เล่าเรื่องราวชีวิตในวัยเยาว์
เกริ่นก่อนนะคะ เราเป็นวัยรุ่นราวตอนกลางเกือบปลาย เป็นลูกคนเดียวค่ะ ครอบครัวขนาดกลางฐานะปานกลาง นิสัยส่วนตัวสมัยเด็กเป็นคนเรียบร้อย ขี้อาย ไม่ค่อยสุงสิงกับใครค่ะ ทำให้ไม่ค่อยสนิทกับญาติๆรวมทั้งเพื่อนๆเท่าไหร่ในวัยประถมต้น แต่คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนเราเล็กๆวัยอนุบาลนี่ร่าเริงแจ่มใสยิ้มแย้มตลอดเวลา แล้วก็ซนมากค่ะ ชอบไปเล่นกับเพื่อนกับเด็กๆละแวกบ้าน บ้านเราเป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆค่ะบ้านติดๆกัน
พอเราอยู่ป.1พ่อแม่ก็พาย้ายบ้านเป็นบ้านทาวน์เฮาท์เหมือนเดิมแต่ใหญ่ขึ้นดูดีกว่าเดิมมีสนามหญ้าด้วย แต่ตอนนั้นคิดว่าเป็นหมู่บ้านเปิดใหม่เลยไม่ค่อยมีคน แล้วแถวนั้นไม่มีตลาดหรือร้านขนมใกล้เหมือนเมื่อก่อน เด็กรุ่นเดียวกันที่อยู่ใกล้ๆกันก็แทบไม่มี แต่มีลูกพี่ลูกน้องอยู่ซอยถัดไปที่คอยมาเล่นกันบ่อยๆ ชีวิตที่โรงเรียนเราจะเป็นคนที่ดูเอ๋อๆ ตีมึน พูดกะใครไม่เก่ง เพื่อนเลยไม่ได้เยอะมากสิ่งที่ทำให้เพื่อนนึกถึงเราได้คือ เรียนเก่งกับลายมือสวย ก็ไม่ได้ปลื้มเท่าไหร่55555 ตอนนั้นกังวลเรื่องเข้าสังคมมากใครๆก็มองเราเป็นคนแบบนั้น... อยู่ด้วยแล้วคงอึดอัด ชวนคุยอะไรใครก็ไม่เก่ง เวลาเพื่อนเขาร้องเพลงกันเราก็ไม่รู้เรื่องเพราะพ่อชอบเปิดแต่เพลงสากล รู้สึกเปล่าเปลี่ยวจนได้ยินพวกรุ่นพี่มัธยมเขาร้องเพลงสากลทีเรารู้จักนั่นแหละก็เลยคิดว่าพอโตไปคงคุยกับพวกเขาได้555 บางทีทำงานกลุ่มก็รู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน คุยกับเพื่อนในกลุ่มยังรู้สึกเป็นส่วนเกินเลย แล้วเราก็มีนิสัยหวงเพื่อนมากๆไม่ชอบให้เพื่อนสนิทเราไปสนิทกับคนอื่น อย่างตอนป.5 แตกหักกลางวันก็หนีไปอ่านหนังสือห้องสมุดในขณะที่เพื่อนกินไอติมกันอยู่ข้างล่าง หนังสือช่วยได้มากแต่มันก็โหวงๆอยู่ดี ไม่ชอบเวลาที่เข้าห้องแล้วไม่มีเพื่อนถามไถ่ ไม่มีใครให้เล่นทั้งๆที่เคยสนิทกันแท้ๆ จนป.6เราก็มีเพื่อนจากที่เคยสนิทกันแต่ก่อนนั่นแหละกลับมาเจอกันอีกที เวลาก็ผ่านไปจนจะจบปีการศึกษา งานเฟรนด์ชิพก็มาสนุกสนาน เรามักจะอิจฉาเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆทำอะไรก็ดูมีอิทธิพล คนอื่นเข้าไม่ถึง เข้าโรงเรียนก็มีคนให้คุยด้วย แต่สำหรับคนเพื่อนน้อยอย่างเราก็มองไปเถ้อะ อ้าวเพื่อนฉันล่ะ เพื่อนฉันอยู่ไหน โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเลสุดๆเลยค่ะ เวลาพ่อแม่ถามว่าทำไมไม่ไปทักเพื่อนเค้า ในใจเราก็จะตอบว่า ก็ตอนนี้ไม่สนิทกันเหมือนเดิมแล้ว แต่รอบข้างเราก็ไม่โดดเดี่ยวยังมีเพื่อนเล่นคุยกันได้อยู่ถึงจะไม่มากก็ตาม
