
สมัยเด็กๆ หลายคนคงเคยเล่นทายปัญหาความรู้รอบตัวกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็ได้ความรู้อะไรใหม่ๆมาจากที่โรงเรียน บางทีเราก็ได้แต่จำคำตอบหรือความรู้นั้นๆมา แล้วก็ใช้มันต่อๆมา แต่บางครั้งในใจลึกๆของเราแล้ว มันก็ยังมีความสงสัยหรืออยากจะไปพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าไอ้สิ่งที่เราได้รู้และได้ยินมานั้นมันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรืออาจจะอยากไปดูให้เห็นกับตาว่าทำไมเขาถึงบอกเล่ากันมาอย่างนั้น
เราก็เช่นกัน ตอนเรียนวิชาสังคมศึกษาเคยได้ยินว่า Dead Sea เป็นทะเลสาปที่เค็มที่สุดในโลกและคนเราสามารถลอยตัวได้โดยไม่จม ในใจก็คิดว่าเออมันจะเป็นยังไงนะ คนลอยน้ำได้และก็อยากลองชิมดูสักครั้งว่ามันจะเค็มเหมือนน้ำทะเลที่บ้านเราหรือเปล่า ตอนนี้พอมีโอกาส เราก็เลยพาเด็กๆมาเที่ยวจอร์แดน จะได้ตอบความสงสัยของตัวเองสมัยวัยเยาว์เกี่ยวกับ Dead Sea และก็อยากให้เด็กๆได้รับรู้ประสบการณ์ว่าความมหัศจรรย์ของธรรมชาติมันน่าทึ่งเพียงไร
ประเทศจอร์แดนมีชื่อเต็มว่าราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (Hashemite Kingdom of Jordan) ซึ่งก็คือชื่อของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งก็เข้าใจกันว่าเป็นแม่น้ำที่พระเยซูทำพิธีล้างบาปในศาสนาคริสต์ มี Amman เป็นเมืองหลวง มีประชาการประมาณ 10 ล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม รายได้ที่สำคัญของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวนี่เอง เคยมีคนจอร์แดนถึงกับพูดว่าถ้าไม่มีคนมาเที่ยวที่ประเทศของเขา ก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกินเหมือนกัน ค่อนข้างแปลกที่รายได้จากน้ำมันไม่ใช่รายได้หลักเหมือนประเทศอาหรับที่อยู่ข้างๆ ส่วนสถิติที่สำคัญอีกอันก็คือเป็นประเทศที่ข้นแค้นที่สุดเป็นอันดับสองของโลกเมื่อเทียบประชากรรายหัวในเรื่องของน้ำ คือน้ำจืดหายากที่ประเทศนี้ ถ้ามาเที่ยวก็ต้องช่วยๆกันใช้น้ำอย่างคุ้มค่าด้วยนะ

สำหรับทริปนี้ เราไปเที่ยวกัน 9 วันเมื่อปลายปีที่แล้วระหว่างวันที่ 25 ธค. 58 ถึง 2 มค. 59 ไปกัน 4 คนเช่นเคย (ตอนนั้นเจ้าตัวเล็กอายุเกือบๆ 3 ขวบครึ่ง) เช่ารถขับเที่ยวเอง ตอนแรกเราก็กังวลเรื่องความปลอดภัยและมีคนทักไว้เหมือนกัน ก็เลยทำการบ้านเมล์ไปถามสถานทูตไทยที่นั่นและก็อ่าน review ต่างๆ ก็ประเมินสรุปได้ว่าประเทศนี้ค่อนข้างปลอดภัย น่าจะหายห่วง คือมีแต่คนยืนยันว่าปลอดภัยมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยว
สภาพอากาศตอนที่เราไปก็ค่อนข้างเย็น ประมาณสัก 10 องศา +/- เอาเป็นว่าเป็นช่วงที่เย็นที่สุดของจอร์แดนเลย แต่ก็ทำให้เดินเที่ยวสบายไม่เหนื่อยมาก
อาหารที่นี่ก็สไตล์อาหรับ สำหรับเรา เราว่าอร่อยดี ทุกมื้อเลย แต่มาเที่ยวที่นี่เราก็เตรียมอาหารซองและข้าวสำเร็จรูปมาด้วยสำหรับการเที่ยวใน Petra เพราะเท่าที่หาข้อมูลได้เขาบอกว่าร้านอาหารใน Petra มีน้อยและแพง
การมาเที่ยวจอร์แดน สำหรับคนไทยสามารถขอวีซ่า on arrival ได้เลยที่สนามบิน จ่ายเงินสด 40 JD (1 JD หรือจอร์แดนดีน่า ประมาณ 50 บาท แนะนำว่าให้เตรียมเงิน ดีน่าไปเลยเพราะแลกที่เคาเตอร์ก่อน ตม จะเสียค่าธรรมเนียม แต่ก็ไม่ซีเรียสเท่าไหร่) แต่ถ้าอยู่ที่จอร์แดนเกิน 3 วัน ก็สามารถซื้อ Jordan Pass ได้ซึ่งจะรวมค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆและค่าวีซ่าไว้แล้ว สำหรับบ้านเราก็ซื้อ Jordan Pass เฉพาะของผู้ใหญ่ 2 คน เพราะเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีส่วนมากเที่ยวฟรีสำหรับประเทศนี้ แล้วค่อยไปซื้อวีซ่า on arrival แยกต่างหากให้เด็กๆ (ดูเพิ่มเติมได้ที่
http://jordanpass.jo/) เราว่าคุ้มค่านะ แนะนำมากๆ เพราะอย่างของเราวางแผนเที่ยว Petra 2 วัน ก็เลยซื้อ Jordan Pass Explorer ราคา 75 JD เทียบกับการซื้อแยกแค่ค่าวีซ่ากับค่าเข้า Petra ก็ 90 กว่าดีน่าแล้ว ค่าเข้าที่เที่ยวต่างๆในทริปของเราอยู่ใน Jordan Pass ทั้งหมดเลย แต่ต้องอยู่ในจอร์แดนเกิน 3 วันนะ ไม่งั้นถ้าเขาตรวจเจออาจจะถูกเก็บค่าวีซ่าย้อนหลัง
ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมากๆ ประเทศดูปลอดภัยจริง แม้จะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของความขัดแย้ง ที่สนามบินมี ATM ให้กด แต่ของเรามันจำกัดจำนวนเงินในแต่ละครั้งที่ 250 JD ก็กดหลายๆทีหน่อย มี sim โทรศัพท์พร้อมเน็ตขาย เราใช้ของ Zain พร้อม internet 1 GB จำได้คร่าวๆว่าจ่ายไปประมาณ 12 JD
เราเช่ารถจาก Monte Carlo สะดวกพอควร มีพนักงานมารับจากสนามบินไปที่ office ของ Monte Carlo ห่างจากสนามบินประมาณ 10 นาที ตอนส่งรถคืนก็ให้เขาไปรับรถที่ รร ในเมือง Amman ก็ฟรี การขับรถถ้านอกเมืองก็ไม่ค่อยยาก มีป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ แต่ติดใจตรงที่ถนนชอบมีหลังเต่าตลอดแม้ว่าจะเป็นทางหลัก Highway แต่ถ้าเข้ามาในเมืองนี่ก็อีกเรื่องคือไม่รู้รถมาจากไหนมากมายและเขาคิดจะจอดก็จอดเลย ไม่ค่อยมีระเบียบมากเท่าไหร่ สำหรับเด็กๆ ตามกฏหมายต้องมี car seat / booster seat ด้วย เราก็พกไปเองเลยทั้งสองอย่างเพื่อความประหยัด ไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่ม