ขึ้นหัวมาเหมือนกระทู้ที่ถามกันบ่อยๆ ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
แต่ของผมคืออยากจะมาแชร์ครับ ว่าผมสามารถมีบ้าน มีรถได้โดยที่ไม่มีเงินเก็บสักบาท ได้อย่างไร
เริ่มเรื่องก่อนนะครับ จขกท ทำงานใน กทม มีเงินเดือนอยู่ที่ 3 หมื่นกลางๆ อยู่กับแฟน 2 คน แฟนเงินเดือนหมื่นกลางๆ
ตอนแรกมีรถเก่าๆอยู่แล้ว 1 คัน แต่ภายหลังมักจะมีปัญหาเวลาไปไหนกันแต่ละที จะไปกันไม่หมด
(บ้านผมกับบ้านแฟน เวลาไปเที่ยวกันจะไปกันหมด) ทำให้รถเก๋งเก่าๆคันนึงเริ่มรู้สึกเล็กไปละ
จึงเริ่มมองหารถ PPV สักคัน โดยหาเป็นรถมือ 2 เพราะต้องการเอาแค่ผ่อนไหว
และเป็นโชคดีที่ช่วงที่หารถนั้นเป็นช่วงที่เริ่มนโยบายรถคันแรกพอดี ทำให้ราคารถมือ 2 ดิ่งลงเหวกันสุดๆ
จึงได้รถ PPV มาคันนึงที่ราคา 640,000 บาท แต่ราคาประเมินไฟแนนซ์ประเมินมาที่ 650,000 บาท
สรุปรถคันนี้จึงได้มาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินดาวน์สักบาท แถมยังมีเงินมาจ่ายค่าประกันอีกเล็กน้อย
ส่วนรถคันเก่า ก็เอาไปขายถูกๆ 100,000 นึง เอามาปิดยอดที่ยังค้างอยู่ 50,000 บาท
เลยมีเงินเหลืออีก 50,000 บาทเอามาปรับปรุงเพิ่มเติมรถที่ได้มาอีกนิดหน่อยแบบสบายๆ
สรุปได้รถมาคันนึงละ ทั้งๆที่ไม่มีเงินเก็บเลย
ผ่านมา 3 ปี (รถผ่อน 6 ปี) บ้านที่เช่าอยู่รู้สึกว่าไม่อยากเช่าละ เอาเงินให้เขาโดยที่ไม่ได้อะไรเลย
สู้เอาเงินเช่า ไปผ่อนบ้านซะยังดีกว่า เลยเริ่มมองหาบ้าน
โดยข้อแม้ในการหาบ้านนั้นคือ แน่นอน ไม่มีเงินเก็บสักบาท เงินดาวน์ก็ไม่มี
จึงต้องหาบ้านที่ได้ราคาประเมินสูงกว่าราคาขาย และต้องอยู่ไม่ห่างจากที่เดิมที่เช่าอยู่มากนัก
ใช้เวลาหานานมากๆ หามาตั้งแต่เดือนเมษายน มาเจอบ้านเอาตอนประมาณเดือนกรกฎาคม
เป็นบ้านเดียวชั้นเดียว ราคาขายที่ 2 ล้านนิดๆ เลยลองยื่นกู้ดู โดยที่อยากรู้ราคาประเมินก่อนว่าจะได้สักเท่าไหร่
เลยไปลองยื่นกับธนาคารหนึ่ง ซึ่งฟรีค่าประเมิน (ประหยัดค่าประเมินไปอีก)
หลังจากที่ได้ราคาประเมินมา สรุปว่าเกินกว่าราคาขายมา 2 แสน ได้ตามเป้าที่ต้องการละ
ปัญหาต่อมาคือ ธนาคารที่ยื่นไป ได้ยอดกู้แค่ 90% ของราคาประเมิน ทำให้ยอดเงินจริงๆไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
เลยไปไล่เช็คข้อมูลตามธนาคารต่างๆ จนมาเจออีกธนาคารนึงซึ่งให้ได้ถึง 100% เต็ม จึงทำการยื่นกู้ไป
(ราคาประเมินเรารู้อยู่ละ ซึ่งประเมินมาได้เท่ากันเป๊ะ) แต่เนื่องจากติดที่ต้องผ่อนรถอยู่ด้วย ทำให้ตอนแรกไม่ผ่าน
เลยต้องยื่นกู้ใหม่ โดยกู้ร่วมกับแฟน สุดท้ายผ่านครับ
ตอนนี้ก็สรุปได้ทั้งบ้าน ได้ทั้งรถมาเรียบร้อยโดยที่ตอนที่ยื่นกู้นั้นไม่มีเงินเก็บสักบาทครับ
และตอนนี้ก็ยังผ่อนมาได้แบบสบายๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
เพราะมันอยู่ที่ตัวเราเอง ว่าในเดือนๆนึง เราคำนวนดูแล้วคิดว่าเราเหลือเงินพอใช้หรือไม่
สำหรับผมที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดูดบุหรี่ มีไปเที่ยวก็ไปต่างจังหวัดกับครอบครัวบ้างเป็นครั้งคราว
หลังจากหักค่าผ่อนต่างๆแล้ว ยังเหลือเงินใช้ได้แบบไม่เดือนร้อนครับ
เพราะอาศัยอยู่แบบพอเพียง ไม่ฟุ้มเฟ้อ ทำกับข้าวกินเองบ้าง บ้านมีที่ก็ปลูกพวกพืชผักเองบ้าง
ก็เซฟค่าใช้จ่ายไปได้เยอะครับ
