กลับมาเม้าส์มอยเรื่องความสวยความงามกันอีกครั้ง เพราะได้ไอเท็มดูแลผิวมาเพิ่มจาก Dermist อีก 8 ตัว เคยเล่าไว้ว่าเค้ากำลังรีแพคเกจจิ้งและปรับสูตรอยู่ วันนี้ขอมาเห่อและมินิรีวิวให้ดูกันค่ะ อย่ารอช้า ไปอ่านกันโลดดดดดด
แพคเกจจิ้งใหม่สีมุ้งมิ้ง ดูสะอาด ราคาก็ย่อมเยาว์ (มีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อย แพงสุดก็ไม่เกิน 400 บาทค่ะ) และใช้ได้ทุกสภาพผิว เพราะเป็นแบรนด์เวชสำอางที่ควบคุมและดูแลโดยคุณหมอ จึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย สภาพผิวไหนก็ใช้ได้ค่ะ (ส่วนการแพ้ขึ้นอยู่ผิวของแต่ละคนด้วยนะคะ การใช้ไอเท็มใหม่ๆ กับควรดูส่วนผสมและทดสอบการแพ้ก่อนใช้นะคะ)
เกริ่นมาซะขนาดนี้ ตามไปดูโลดดดด เราจะเรียงลำดับตามขั้นตอนการดูแลผิวนะจ้ะ
ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างหน้าและเตรียมผิวก่อนบำรุง
1. Dermist Sooth Cleansing Water (100 มิลลิลิตร) 155 บาท
:: จุดเด่น ::
ยุคนี้ใครๆ ก็อินกับการล้างเครื่องสำอางด้วยสูตรน้ำ เพราะใช้ง่าย หลังใช้ผิวจะไม่เหนอะหนะ นอกจากนี้ยังใช้ได้กับทุกสภาพผิวไหน ซึ่ง Dermist ขอส่งนวัตกรรม Micelle Solution มาสู้ ไปดูกันว่าจะเป็นยังไง
:: First Impression ::
กลิ่นอ่อนๆ เช็ดได้สะอาดหมดจดดีค่ะ เราลองใช้วันที่แต่งหน้าปานกลาง ทั้งคูชั่น ปัดแก้ม อายแชโดร์ ก็ออกหมดนะ แต่ถ้าเป็นเครื่องสำอางกันน้ำเช็คไม่ออกนะคะ เราควรใช้ Remover สำหรับเช็ดเครื่องสำอาง Waterproof โดยเฉพาะ ส่วนในภาพใช้แป้งผสมรองพื้นและที่เขียนคิ้วแบบฝุ่น เทลงสำลีชุ่มนิดนึง แล้วปาด 1 รอบ ก็ออกเกือบหมดนะคะ เช็ดอีกรอบเดียวน่าก็เกลี้ยงแล้วค่ะ สำหรับผิวหน้าหลังเช็ดก็สบายผิวดี ไม่แห้ง ไม่มันค่ะ เราว่าตัวนี้สามารถเช็ดได้ตั้งแต่เครื่องสำอางแบบเบาๆ ไปจนถึงแบบจัดเต็มค่ะ
💚💚+1/2
เอาไปเลย 2 หัวใจครึ่ง เต็ม 3 หัวใจ หักตรงปริมาณน้อยไปหน่อย Cleansing Water ครั้งหนึ่งต้องใช้ปริมาณเยอะพอสมควร อาจต้องซื้อใหม่บ่อยๆ แต่ถ้าแต่งหน้าน้อย ขวดปริมาณนี้ก็เหมาะอยู่ค่ะ
2. Dermist Ultra Deep Cleanser (60 กรัม) 105 บาท
:: จุดเด่น ::
แน่นอนว่าต้องเป็นสารผสมหลัก Activated Charcoal ที่สาวไทยฮิตกันอยู่ช่วงหนึ่ง เพราะชาโคลหรือถ่านมีคุณสมบัติช่วยดูดซึบสิ่งสกปรกได้อย่างล้ำลึก เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของสาวไทยที่ต้องเจออากาศร้อนจนเจอเหงื่อไหลเยิ้ม ทำให้สิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขนได้ง่าย
:: First Impression ::
