จดหมายเปิดผนึก
กราบเรียนองค์คณะตุลาการศาลปกครองกลางที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ข้าพเจ้า นางสาวศศินภา นิติธรรมปพน ในฐานะพุทธศาสนิกชน ละเป็นผู้เคยดำรงตำแหน่งกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติผู้ฟ้องคดิ ขอกราบขอบพระคุณองค์คณะตุลการศาลปกครองกลาง ที่พิจารณาคดีระหว่าง ผู้ฟ้องคดีและ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ ๑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่ถูกฟ้องคดี ตามหมายเลขคดีดำที่ ๑๘๗๔/๒๕๕๙๙ ด้วยความเทึ่ยงตรง และมีเมตตาให้รายละเอียดอันเป็นประโยชน์ต่อแนวทางการเรียกร้องขอความเป็นธรรม ระหว่าง ภาคประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในกาลข้างหน้า
ข้าพเจ้าในฐานะผู้ฟ้องคดี ทราบดีถึงผลของการพิจารณาคดีแต่การได้ออกมาบอกแก่สังคมว่า เกิดอะไรขึ้น ระหว่าง สถาบันชาติ และองค์กรหนึ่งที่เป็นหน่วยงานใหญ่ใน สถาบันศาสนา นั่นคือสิ่งที่เป็นความต้องการอันแท้จริงของข้าพเจ้า เพราะสิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็น ข้อมูลชั้นปฐมภูมิ เป็น “ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่า“ ที่ไม่รู้จบ ในชนชาติที่นับถือ พระพุทธศาสนาทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในประเทศ ที่ถือว่า เป็นศูนย์กลาง เป็นเมืองหลวงของชาวพุทธทั่วโลก ( แต่ประมุขแห่งพุทธศาสนาของโลก ยังคงไม่อาจได้รับการสถาปนาแต่งตั้ง)
นอกจาก จะเป็น“ประวติศาสตร์จากคำบอกเล่า“ แล้ว คำ
ฟ้องทั้งที่เป็น คดีดำ และคดีแดง จะเป็นข้อมูล
ในการ “ปฏิรูปองค์กรศาลปกครอง และศาลยุติธรรม“ ในกาลต่อไปภายภาคหน้าซึ่งอาจไม่ทันในชาตินี้ ก็ต้องมีชาติหน้า สักชาติหนึ่ง ตามคติความเชื่อของทาง พระพุทธศาสนา ว่าจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด หากเรายังไม่หมดสิ้นอาสวะกิเลส และเข้าสู่ อายตนะนิพพาน. การปฏิรูป กระบวนการยุติธรรม คงได้เกิดมีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่จะกล่าวว่า ศาลฯไม่ยุติธรรม แต่เจตนาที่แท้จริง ต้องการจะบอกกล่าวแก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะ สังคมชาวพุทธทั่วโลกว่า “กฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรม หากกระบวนการทางกฎหมายไม่ได้ยึด เจตนารมณ์ แห่งความยุติธรรมมาตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และ สุดท้ายที่จะมาจบลงที่ ตราชูของตุลาการ“
ศศินภา นิติธรรมปพน.
ผู้เคยดำรงตำแหน่ง กรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา และ อนุกรรมาธิการประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่า ใน กมธ.จดหมายเหตุฯ
สภาปฏิรูปแห่งชาติ.
๑๗ ธันวาคม. ๒๕๕๙๙.
กรณีการดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกาย ส่งผลยังงัยบ้างกับกิจการพระพุทธศาสนา?
จดหมายเปิดผนึก
กราบเรียนองค์คณะตุลาการศาลปกครองกลางที่เคารพอย่างสูงยิ่ง
ข้าพเจ้า นางสาวศศินภา นิติธรรมปพน ในฐานะพุทธศาสนิกชน ละเป็นผู้เคยดำรงตำแหน่งกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติผู้ฟ้องคดิ ขอกราบขอบพระคุณองค์คณะตุลการศาลปกครองกลาง ที่พิจารณาคดีระหว่าง ผู้ฟ้องคดีและ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ที่ ๑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ ๒ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองที่ถูกฟ้องคดี ตามหมายเลขคดีดำที่ ๑๘๗๔/๒๕๕๙๙ ด้วยความเทึ่ยงตรง และมีเมตตาให้รายละเอียดอันเป็นประโยชน์ต่อแนวทางการเรียกร้องขอความเป็นธรรม ระหว่าง ภาคประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในกาลข้างหน้า
ข้าพเจ้าในฐานะผู้ฟ้องคดี ทราบดีถึงผลของการพิจารณาคดีแต่การได้ออกมาบอกแก่สังคมว่า เกิดอะไรขึ้น ระหว่าง สถาบันชาติ และองค์กรหนึ่งที่เป็นหน่วยงานใหญ่ใน สถาบันศาสนา นั่นคือสิ่งที่เป็นความต้องการอันแท้จริงของข้าพเจ้า เพราะสิ่งเหล่านี้ จะกลายเป็น ข้อมูลชั้นปฐมภูมิ เป็น “ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่า“ ที่ไม่รู้จบ ในชนชาติที่นับถือ พระพุทธศาสนาทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในประเทศ ที่ถือว่า เป็นศูนย์กลาง เป็นเมืองหลวงของชาวพุทธทั่วโลก ( แต่ประมุขแห่งพุทธศาสนาของโลก ยังคงไม่อาจได้รับการสถาปนาแต่งตั้ง)
นอกจาก จะเป็น“ประวติศาสตร์จากคำบอกเล่า“ แล้ว คำ
ฟ้องทั้งที่เป็น คดีดำ และคดีแดง จะเป็นข้อมูล
ในการ “ปฏิรูปองค์กรศาลปกครอง และศาลยุติธรรม“ ในกาลต่อไปภายภาคหน้าซึ่งอาจไม่ทันในชาตินี้ ก็ต้องมีชาติหน้า สักชาติหนึ่ง ตามคติความเชื่อของทาง พระพุทธศาสนา ว่าจะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด หากเรายังไม่หมดสิ้นอาสวะกิเลส และเข้าสู่ อายตนะนิพพาน. การปฏิรูป กระบวนการยุติธรรม คงได้เกิดมีขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่จะกล่าวว่า ศาลฯไม่ยุติธรรม แต่เจตนาที่แท้จริง ต้องการจะบอกกล่าวแก่สังคมโดยรวม โดยเฉพาะ สังคมชาวพุทธทั่วโลกว่า “กฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรม หากกระบวนการทางกฎหมายไม่ได้ยึด เจตนารมณ์ แห่งความยุติธรรมมาตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง และ สุดท้ายที่จะมาจบลงที่ ตราชูของตุลาการ“
ศศินภา นิติธรรมปพน.
ผู้เคยดำรงตำแหน่ง กรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา และ อนุกรรมาธิการประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่า ใน กมธ.จดหมายเหตุฯ
สภาปฏิรูปแห่งชาติ.
๑๗ ธันวาคม. ๒๕๕๙๙.