แต่ก็ลำบากตอนขนนิดหน่อย ระหว่างทางก็จะมีด่านตำรวจอยู่ประปราย ขอเช็คดูเอกสารบ้าง ถามนู่นนี่นั่นบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวนั่นเอง ระหว่างทางก็แนะนำว่าให้เข้าห้องน้ำตามมัสยิดต่างๆได้ ค่อนข้างสะอาดกว่าตามปั๊ม มาเที่ยวที่นี่ก็มีเรื่องขึ้โกงของชาวจอร์แดนจะเล่าให้ฟัง คือตอนเติมน้ำมัน ถ้าเราจ่ายแบงค์ใหญ่ให้เด็กปั๊มเขามักจะบอกว่าไม่มีเงินทอน กลายเป็นว่าเราอาจต้องเสียค่าทิปให้เด็กปั๊มไปเลย เพราะยังไงก็ไม่มีเงินทอนให้ 555
ส่วนที่พักก็หาจองตาม booking.com เช่นเคย มีให้เลือกมากมาย รวมถึงแคมป์ในทะเลทราย Wadi Rum ด้วย จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว เราคิดว่า รร ที่ประเทศนี้หาเจอค่อนข้างยากคือมันจะเป็นตึกไปหมดไม่รู้อะไรเป็นอะไร จนบางทีก็ต้องโทรไปหาที่ รร ให้เขาออกมารับ
แผนการเที่ยวคราวนี้ก็วนเป็นวงรีทางด้านตะวันตกของประเทศคือ Airport - Jerash - Madaba - Dead Sea - Petra - Wadi Rum - Aqaba – Amman – Airport เส้นทางการขับรถก็ประมาณนี้

ส่วนข้างล่างนี้เป็นเวลาทำการของที่เที่ยวต่างๆ ก็ลองดูไว้ใช้สำหรับวางแผนการเที่ยวได้ โดยจะต่างกันไปตามฤดูกาล

เอาละ เราไปรำลึกความหลังการพาเด็กๆไปผจญภัยที่จอร์แดนกันเลยดีกว่า
[ชวนลูกท่องโลก] ตะลุยจอร์แดน ร้องไห้ที่ Dead Sea ชมนครโบราณสองพันปีสีกุหลาบ และนอนดูดาวที่หุบเขาแห่งพระจันทร์
สมัยเด็กๆ หลายคนคงเคยเล่นทายปัญหาความรู้รอบตัวกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็ได้ความรู้อะไรใหม่ๆมาจากที่โรงเรียน บางทีเราก็ได้แต่จำคำตอบหรือความรู้นั้นๆมา แล้วก็ใช้มันต่อๆมา แต่บางครั้งในใจลึกๆของเราแล้ว มันก็ยังมีความสงสัยหรืออยากจะไปพิสูจน์ด้วยตัวเองว่าไอ้สิ่งที่เราได้รู้และได้ยินมานั้นมันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรืออาจจะอยากไปดูให้เห็นกับตาว่าทำไมเขาถึงบอกเล่ากันมาอย่างนั้น
เราก็เช่นกัน ตอนเรียนวิชาสังคมศึกษาเคยได้ยินว่า Dead Sea เป็นทะเลสาปที่เค็มที่สุดในโลกและคนเราสามารถลอยตัวได้โดยไม่จม ในใจก็คิดว่าเออมันจะเป็นยังไงนะ คนลอยน้ำได้และก็อยากลองชิมดูสักครั้งว่ามันจะเค็มเหมือนน้ำทะเลที่บ้านเราหรือเปล่า ตอนนี้พอมีโอกาส เราก็เลยพาเด็กๆมาเที่ยวจอร์แดน จะได้ตอบความสงสัยของตัวเองสมัยวัยเยาว์เกี่ยวกับ Dead Sea และก็อยากให้เด็กๆได้รับรู้ประสบการณ์ว่าความมหัศจรรย์ของธรรมชาติมันน่าทึ่งเพียงไร