กลิ่นหอมอ่อนๆ ผสมน้ำแล้วฟองไม่เยอะ แต่ถูได้ลื่นดีค่ะ ไม่ต้องออกแรงมาก (ในภาพเราลองใช้นำ้น้อยๆ เพื่อทดสอบความนุ่มลื่น ก็โอเคเลย ไม่ฝืดค่ะ) เรื่องทำความสะอาดได้ล้ำลึกเราไม่ได้สามารถพิสูจน์ได้ชัดเจน แต่เราดูที่ผิวหลังล้าง หน้าจะแมทกำลังดี ไม่แห้งตึงจนเกินไป แสดงว่าตัวโฟมเอาความมันส่วนเกินในรูขุมขนออกไป เราชอบตรงจุดนี้นะ มันเป็นความรู้สึกที่สะอาดดี ขอแนะนำตัวนี้ให้สาวหน้ามันเลยค่ะ
💚💚💚
เอาไปเลย 3 หัวใจเต็มๆ ลองแล้วอยากใช้ต่อนะ เราชอบผิวหลังล้างที่แมทกำลังดี
3. Dermist Gentle Facial Liquid Soap (110 กรัม) 145 บาท
:: จุดเด่น ::
น้องๆ ที่เพิ่งเริ่มดูแลผิวหรือสาวที่มีผิวบอบบางน่าจะโดนใจตัวนี้ เพราะเป็นสบู่ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน เหมาะกับผิวบอบบาง จริงๆ ก็สามารถใช้ได้ทุกสภาพผิวแหละ เค้าเคลมว่าสามารถล้างได้มากกว่า 2 ครั้งต่อวัน โดยไม่ระคายเคืองผิว น่าสนใจสำหรับสาวๆ นักกีฬาหรือสาวขี้ร้อนเลยค่ะ
:: First Impression ::
เราชอบที่มันเป็นเนื้อเจลๆ ไม่เหลวมาก ทำให้กะปริมาณในการใช้ได้ง่าย ผสมน้ำแล้วฟองไม่เยอะ หลังล้างแล้วผิวจะชุ่มชื่นขึ้นนิดนึง ไม่แมทหรือแห้งจนเกินไป
ตัวนี้ไม่ได้ให้หัวใจนะ เพราะเราเคยรีวิวแบบจัดเต็มแล้ว ตามไปอ่านที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้เลยว่าเราคิดเห็นยังไงกับตัวนี้
4. Dermist Acne Whitening Soap (70 กรัม) 65 บาท
:: จุดเด่น ::
สาวๆ งบน้อยต้องถูกใจตัวนี้ สมาชิกตัวเดียวที่มาในราคาหลักสิบ แต่คุณสมบัติหลักร้อยมากๆ ค่ะ ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวตัว ช่วยลดการอุดตันของสิวและทำให้ผิวสว่างกระจ่างใสขึ้น ด้วยชาลิซิลิก เอซิดและกลูต้าไธโอน โหว จัดเต็มมากๆ อ่ะ
:: First Impression ::
กลิ่นทำให้นึกถึงสบู่สมัยอยู่อนุบาล ที่ชอบสอนล้างมือตามโรงเรียนเลย 5555 เป็นกลิ่นหอมแบบสะอาดๆ ฟอกกับน้ำแล้วมีฟองน้อย ถูลื่นๆ ดี หลังล้างผิวไม่แห้งตึง ใช้กับตัวและหน้าผลลัพธ์เหมือนกันนะคะ แต่รู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน เราไม่เคยใช้สบู่ก้อนล้างหน้า แต่ล้างแล้วก็ไม่รู้สึกต่างกับแบบโฟมหรือสบู่เหลวนะ
💚💚
เราให้ 2 หัวใจ ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบใช้สบู่ก้อนเท่าไหร เพราะเป็นคนซุ่มซ่ามค่ะ พอฟอกกับน้ำแล้วทำหลุดจนก้อบุบไปทั่ว 555 สบู่เลยจะเละและสกปรกก่อนใช้หมดทุกที หากอยากใช้ใครทั้งหน้าและตัว เราแนะนำให้ตัดแบ่งและแยกใช้ระหว่างหน้ากับตัวค่ะ
ก่อนจะไปชมรีวิวตัวต่อไป ขอสรุปความประทับใจของโฟมและสบู่ล้างหน้าของ Dermist นิดนึง