ถ้ารู้จักใช้เงินให้เป็น การมีบ้าน มีรถก็ไม่ใช่เรื่องเกินฝันครับผม
อยากมีบ้าน มีรถ แต่ไม่มีเงินเก็บสักบาท
แต่ของผมคืออยากจะมาแชร์ครับ ว่าผมสามารถมีบ้าน มีรถได้โดยที่ไม่มีเงินเก็บสักบาท ได้อย่างไร
เริ่มเรื่องก่อนนะครับ จขกท ทำงานใน กทม มีเงินเดือนอยู่ที่ 3 หมื่นกลางๆ อยู่กับแฟน 2 คน แฟนเงินเดือนหมื่นกลางๆ
ตอนแรกมีรถเก่าๆอยู่แล้ว 1 คัน แต่ภายหลังมักจะมีปัญหาเวลาไปไหนกันแต่ละที จะไปกันไม่หมด
(บ้านผมกับบ้านแฟน เวลาไปเที่ยวกันจะไปกันหมด) ทำให้รถเก๋งเก่าๆคันนึงเริ่มรู้สึกเล็กไปละ
จึงเริ่มมองหารถ PPV สักคัน โดยหาเป็นรถมือ 2 เพราะต้องการเอาแค่ผ่อนไหว
และเป็นโชคดีที่ช่วงที่หารถนั้นเป็นช่วงที่เริ่มนโยบายรถคันแรกพอดี ทำให้ราคารถมือ 2 ดิ่งลงเหวกันสุดๆ
จึงได้รถ PPV มาคันนึงที่ราคา 640,000 บาท แต่ราคาประเมินไฟแนนซ์ประเมินมาที่ 650,000 บาท
สรุปรถคันนี้จึงได้มาโดยที่ไม่ต้องเสียเงินดาวน์สักบาท แถมยังมีเงินมาจ่ายค่าประกันอีกเล็กน้อย
ส่วนรถคันเก่า ก็เอาไปขายถูกๆ 100,000 นึง เอามาปิดยอดที่ยังค้างอยู่ 50,000 บาท
เลยมีเงินเหลืออีก 50,000 บาทเอามาปรับปรุงเพิ่มเติมรถที่ได้มาอีกนิดหน่อยแบบสบายๆ
สรุปได้รถมาคันนึงละ ทั้งๆที่ไม่มีเงินเก็บเลย
ผ่านมา 3 ปี (รถผ่อน 6 ปี) บ้านที่เช่าอยู่รู้สึกว่าไม่อยากเช่าละ เอาเงินให้เขาโดยที่ไม่ได้อะไรเลย
สู้เอาเงินเช่า ไปผ่อนบ้านซะยังดีกว่า เลยเริ่มมองหาบ้าน
โดยข้อแม้ในการหาบ้านนั้นคือ แน่นอน ไม่มีเงินเก็บสักบาท เงินดาวน์ก็ไม่มี
จึงต้องหาบ้านที่ได้ราคาประเมินสูงกว่าราคาขาย และต้องอยู่ไม่ห่างจากที่เดิมที่เช่าอยู่มากนัก
ใช้เวลาหานานมากๆ หามาตั้งแต่เดือนเมษายน มาเจอบ้านเอาตอนประมาณเดือนกรกฎาคม
เป็นบ้านเดียวชั้นเดียว ราคาขายที่ 2 ล้านนิดๆ เลยลองยื่นกู้ดู โดยที่อยากรู้ราคาประเมินก่อนว่าจะได้สักเท่าไหร่
เลยไปลองยื่นกับธนาคารหนึ่ง ซึ่งฟรีค่าประเมิน (ประหยัดค่าประเมินไปอีก)
หลังจากที่ได้ราคาประเมินมา สรุปว่าเกินกว่าราคาขายมา 2 แสน ได้ตามเป้าที่ต้องการละ
ปัญหาต่อมาคือ ธนาคารที่ยื่นไป ได้ยอดกู้แค่ 90% ของราคาประเมิน ทำให้ยอดเงินจริงๆไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
เลยไปไล่เช็คข้อมูลตามธนาคารต่างๆ จนมาเจออีกธนาคารนึงซึ่งให้ได้ถึง 100% เต็ม จึงทำการยื่นกู้ไป
(ราคาประเมินเรารู้อยู่ละ ซึ่งประเมินมาได้เท่ากันเป๊ะ) แต่เนื่องจากติดที่ต้องผ่อนรถอยู่ด้วย ทำให้ตอนแรกไม่ผ่าน
เลยต้องยื่นกู้ใหม่ โดยกู้ร่วมกับแฟน สุดท้ายผ่านครับ
ตอนนี้ก็สรุปได้ทั้งบ้าน ได้ทั้งรถมาเรียบร้อยโดยที่ตอนที่ยื่นกู้นั้นไม่มีเงินเก็บสักบาทครับ
และตอนนี้ก็ยังผ่อนมาได้แบบสบายๆ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
เพราะมันอยู่ที่ตัวเราเอง ว่าในเดือนๆนึง เราคำนวนดูแล้วคิดว่าเราเหลือเงินพอใช้หรือไม่
สำหรับผมที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดูดบุหรี่ มีไปเที่ยวก็ไปต่างจังหวัดกับครอบครัวบ้างเป็นครั้งคราว
หลังจากหักค่าผ่อนต่างๆแล้ว ยังเหลือเงินใช้ได้แบบไม่เดือนร้อนครับ
เพราะอาศัยอยู่แบบพอเพียง ไม่ฟุ้มเฟ้อ ทำกับข้าวกินเองบ้าง บ้านมีที่ก็ปลูกพวกพืชผักเองบ้าง
ก็เซฟค่าใช้จ่ายไปได้เยอะครับ
ถ้ารู้จักใช้เงินให้เป็น การมีบ้าน มีรถก็ไม่ใช่เรื่องเกินฝันครับผม