พอเรื่องสอบผ่านพ้นขึ้นมัธยม เราก็หวังที่จะได้เจอสิ่งใหม่ๆมีแก็งค์เพื่อนเยอะๆบ้างแบบเดินกันเป็นแพกั้นทางเดินไปเลย555 แต่ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงจริงๆนั่นแหละค่ะ เกรด2.5ครั้งแรกในชีวิตช็อคและเศร้ามากๆ หลายคนก็เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่การเรียนแบบผู้ใหญ่
ว่าด้วยเรื่องนิสัยก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบ้าง พูดหยาบคาย ทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กมัธยม แต่ก็ยังคงเอ๋อๆ ตีมึน เพื่อนแกล้ง โดนมองด้วยสายตาเหยียดๆบ้าง แต่เราก็ปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเองมาตลอดจนทำให้เรามีสังคมมากขึ้นมีเพื่อน ได้เพื่อนใหม่ ใช้ชีวิตสนุกสนานไปเที่ยวกับเพื่อน ทำงานการบ้าน เรียน มีทะเลาะบ้าง ความเครียด ความรักปั้ปปี้เลิฟเป็นสีสัน ความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในบ้านที่เหินห่างออกไป ขณะที่ใช้ชีวิตทำวีรกรรมในโรงเรียน แถมตอนนั้นการเรียนก็ดีบ้างปานกลางแย่บ้าง แต่โดยรวมแล้วโอเค คะแนนเราพอเทียบกับเพื่อนในกลุ่มก็จะได้สูงๆซึ่งบางทีมันแย่ว่าเราจะมีอีโก้สูงกว่า แต่ส่วนที่ดีก็คือเพื่อนมาปรึกษาได้สอนเพื่อน เพื่อนมองเห็นเรา เพื่อนชื่นชมเรา รู้สึกมีค่าขึ้นมาเวลาเป็นที่สนใจ
พอจะจบปีการศึกษาม.3 ขึ้นม.ปลาย เราก็ไปสอบเข้าโรงเรียนอื่นด้วยเพราะมีความฝันคิดว่าถ้าเรียนที่นั่นจะต่อยอดความฝันเราได้ เราเริ่มเรียนพิเศษเยอะขึ้น แต่สุดท้ายเราก็สอบไม่ติดเพราะเตรียมตัวมาไม่ดี ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ร้องไห้จนพ่อแม่ต้องมาปลอบ ต่อมาก็มีสอบโอเน็ต ผลออกมาก็เป็นที่พอใจและในที่สุดเราก็ได้เรียนต่อในสายวิทย์คณิตตามที่ต้องการ
เมื่อฉันเป็นโรคซึมเศร้า
ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มยังไง5555 ภาษาอาจจะวกวนเข้าใจยากนิดนึงนะคะ สมองรวนมาก
ย้อนไปเมื่อตอนเรียนม.ปลายใหม่ๆเพื่อนที่สนิทก็แยกย้ายไปกันคนละแผน แจ่ละคนก็มีเพื่อนใหม่ๆ รวมถึงเราด้วยรู้สึกตัวเองมีพัฒนาการด้านมนุษยสัมพันธ์มากขึ้น เฟรนด์ลี่ขึ้นมั้ง การเข้าหาคนอื่นดูไม่ใช่เรื่องยากแล้วถึงอย่างนั้นถึงจะมีเพื่อน ความหมายของเพื่อนสำหรับเรามันไม่เหมือนแต่ก่อน มันดูเป็นสิ่งฉาบฉวยผ่านมาแล้วผ่านไป สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่ หรือลึกๆแล้วเราไม่ได้สนิทกับเขาตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ ก็แค่ไปเที่ยวด้วยกันไปกินไปช้อปเม้าท์เฮฮาด้วยกัน เพราะว่าไม่อยากให้ใครมองว่าเราโดดเดี่ยว มีพรรคพวกคอยช่วยเหลือ อันนี้เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วส่วนเพื่อนเก่าๆเรียกว่าแทบไม่ได้คุยเขาก็ไปมีเพื่อนใหม่มีความสุขดี เรื่องเพื่อนใช้เวลานิดเดียวก็สามารถปรับตัวได้อยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่ รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ความสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนเหมือนมีช่องว่างกั้นระหว่างกันเรียกไม่ได้เต็มปากว่าสนิท
แน่นอนอยู่แผนนี้เพื่อนก็เก่งๆกัน เราก็อยู่ในกลุ่มเก่งขยัน ทำงานออกมาโอเคไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนเรื่องสอบเทอมแรกเราได้น้อยจนร้องไห้กอดเพื่อน เครียดมาก ก็คิดว่าเอาน่าเทอมสองยังมีให้แก้ตัวยังมีเวลาอยู่เยอะ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเพราะติดมือถือมากไปรึเปล่า รู้สึกว่าตัวเองสมาธิสั้นความอดทนต่ำ เวลาเรียนชอบเหม่อ ชอบคิดอย่างอื่น เวลาเรียนพิเศษไม่เล่นมือถือก็กินบ้างหลับบ้าง อยู่ดีๆเราก็เหนื่อยๆท้อๆ จนคะแนนเราแย่ลงๆ เกรดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัสนี่ก็มาเต็ม โดนดุไปตามระเบียบตอนนั้นก็วางแผนที่จะสอบเข้ามหาลัยจัดตารางเรียนพิเศษตอนปิดเทอมใหญ่ ไม่รู้เพราะมันยากขึ้นหรืออะไรแต่คะแนนเราแย่ลงทุกปีๆ จนเราท้อเราโทษตัวเอง เราหมดความพยายาม เรายอมรับในความพ่ายแพ้ เกลียดเวลาที่ทุกคนคะแนนออกมาดีแล้วเราห่วย เกลียดที่ทำยังไงก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองเก่งขึ้น ทำให้พ่อแม่เสียใจ ทั้งที่ร็ว่าเพื่อนก็พยายามมากกว่าเรา เราก็ทำตามเขาไม่ได้ ตอนเรียนเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โลกของเรามันกว้างขึ้นความสนใจเราคงเบนจากการเรียนออกไป พูดง่ายๆทั้งติดเกม ติดซีรีย์ แชท เล่นไอจี ฟังแต่เพลง หมกมุ่นแต่กับหนังการ์ตูนนักรอง เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ทั่วไปยิ่งพอได้เจอพวกเดียวกันยิ่งถลำลึกเลย มีกิจกรรมให้ทำมากกว่าแต่ก่อน พอรู้ว่าคะแนนแย่ก็ท้อหนักคิดว่าตัวเองคงทำใจไม่ได้ จนไปสนใจเรื่องอื่นแทน
ความรู้สึกที่ว่าตัวเองแตกต่างถูกเมินกลับมา เราไม่สามารถช่วยสอนคนอื่นเหมือนเคยเพื่อนที่เคยด้อยกว่าตอนนี้เก่งกว่าเรามากๆ มีแต่เราที่ตกต่ำๆลง รู้สึกไม่เข้าพวกรู้สึกเป็นส่วนเกินเพื่อนทำข้อสอบเสร็จเราก็ถกเถียงกับเขาไม่ได้ เรียนก็แย่กีฬาดนตรีอย่าให้พูด พึ่งพาอะไรไม่ได้ซักอย่าง ความร็สึกในแง่ลบที่มีต่อตนเอง บั่นทอนความพยายามอยู่ตลอด
