพระองค์แก่เรา ขอทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะของพระองค์
ถ้าหากท่านอยากรู้จักพระเยซู ขอให้ท่านสงบใจและอธิษฐานตามข้อความเหล่านี้
"องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้าต้องการพระองค์ ข้าพเจ้าขอเปิดประตูใจของข้าพเจ้า ต้อนรับเอาพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมรับกับพระองค์ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป และขอสารภาพความผิดบาปทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงโปรดอภัยโทษบาปผิดให้ข้าพเจ้าแล้ว และได้โปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่ข้าพเจ้า ขอได้โปรดครอบครองชีวิตของข้าพเจ้า และกระทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นไปตามแนวทางของพระองค์เถิด อธิษฐานทูลขอในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน"
วันคริสต์มาส - ของขวัญจากพระเจ้า
3 พระองค์จะได้ทรงทวีชนในประชาชาตินั้นขึ้น พระองค์จะทรงเพิ่มความชื่นบานของเขา เขาทั้งหลายจะเปรมปรีดิ์ต่อพระพักตร์พระองค์ ดั่งด้วยความชื่นบานเมื่อฤดูเกี่ยวเก็บ ดั่งคนเปรมปรีดิ์เมื่อเขาแบ่งของริบมานั้นแก่กัน
4 เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขาก็ดี ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี พระองค์จะทรงหักเสียอย่างในวันของคนมีเดียน
5 เพราะรองเท้าทุกคู่ที่กระทืบไป อย่างสั่นสะเทือน และเสื้อคลุมทุกตัวที่เกลือกอยู่ในโลหิต จะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ
6 ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า 'ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช'
7 เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด เหนือพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ ที่จะสถาปนาไว้ และเชิดชูไว้ ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้"
(อิสยาห์ 9:2-7)
เรื่องราวของวันคริสมาสต์ เป็นเรื่องราวของพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นด้วยความรักของพระองค์ แต่มนุษย์ได้ทำบาปต่อพระเจ้า และปฏิเสธพระองค์ มนุษย์และลูกหลานของมนุษย์จึงถูกตัดขาดจากพระเจ้าเพราะบาปที่ตนเองได้กระทำ มนุษย์กลับกลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับมนุษย์ด้วยกันเอง หรือแม้แต่เป็นศัตรูกับตัวเอง ความบาปที่มนุษย์กระทำ ได้ทำให้มนุษย์กลับกลายเป็นทาส ดำเนินชีวิตในความมืด และสุดท้ายก็นำมนุษย์ไปสู่ความพินาศ ความตาย และ การตกนรกบึงไฟชั่วนิจนิรันดร์เมื่อตายจากโลกนี้ไป
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มนุษย์ได้สร้างศาสนาและปรัชญาต่างๆ และพระเจ้าเทียมเท็จต่างๆขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของตน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะช่วยมนุษย์ได้เลย เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป เพราะความบาปที่ตนเองกระทำ และความบาปนี้ก็ไม่สามารถลบล้างได้
น่าแปลกในที่พระเจ้าเทียมเท็จต่างๆ ศาสนา และหลักปรัชญาเกือบทั้งหมดที่มนุษย์สร้างขึ้น ถ้าไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้เลย ก็มักจะมีแนวคิดในเรื่องนี้ว่า ความบาปทั้งสิ้นที่มนุษย์ทำนั้น มนุษย์เองสามารถลบล้างหรือทำให้หมดไปได้ อาจจะด้วยความดี ด้วยการกระทำดี ด้วยเงินทอง หรือด้วยสิ่งของต่างๆ
แต่ถ้าความบาป หรือความชั่วลบล้างด้วยความดีได้จริงแล้ว ความดีก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลย และความบาปก็จะไม่เป็นความบาปอีกต่อไป สุดท้ายทั้งความดี และความชั่ว ก็จะกลายเป็นแค่เรื่องไร้สาระที่ว่างเปล่าไปเท่านั้น ... ความดีที่เราเคยทำได้ 10 ครั้งเมื่อวานนี้ อาจจะเหลือแค่ 0 ในวันนี้ หรือ ความชั่วที่เราเคยทำไว้ 5 ครั้งเมื่อวานนี้ วันนี้อาจจะเหลือแค่ 2 เท่านั้น บวก ลบกันไปในแต่ละวัน ... ใครที่ไม้ได้เรียนเลข คิดเลขผิด หรือ คำนวณไม่เป็น ก็อาจจะไม่สามารถลบล้างความบาปได้หมด ... ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดขึ้นตามความฉลาดของเรา ... ??? และในบางครั้งก็เลยเถิดไปถึงการใช้เงินทอง หรือสิ่งอื่น เพื่อลบล้างความผิดบาป ... นั่นก็เป็นเรื่องที่มนุษย์คิดขึ้นตามความฉลาดของเราเหมือนกัน ... ???