ประเทศจอร์แดนมีชื่อเต็มว่าราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (Hashemite Kingdom of Jordan) ซึ่งก็คือชื่อของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งก็เข้าใจกันว่าเป็นแม่น้ำที่พระเยซูทำพิธีล้างบาปในศาสนาคริสต์ มี Amman เป็นเมืองหลวง มีประชาการประมาณ 10 ล้านคน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม รายได้ที่สำคัญของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวนี่เอง เคยมีคนจอร์แดนถึงกับพูดว่าถ้าไม่มีคนมาเที่ยวที่ประเทศของเขา ก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกินเหมือนกัน ค่อนข้างแปลกที่รายได้จากน้ำมันไม่ใช่รายได้หลักเหมือนประเทศอาหรับที่อยู่ข้างๆ ส่วนสถิติที่สำคัญอีกอันก็คือเป็นประเทศที่ข้นแค้นที่สุดเป็นอันดับสองของโลกเมื่อเทียบประชากรรายหัวในเรื่องของน้ำ คือน้ำจืดหายากที่ประเทศนี้ ถ้ามาเที่ยวก็ต้องช่วยๆกันใช้น้ำอย่างคุ้มค่าด้วยนะ
สำหรับทริปนี้ เราไปเที่ยวกัน 9 วันเมื่อปลายปีที่แล้วระหว่างวันที่ 25 ธค. 58 ถึง 2 มค. 59 ไปกัน 4 คนเช่นเคย (ตอนนั้นเจ้าตัวเล็กอายุเกือบๆ 3 ขวบครึ่ง) เช่ารถขับเที่ยวเอง ตอนแรกเราก็กังวลเรื่องความปลอดภัยและมีคนทักไว้เหมือนกัน ก็เลยทำการบ้านเมล์ไปถามสถานทูตไทยที่นั่นและก็อ่าน review ต่างๆ ก็ประเมินสรุปได้ว่าประเทศนี้ค่อนข้างปลอดภัย น่าจะหายห่วง คือมีแต่คนยืนยันว่าปลอดภัยมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยว
สภาพอากาศตอนที่เราไปก็ค่อนข้างเย็น ประมาณสัก 10 องศา +/- เอาเป็นว่าเป็นช่วงที่เย็นที่สุดของจอร์แดนเลย แต่ก็ทำให้เดินเที่ยวสบายไม่เหนื่อยมาก
อาหารที่นี่ก็สไตล์อาหรับ สำหรับเรา เราว่าอร่อยดี ทุกมื้อเลย แต่มาเที่ยวที่นี่เราก็เตรียมอาหารซองและข้าวสำเร็จรูปมาด้วยสำหรับการเที่ยวใน Petra เพราะเท่าที่หาข้อมูลได้เขาบอกว่าร้านอาหารใน Petra มีน้อยและแพง
การมาเที่ยวจอร์แดน สำหรับคนไทยสามารถขอวีซ่า on arrival ได้เลยที่สนามบิน จ่ายเงินสด 40 JD (1 JD หรือจอร์แดนดีน่า ประมาณ 50 บาท แนะนำว่าให้เตรียมเงิน ดีน่าไปเลยเพราะแลกที่เคาเตอร์ก่อน ตม จะเสียค่าธรรมเนียม แต่ก็ไม่ซีเรียสเท่าไหร่) แต่ถ้าอยู่ที่จอร์แดนเกิน 3 วัน ก็สามารถซื้อ Jordan Pass ได้ซึ่งจะรวมค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆและค่าวีซ่าไว้แล้ว สำหรับบ้านเราก็ซื้อ Jordan Pass เฉพาะของผู้ใหญ่ 2 คน เพราะเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีส่วนมากเที่ยวฟรีสำหรับประเทศนี้ แล้วค่อยไปซื้อวีซ่า on arrival แยกต่างหากให้เด็กๆ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://jordanpass.jo/) เราว่าคุ้มค่านะ แนะนำมากๆ เพราะอย่างของเราวางแผนเที่ยว Petra 2 วัน ก็เลยซื้อ Jordan Pass Explorer ราคา 75 JD เทียบกับการซื้อแยกแค่ค่าวีซ่ากับค่าเข้า Petra ก็ 90 กว่าดีน่าแล้ว ค่าเข้าที่เที่ยวต่างๆในทริปของเราอยู่ใน Jordan Pass ทั้งหมดเลย แต่ต้องอยู่ในจอร์แดนเกิน 3 วันนะ ไม่งั้นถ้าเขาตรวจเจออาจจะถูกเก็บค่าวีซ่าย้อนหลัง