เราชอบข้อดีตรงที่ฟองน้อย มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ล้างแล้วไม่แห้งตึงค่ะ ทุกตัวจะเป็นแบบนี้หมด เราว่าเหมาะกับสาวไทยค่ะ แค่เลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและความต้องการของเพื่อนๆ ค่ะ
5. Dermist Oil Shine Control Lotion (100 มิลลิลิตร) 125 บาท
(อันนี้ที่เราได้เป็น Lot แรกก่อนปล่อยตลาด สีของโลชั่นอาจจะไม่ตรงกับที่วางขายนะคะ ที่วางขายอยู่จะสีชมพูแดงๆ แต่คุณสมบัติไม่ต่างกันค่ะ)
:: จุดเด่น ::
ส่วนผสมของขวดนี้น่าสนใจนะคะ ไม่มีตัวไหนจะลดความมันโดยตรง แต่จะช่วยลดปัจจัยที่ทำให้เกิดความมันบนผิวหน้า ได้แก่ BHA ที่ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็ก รู้สึกสดชื่นขึ้นหลังใช้และสารสกัดจากข้าว ช่วยลดสิวที่เกิดจากความมันใบหน้า ซึ่งไม่ได้เคลมเรื่องลดความมันบนผิวซะทีเดียว
:: First Impression ::
หลังจากล้างหน้า เราเช็ดด้วยตัวนี้เลย จากนั้นก็ทาสกินแคร์ ลง Primer และแต่งหน้าตามปกติเลย โดยเราลองทาครึ่งหน้า เพื่อดูว่าช่วยลดสิวและความมันบนผิวได้จริงหรือเปล่า สรุป คือ ช่วยลดสิวจริงค่ะ ข้างที่ไม่ได้เช็ดมีสิวขึ้นค่ะ ผลิตภัณฑ์ของขั้นตอนอื่นๆ เราใช้เหมือนกันทั้งหน้าค่ะ แต่ไม่ได้ควบคุมความมันบนผิวนะ ระหว่างวันก็ยังมันเหมือนกันทั้งสองข้าง
💚💚+1/2
ชอบนะ ลองแล้วอยากใช้ต่อ เพราะเห็นผลจริงๆ แต่หักตรงที่ไม่ได้ควบคุมความมันบนผิวอย่างที่คาดหวังไว้ตอนแรก (ก่อนจะอ่านสรรพคุณที่หลังขวด)
ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงและปกป้องผิว
6. Dermist Lasting White Cream (30 กรัม) 335 บาท
:: จุดเด่น ::
ตัวนี้ไม่ได้แค่ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสอย่างเดียว ยังช่วยลดเม็ดสีของฝ้า กระ รวมถึงจุดด่างดำที่สะสมมานาน ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น และไม่ทำให้สีเข้มขึ้นเมื่อหยุดใช้
:: First Impression ::
อันนี้เราไม่ได้ใช้เอง เพราะไม่ได้มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ เลยหาอาสามาสมัครลองใช้ ซึ่งเพื่อนคนนี้มีผิวแห้ง ในเบื้องต้นใช้ได้ดีไม่มีแพ้ ความชุ่มชื่นปานกลาง ลงแล้วผิวหายแห้งทันที แต่ผ่านไปสักครึ่งวันอาจ ส่วนตัวเราลองเปิดและลองที่หลังมือ เนื้อครีมโอเคนะ ไม่หนักมาก ซึมลงผิวง่าย หลังทาแล้วผิวจะแมทๆ กลิ่นน้ำหอมแรงนิดนึง
💚💚
เพื่อนและเราเห็นตรงกันคือให้ 2 หัวใจ ส่วนอื่นโอเคหมดเลยนะ เราหักตรงกลิ่นแรงไปหน่อย ส่วนเรื่องลดเม็ดสีผิว คงต้องใช้อย่างต่อเนื่องถึงจะเห็นผล และควรใช้ครีมแบบนี้ควบคู่กับกันแดดด้วยนะคะ