ใกล้จะสอบเข้ามหลัยอยู่แล้ว แต่เกรดยังแย่ ปีที่เหลือสุดท้ายคือจุดพีค
เล่าเรื่องชีวิต ประสบการณ์โรคซึมเศร้า และขอคำปรึกษา
เกริ่นก่อนนะคะ เราเป็นวัยรุ่นราวตอนกลางเกือบปลาย เป็นลูกคนเดียวค่ะ ครอบครัวขนาดกลางฐานะปานกลาง นิสัยส่วนตัวสมัยเด็กเป็นคนเรียบร้อย ขี้อาย ไม่ค่อยสุงสิงกับใครค่ะ ทำให้ไม่ค่อยสนิทกับญาติๆรวมทั้งเพื่อนๆเท่าไหร่ในวัยประถมต้น แต่คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนเราเล็กๆวัยอนุบาลนี่ร่าเริงแจ่มใสยิ้มแย้มตลอดเวลา แล้วก็ซนมากค่ะ ชอบไปเล่นกับเพื่อนกับเด็กๆละแวกบ้าน บ้านเราเป็นทาวน์เฮ้าส์เล็กๆค่ะบ้านติดๆกัน
พอเราอยู่ป.1พ่อแม่ก็พาย้ายบ้านเป็นบ้านทาวน์เฮาท์เหมือนเดิมแต่ใหญ่ขึ้นดูดีกว่าเดิมมีสนามหญ้าด้วย แต่ตอนนั้นคิดว่าเป็นหมู่บ้านเปิดใหม่เลยไม่ค่อยมีคน แล้วแถวนั้นไม่มีตลาดหรือร้านขนมใกล้เหมือนเมื่อก่อน เด็กรุ่นเดียวกันที่อยู่ใกล้ๆกันก็แทบไม่มี แต่มีลูกพี่ลูกน้องอยู่ซอยถัดไปที่คอยมาเล่นกันบ่อยๆ ชีวิตที่โรงเรียนเราจะเป็นคนที่ดูเอ๋อๆ ตีมึน พูดกะใครไม่เก่ง เพื่อนเลยไม่ได้เยอะมากสิ่งที่ทำให้เพื่อนนึกถึงเราได้คือ เรียนเก่งกับลายมือสวย ก็ไม่ได้ปลื้มเท่าไหร่55555 ตอนนั้นกังวลเรื่องเข้าสังคมมากใครๆก็มองเราเป็นคนแบบนั้น... อยู่ด้วยแล้วคงอึดอัด ชวนคุยอะไรใครก็ไม่เก่ง เวลาเพื่อนเขาร้องเพลงกันเราก็ไม่รู้เรื่องเพราะพ่อชอบเปิดแต่เพลงสากล รู้สึกเปล่าเปลี่ยวจนได้ยินพวกรุ่นพี่มัธยมเขาร้องเพลงสากลทีเรารู้จักนั่นแหละก็เลยคิดว่าพอโตไปคงคุยกับพวกเขาได้555 บางทีทำงานกลุ่มก็รู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน คุยกับเพื่อนในกลุ่มยังรู้สึกเป็นส่วนเกินเลย แล้วเราก็มีนิสัยหวงเพื่อนมากๆไม่ชอบให้เพื่อนสนิทเราไปสนิทกับคนอื่น อย่างตอนป.5 แตกหักกลางวันก็หนีไปอ่านหนังสือห้องสมุดในขณะที่เพื่อนกินไอติมกันอยู่ข้างล่าง หนังสือช่วยได้มากแต่มันก็โหวงๆอยู่ดี ไม่ชอบเวลาที่เข้าห้องแล้วไม่มีเพื่อนถามไถ่ ไม่มีใครให้เล่นทั้งๆที่เคยสนิทกันแท้ๆ จนป.6เราก็มีเพื่อนจากที่เคยสนิทกันแต่ก่อนนั่นแหละกลับมาเจอกันอีกที เวลาก็ผ่านไปจนจะจบปีการศึกษา งานเฟรนด์ชิพก็มาสนุกสนาน เรามักจะอิจฉาเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆทำอะไรก็ดูมีอิทธิพล คนอื่นเข้าไม่ถึง เข้าโรงเรียนก็มีคนให้คุยด้วย แต่สำหรับคนเพื่อนน้อยอย่างเราก็มองไปเถ้อะ อ้าวเพื่อนฉันล่ะ เพื่อนฉันอยู่ไหน โดดเดี่ยวเดียวดายในท้องเลสุดๆเลยค่ะ เวลาพ่อแม่ถามว่าทำไมไม่ไปทักเพื่อนเค้า ในใจเราก็จะตอบว่า ก็ตอนนี้ไม่สนิทกันเหมือนเดิมแล้ว แต่รอบข้างเราก็ไม่โดดเดี่ยวยังมีเพื่อนเล่นคุยกันได้อยู่ถึงจะไม่มากก็ตาม