ผู้คนที่นี่เป็นมิตรมากๆ ประเทศดูปลอดภัยจริง แม้จะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของความขัดแย้ง ที่สนามบินมี ATM ให้กด แต่ของเรามันจำกัดจำนวนเงินในแต่ละครั้งที่ 250 JD ก็กดหลายๆทีหน่อย มี sim โทรศัพท์พร้อมเน็ตขาย เราใช้ของ Zain พร้อม internet 1 GB จำได้คร่าวๆว่าจ่ายไปประมาณ 12 JD
เราเช่ารถจาก Monte Carlo สะดวกพอควร มีพนักงานมารับจากสนามบินไปที่ office ของ Monte Carlo ห่างจากสนามบินประมาณ 10 นาที ตอนส่งรถคืนก็ให้เขาไปรับรถที่ รร ในเมือง Amman ก็ฟรี การขับรถถ้านอกเมืองก็ไม่ค่อยยาก มีป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ แต่ติดใจตรงที่ถนนชอบมีหลังเต่าตลอดแม้ว่าจะเป็นทางหลัก Highway แต่ถ้าเข้ามาในเมืองนี่ก็อีกเรื่องคือไม่รู้รถมาจากไหนมากมายและเขาคิดจะจอดก็จอดเลย ไม่ค่อยมีระเบียบมากเท่าไหร่ สำหรับเด็กๆ ตามกฏหมายต้องมี car seat / booster seat ด้วย เราก็พกไปเองเลยทั้งสองอย่างเพื่อความประหยัด ไม่ต้องเสียค่าเช่าเพิ่ม แต่ก็ลำบากตอนขนนิดหน่อย ระหว่างทางก็จะมีด่านตำรวจอยู่ประปราย ขอเช็คดูเอกสารบ้าง ถามนู่นนี่นั่นบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวนั่นเอง ระหว่างทางก็แนะนำว่าให้เข้าห้องน้ำตามมัสยิดต่างๆได้ ค่อนข้างสะอาดกว่าตามปั๊ม มาเที่ยวที่นี่ก็มีเรื่องขึ้โกงของชาวจอร์แดนจะเล่าให้ฟัง คือตอนเติมน้ำมัน ถ้าเราจ่ายแบงค์ใหญ่ให้เด็กปั๊มเขามักจะบอกว่าไม่มีเงินทอน กลายเป็นว่าเราอาจต้องเสียค่าทิปให้เด็กปั๊มไปเลย เพราะยังไงก็ไม่มีเงินทอนให้ 555
ส่วนที่พักก็หาจองตาม booking.com เช่นเคย มีให้เลือกมากมาย รวมถึงแคมป์ในทะเลทราย Wadi Rum ด้วย จากประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว เราคิดว่า รร ที่ประเทศนี้หาเจอค่อนข้างยากคือมันจะเป็นตึกไปหมดไม่รู้อะไรเป็นอะไร จนบางทีก็ต้องโทรไปหาที่ รร ให้เขาออกมารับ
แผนการเที่ยวคราวนี้ก็วนเป็นวงรีทางด้านตะวันตกของประเทศคือ Airport - Jerash - Madaba - Dead Sea - Petra - Wadi Rum - Aqaba – Amman – Airport เส้นทางการขับรถก็ประมาณนี้
ส่วนข้างล่างนี้เป็นเวลาทำการของที่เที่ยวต่างๆ ก็ลองดูไว้ใช้สำหรับวางแผนการเที่ยวได้ โดยจะต่างกันไปตามฤดูกาล
เอาละ เราไปรำลึกความหลังการพาเด็กๆไปผจญภัยที่จอร์แดนกันเลยดีกว่า