สงสัยค่ะ อยากรู้ว่าทำไมการอ่านหนังสือถึงดูมีภาษีมากกว่างานอดิเรกอื่นๆ
เช่นถ้าบอกว่า ชอบอ่านหนังสือ ก็จะถูกมองว่า ฉลาดหรือดูน่านับถือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอ่านหนังสืออะไร บางคนก็ชอบอ่านหนังสือนวนิยาย แต่ไม่ว่าจะอ่านอะไร ถ้าชอบอ่านหนังสือคือถูกมองว่าดีตลอด แต่พอบอกว่า ดูหนัง ละคร หรือ ดูสารคีต่างๆจะดูมีภาษีด้อยกว่าอ่านหนังสือทันที
คือบางคนก็ไม่ชอบอ่านหนังสือ เรียนรู้จากการอ่านไม่เก่ง อย่างเรา เราชอบการมองภาพหรือฟังคนอื่นอธิบายมากกว่าเพราะมันดูมีอรรถรส มีน้ำเสียง หรืออย่างรูปก็มีรูปให้เห็นให้จำได้ มันทำให้เราเข้าใจได้ง่าย แต่ก็ถูกคนอื่นดูถูกหรือถูกมองว่า ไม่ใฝ่เรียน ไม่ชอบอ่านหนังสือ
งานวิจัยก็วัดว่า คนไทยอ่านหนังสือได้เท่านั้นเท่านี้
แต่ทำไมไม่มีงานวิจัยไหนเปรียบเทียบงานอดิเรกอย่างอื่นบ้าง
จริงๆแล้วหนังสือ มันก็คือสิ่งที่เราเห็นจากประสบการณ์ที่เจอหรือจินตนาการออกมาซึ่งมันก็น่าจะเป็นลักษณะของรูปภาพหรือความคิด แล้วค่อยมาเรียบเรียงเป็นตัวอักษร เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดให้คนอื่นได้สัมผัสบ้าง ซึ่งถ่ายทอดออกมา แต่ละคนก็จินตนาการไม่เหมือนกัน ก็ไม่ตรงกับสิ่งที่คนเขียนอยากกจะสื่อจริงๆ
เข้าใจนะว่าเมื่อก่อนอาจจะยังล้าสมัยยังไม่มีกล้องบันทึกภาพบันทึกเสียงเลยต้องเขียนออกมาแทน แต่สมัยนี้ กล้องก็มี บันทึกได้ทั้งภาพ ทั้งเสียง สมจริงขึ้นเรื่อยๆ แต่การอ่านหนังสือก็ยังดูมีภาษีมากกว่างานดิเรกอื่นๆอยู่ดี สงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นคะ
ทำไมการอ่านหนังสือถึงมีภาษีดีกว่างานอดิเรกอื่นๆ ?
เช่นถ้าบอกว่า ชอบอ่านหนังสือ ก็จะถูกมองว่า ฉลาดหรือดูน่านับถือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอ่านหนังสืออะไร บางคนก็ชอบอ่านหนังสือนวนิยาย แต่ไม่ว่าจะอ่านอะไร ถ้าชอบอ่านหนังสือคือถูกมองว่าดีตลอด แต่พอบอกว่า ดูหนัง ละคร หรือ ดูสารคีต่างๆจะดูมีภาษีด้อยกว่าอ่านหนังสือทันที
คือบางคนก็ไม่ชอบอ่านหนังสือ เรียนรู้จากการอ่านไม่เก่ง อย่างเรา เราชอบการมองภาพหรือฟังคนอื่นอธิบายมากกว่าเพราะมันดูมีอรรถรส มีน้ำเสียง หรืออย่างรูปก็มีรูปให้เห็นให้จำได้ มันทำให้เราเข้าใจได้ง่าย แต่ก็ถูกคนอื่นดูถูกหรือถูกมองว่า ไม่ใฝ่เรียน ไม่ชอบอ่านหนังสือ
งานวิจัยก็วัดว่า คนไทยอ่านหนังสือได้เท่านั้นเท่านี้
แต่ทำไมไม่มีงานวิจัยไหนเปรียบเทียบงานอดิเรกอย่างอื่นบ้าง
จริงๆแล้วหนังสือ มันก็คือสิ่งที่เราเห็นจากประสบการณ์ที่เจอหรือจินตนาการออกมาซึ่งมันก็น่าจะเป็นลักษณะของรูปภาพหรือความคิด แล้วค่อยมาเรียบเรียงเป็นตัวอักษร เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เราคิดให้คนอื่นได้สัมผัสบ้าง ซึ่งถ่ายทอดออกมา แต่ละคนก็จินตนาการไม่เหมือนกัน ก็ไม่ตรงกับสิ่งที่คนเขียนอยากกจะสื่อจริงๆ
เข้าใจนะว่าเมื่อก่อนอาจจะยังล้าสมัยยังไม่มีกล้องบันทึกภาพบันทึกเสียงเลยต้องเขียนออกมาแทน แต่สมัยนี้ กล้องก็มี บันทึกได้ทั้งภาพ ทั้งเสียง สมจริงขึ้นเรื่อยๆ แต่การอ่านหนังสือก็ยังดูมีภาษีมากกว่างานดิเรกอื่นๆอยู่ดี สงสัยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นคะ