พอเรื่องสอบผ่านพ้นขึ้นมัธยม เราก็หวังที่จะได้เจอสิ่งใหม่ๆมีแก็งค์เพื่อนเยอะๆบ้างแบบเดินกันเป็นแพกั้นทางเดินไปเลย555 แต่ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงจริงๆนั่นแหละค่ะ เกรด2.5ครั้งแรกในชีวิตช็อคและเศร้ามากๆ หลายคนก็เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่การเรียนแบบผู้ใหญ่
ว่าด้วยเรื่องนิสัยก็เกิดความเปลี่ยนแปลงบ้าง พูดหยาบคาย ทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กมัธยม แต่ก็ยังคงเอ๋อๆ ตีมึน เพื่อนแกล้ง โดนมองด้วยสายตาเหยียดๆบ้าง แต่เราก็ปรับเปลี่ยนพัฒนาตัวเองมาตลอดจนทำให้เรามีสังคมมากขึ้นมีเพื่อน ได้เพื่อนใหม่ ใช้ชีวิตสนุกสนานไปเที่ยวกับเพื่อน ทำงานการบ้าน เรียน มีทะเลาะบ้าง ความเครียด ความรักปั้ปปี้เลิฟเป็นสีสัน ความสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในบ้านที่เหินห่างออกไป ขณะที่ใช้ชีวิตทำวีรกรรมในโรงเรียน แถมตอนนั้นการเรียนก็ดีบ้างปานกลางแย่บ้าง แต่โดยรวมแล้วโอเค คะแนนเราพอเทียบกับเพื่อนในกลุ่มก็จะได้สูงๆซึ่งบางทีมันแย่ว่าเราจะมีอีโก้สูงกว่า แต่ส่วนที่ดีก็คือเพื่อนมาปรึกษาได้สอนเพื่อน เพื่อนมองเห็นเรา เพื่อนชื่นชมเรา รู้สึกมีค่าขึ้นมาเวลาเป็นที่สนใจ
พอจะจบปีการศึกษาม.3 ขึ้นม.ปลาย เราก็ไปสอบเข้าโรงเรียนอื่นด้วยเพราะมีความฝันคิดว่าถ้าเรียนที่นั่นจะต่อยอดความฝันเราได้ เราเริ่มเรียนพิเศษเยอะขึ้น แต่สุดท้ายเราก็สอบไม่ติดเพราะเตรียมตัวมาไม่ดี ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ร้องไห้จนพ่อแม่ต้องมาปลอบ ต่อมาก็มีสอบโอเน็ต ผลออกมาก็เป็นที่พอใจและในที่สุดเราก็ได้เรียนต่อในสายวิทย์คณิตตามที่ต้องการ
เมื่อฉันเป็นโรคซึมเศร้า
ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มยังไง5555 ภาษาอาจจะวกวนเข้าใจยากนิดนึงนะคะ สมองรวนมาก
ย้อนไปเมื่อตอนเรียนม.ปลายใหม่ๆเพื่อนที่สนิทก็แยกย้ายไปกันคนละแผน แจ่ละคนก็มีเพื่อนใหม่ๆ รวมถึงเราด้วยรู้สึกตัวเองมีพัฒนาการด้านมนุษยสัมพันธ์มากขึ้น เฟรนด์ลี่ขึ้นมั้ง การเข้าหาคนอื่นดูไม่ใช่เรื่องยากแล้วถึงอย่างนั้นถึงจะมีเพื่อน ความหมายของเพื่อนสำหรับเรามันไม่เหมือนแต่ก่อน มันดูเป็นสิ่งฉาบฉวยผ่านมาแล้วผ่านไป สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่ หรือลึกๆแล้วเราไม่ได้สนิทกับเขาตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ ก็แค่ไปเที่ยวด้วยกันไปกินไปช้อปเม้าท์เฮฮาด้วยกัน เพราะว่าไม่อยากให้ใครมองว่าเราโดดเดี่ยว มีพรรคพวกคอยช่วยเหลือ อันนี้เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วส่วนเพื่อนเก่าๆเรียกว่าแทบไม่ได้คุยเขาก็ไปมีเพื่อนใหม่มีความสุขดี เรื่องเพื่อนใช้เวลานิดเดียวก็สามารถปรับตัวได้อยู่กับเพื่อนกลุ่มใหม่ รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ความสนิทสนมเหมือนเมื่อก่อนเหมือนมีช่องว่างกั้นระหว่างกันเรียกไม่ได้เต็มปากว่าสนิท
แน่นอนอยู่แผนนี้เพื่อนก็เก่งๆกัน เราก็อยู่ในกลุ่มเก่งขยัน ทำงานออกมาโอเคไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนเรื่องสอบเทอมแรกเราได้น้อยจนร้องไห้กอดเพื่อน เครียดมาก ก็คิดว่าเอาน่าเทอมสองยังมีให้แก้ตัวยังมีเวลาอยู่เยอะ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเพราะติดมือถือมากไปรึเปล่า รู้สึกว่าตัวเองสมาธิสั้นความอดทนต่ำ เวลาเรียนชอบเหม่อ ชอบคิดอย่างอื่น เวลาเรียนพิเศษไม่เล่นมือถือก็กินบ้างหลับบ้าง อยู่ดีๆเราก็เหนื่อยๆท้อๆ จนคะแนนเราแย่ลงๆ เกรดที่ไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัสนี่ก็มาเต็ม โดนดุไปตามระเบียบตอนนั้นก็วางแผนที่จะสอบเข้ามหาลัยจัดตารางเรียนพิเศษตอนปิดเทอมใหญ่ ไม่รู้เพราะมันยากขึ้นหรืออะไรแต่คะแนนเราแย่ลงทุกปีๆ จนเราท้อเราโทษตัวเอง เราหมดความพยายาม เรายอมรับในความพ่ายแพ้ เกลียดเวลาที่ทุกคนคะแนนออกมาดีแล้วเราห่วย เกลียดที่ทำยังไงก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองเก่งขึ้น ทำให้พ่อแม่เสียใจ ทั้งที่ร็ว่าเพื่อนก็พยายามมากกว่าเรา เราก็ทำตามเขาไม่ได้ ตอนเรียนเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โลกของเรามันกว้างขึ้นความสนใจเราคงเบนจากการเรียนออกไป พูดง่ายๆทั้งติดเกม ติดซีรีย์ แชท เล่นไอจี ฟังแต่เพลง หมกมุ่นแต่กับหนังการ์ตูนนักรอง เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ทั่วไปยิ่งพอได้เจอพวกเดียวกันยิ่งถลำลึกเลย มีกิจกรรมให้ทำมากกว่าแต่ก่อน พอรู้ว่าคะแนนแย่ก็ท้อหนักคิดว่าตัวเองคงทำใจไม่ได้ จนไปสนใจเรื่องอื่นแทน
ความรู้สึกที่ว่าตัวเองแตกต่างถูกเมินกลับมา เราไม่สามารถช่วยสอนคนอื่นเหมือนเคยเพื่อนที่เคยด้อยกว่าตอนนี้เก่งกว่าเรามากๆ มีแต่เราที่ตกต่ำๆลง รู้สึกไม่เข้าพวกรู้สึกเป็นส่วนเกินเพื่อนทำข้อสอบเสร็จเราก็ถกเถียงกับเขาไม่ได้ เรียนก็แย่กีฬาดนตรีอย่าให้พูด พึ่งพาอะไรไม่ได้ซักอย่าง ความร็สึกในแง่ลบที่มีต่อตนเอง บั่นทอนความพยายามอยู่ตลอด
ใกล้จะสอบเข้ามหลัยอยู่แล้ว แต่เกรดยังแย่ ปีที่เหลือสุดท้ายคือจุดพีค