7. Dermist Melasma Whitening Cream (15 กรัม) 205 บาท
:: จุดเด่น ::
ตัวนี้เคลมเหมือนกันตัวก่อนหน้าเป๊ะ ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสและสม่ำเสมอ ลดเม็ดสีของฝ้า กระ และจุดด่างดำ แต่ตัวนี้เหมาะกับรอยที่เพิ่งเกิดใหม่ สำหรับใครที่มีปัญหาสะสมมากน้อยไม่เท่ากันบนใบหน้า อาจใช้ตัวนี้และ Melasma (ตัวก่อนหน้านี้) ควบคู่กันไป
:: First Impression ::
สำหรับตัวนี้เราให้เพื่อนคนเดิมลองใช้เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้คล้ายกัน ทั้งเรื่องความชุ่มชื่นและกลิ่น หลังทาแล้วแมท โดยเนื้อตัวนี้จะเข้มข้นกว่า แต่เกลี่ยและซึมง่ายเหมือนกันค่ะ
💚💚
ให้ 2 หัวใจและความคิดเห็นเหมือนกับตัวบนเลยค่ะ เราว่าเลือกใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิวของเพื่อนๆ ค่ะ
8. Dermist Super All In One Cream (30 กรัม) 335 บาท
:: จุดเด่น ::
ตัวนี้ราคาแรงสุดใน 10 ตัวนี้ แต่คุณสมบัติของนางแน่นสมราคาอยู่นะคะ เพราะเป็นครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดในกระปุกเดียว คุณสมบัติของการบำรุงก็พกมาเพียบ ได้แก่ ชะลอริ้วรอย ทำให้ผิวยืดหยุ่นด้วยส่วนผสมจาก Peptides, ทำให้ผิวผ่องใสด้วยสารสกัดจากชะเอม และทำให้ผิวเรียบเนียนด้วยวิตามินบี, ชาเขียว, สาหร่าย และเรตินอล ส่วนการป้องกันแดด ใช้ทิทาเนียมไดออกไซด์ที่ทนน้ำและทำให้ผิวไม่วอกหลังทาค่ะ กว่าจะพิมพ์หมด เหนื่อยนะเนี่ย (ถ้าพูดแบบต่อๆ กันจะคล้ายร้องเพลงแร็ปมากค่ะ หายใจไม่ทันเลยทีเดียว 55555)
:: First Impression ::
กลิ่นอ่อนๆ คล้ายยาค่ะ (อธิบายไม้ถูกเหมือนกันว่ายาอะไร) กลิ่นเบากว่าสองตัวก่อนหน้านี้มาก เรื่องความชุ่มชื่นทำได้ดี หลังทาผิวไม่เหนอะหนะ เรื่องริ้วรอย ความขาวและเรียบเนียน ยังคอนเฟิร์มไม่ได้ ต้องใช้ระยะเวลาอะเนอะ
💚💚
เอาไป 2 หัวใจ ช่วยประหยัดเวลาได้ดีมาก เหมาะสำหรับสาวมือใหม่หัดบำรุงหรือสาวที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ (เป็นตัวในฝันของใครหลายคนเลยแหละเราว่า) เพราะเป็นทั้งกันแดด + บำรุงในตัวเดียว ส่วนเรื่องการกันแดด เรายังไม่เห็นผลลัพธ์จริงจัง เพราะใช้ตอนอยู่บ้านและตอนไปทำงาน ซึงเรานั่งในออฟฟิศซะส่วนใหญ่ (เรายังไม่ได้ไปตากแดดตรงๆ) ไม่มี SPF บอกไว้ด้วย ถ้าใครต้องไปโดนแดดจัดนานๆ แนะนำให้ทาครีมกันแดดเพิ่มอีกตัว ดีกว่าค่ะ
เดินทางมาเกือบโค้งสุดท้ายแล้ว ขอสรุปความประทับใจของครีมบำรุงของ Dermist ซะหน่อย
ทุกตัวมีส่วนผสมที่สกัดจากธรรมชาติในการบำรุงผิว, เนื้อครีมเกลี่ยและซึมลงผิวง่าย หลังทาผิวจะไม่เหนอะหนะและไม่วอก ถึงเราจะไม่ได้ปลื้มกลิ่นมาก (ปกติเราชอบกลิ่นขนมๆ เพราะเป็นชอบกินอะเนอะ 555) แต่เวลาทากลิ่นจะติดผิวน้อยมาก ถ้าไม่มาดมใกล้ๆ แทบไม่รู้สึกค่ะ
อีกสองตัวตามไปอ่านต่อในคอมเม้นเลยค่าาาาาา พิมพ์ไปพิมพ์เกินจำนวนตัวอักษรซะแล้ว 555555
[SR] [Skincare Mini Review] 10 ไอเท็มดูแลผิวถูกและดี สำหรับทุกสภาพผิว! (ไม่เกิน 350 บาท)
เกริ่นมาซะขนาดนี้ ตามไปดูโลดดดด เราจะเรียงลำดับตามขั้นตอนการดูแลผิวนะจ้ะ
1. Dermist Sooth Cleansing Water (100 มิลลิลิตร) 155 บาท
เอาไปเลย 2 หัวใจครึ่ง เต็ม 3 หัวใจ หักตรงปริมาณน้อยไปหน่อย Cleansing Water ครั้งหนึ่งต้องใช้ปริมาณเยอะพอสมควร อาจต้องซื้อใหม่บ่อยๆ แต่ถ้าแต่งหน้าน้อย ขวดปริมาณนี้ก็เหมาะอยู่ค่ะ
2. Dermist Ultra Deep Cleanser (60 กรัม) 105 บาท
เอาไปเลย 3 หัวใจเต็มๆ ลองแล้วอยากใช้ต่อนะ เราชอบผิวหลังล้างที่แมทกำลังดี
3. Dermist Gentle Facial Liquid Soap (110 กรัม) 145 บาท
4. Dermist Acne Whitening Soap (70 กรัม) 65 บาท
เราให้ 2 หัวใจ ส่วนตัวเราไม่ค่อยชอบใช้สบู่ก้อนเท่าไหร เพราะเป็นคนซุ่มซ่ามค่ะ พอฟอกกับน้ำแล้วทำหลุดจนก้อบุบไปทั่ว 555 สบู่เลยจะเละและสกปรกก่อนใช้หมดทุกที หากอยากใช้ใครทั้งหน้าและตัว เราแนะนำให้ตัดแบ่งและแยกใช้ระหว่างหน้ากับตัวค่ะ
5. Dermist Oil Shine Control Lotion (100 มิลลิลิตร) 125 บาท
(อันนี้ที่เราได้เป็น Lot แรกก่อนปล่อยตลาด สีของโลชั่นอาจจะไม่ตรงกับที่วางขายนะคะ ที่วางขายอยู่จะสีชมพูแดงๆ แต่คุณสมบัติไม่ต่างกันค่ะ)
ชอบนะ ลองแล้วอยากใช้ต่อ เพราะเห็นผลจริงๆ แต่หักตรงที่ไม่ได้ควบคุมความมันบนผิวอย่างที่คาดหวังไว้ตอนแรก (ก่อนจะอ่านสรรพคุณที่หลังขวด)
เพื่อนและเราเห็นตรงกันคือให้ 2 หัวใจ ส่วนอื่นโอเคหมดเลยนะ เราหักตรงกลิ่นแรงไปหน่อย ส่วนเรื่องลดเม็ดสีผิว คงต้องใช้อย่างต่อเนื่องถึงจะเห็นผล และควรใช้ครีมแบบนี้ควบคู่กับกันแดดด้วยนะคะ
ให้ 2 หัวใจและความคิดเห็นเหมือนกับตัวบนเลยค่ะ เราว่าเลือกใช้ให้เหมาะกับปัญหาผิวของเพื่อนๆ ค่ะ
:: First Impression ::
💚💚
เอาไป 2 หัวใจ ช่วยประหยัดเวลาได้ดีมาก เหมาะสำหรับสาวมือใหม่หัดบำรุงหรือสาวที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ (เป็นตัวในฝันของใครหลายคนเลยแหละเราว่า) เพราะเป็นทั้งกันแดด + บำรุงในตัวเดียว ส่วนเรื่องการกันแดด เรายังไม่เห็นผลลัพธ์จริงจัง เพราะใช้ตอนอยู่บ้านและตอนไปทำงาน ซึงเรานั่งในออฟฟิศซะส่วนใหญ่ (เรายังไม่ได้ไปตากแดดตรงๆ) ไม่มี SPF บอกไว้ด้วย ถ้าใครต้องไปโดนแดดจัดนานๆ แนะนำให้ทาครีมกันแดดเพิ่มอีกตัว ดีกว่าค่ะ