แต่พระเจ้าตรัสว่า ... โทษเพียงอย่างเดียวของความบาปนั้นคือความตาย จะลบล้างด้วยอย่างอื่นไม่ได้เลย ... แม้ว่าจะด้วยการกระทำดี เงินทอง หรือ สิ่งของอื่น ... แม้แต่คุณความดีของพระเจ้าก็ลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ไม่ได้เช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจแก้ไขได้อย่างนั้นหรือ ?
แต่เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ และพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาปและความพินาศนี้ พระองค์จึงทรงทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ... พระเจ้าได้ทรงเสด็จเข้ามาในโลก และบังเกิดเป็นมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อที่จะตายบนไม้กางเขนเพื่อชดใช้โทษบาปของมนุษย์ทุกคนด้วยความตายของพระองค์บนไม้กางเขน และโดยความตายของพระองค์ พระเจ้าได้รับเอาความผิดบาปทั้งสิ้นของเราไป ถ้าเราเชื่อวางใจในพระองค์ เราก็จะได้รับการอภัยบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์
เรื่องนี้มนุษย์หลายคนหัวเราะเยาะ และถือเป็นเรื่องโง่ หลายคนไม่เข้าใจว่า ความตายของคนเพียงคนเดียวคือพระเยซู จะลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ทุกคนได้อย่างไร ... อันที่จริงพวกเขาก็เข้าใจถูกอยู่บ้าง คือ ถ้าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์คนนึง เรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆตามที่พวกเขาเข้าใจ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ถ้าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าจริงๆแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสนใจให้มากทีเดียว เพราะเรารู้อยู่ว่าเจ้าหนี้คนหนึ่ง ถ้าเขามีใจเมตตา ก็สามารถยกหนี้ให้กับลูกหนี้ทุกคนที่เป็นหนี้เขาอยู่ได้ฉันใด ... พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ที่มีความรักเมตตา ก็สามารถยกโทษบาปให้แก่มนุษย์ทุกคนที่ทำบาปต่อพระองค์ได้ฉันนั้น และเจ้าหนี้คนหนึ่งชดใช้เงินทั้งหมดของตนให้ลูกหนี้ทุกคนของตนได้อย่างไร พระเจ้าหนึ่งเดียวก็ทรงชดใช้ความตายของพระองค์เพื่อมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาปได้ฉันนั้น
คริสต์มาสนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราทั้งหลายจะทราบข่าวดี ว่าพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าได้ทรงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อนำแสงส่วาง ความชื่นชมยินดี และนำสันติสุขมาสู่ชีวิตของเรา ทรงกระทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าอีกครั้ง ขอพระเจ้าทรงอวยพรและประทานความเข้าใจในพระวจนะของพระองค์แก่เรา ขอทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะของพระองค์
ถ้าหากท่านอยากรู้จักพระเยซู ขอให้ท่านสงบใจและอธิษฐานตามข้อความเหล่านี้
"องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ข้าพเจ้าต้องการพระองค์ ข้าพเจ้าขอเปิดประตูใจของข้าพเจ้า ต้อนรับเอาพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายอมรับกับพระองค์ว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป และขอสารภาพความผิดบาปทั้งสิ้นของข้าพเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ได้ทรงโปรดอภัยโทษบาปผิดให้ข้าพเจ้าแล้ว และได้โปรดประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่ข้าพเจ้า ขอได้โปรดครอบครองชีวิตของข้าพเจ้า และกระทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นไปตามแนวทางของพระองค์เถิด อธิษฐานทูลขอในนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน"